พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 283 เกิดใหม่หลังเคราะห์กรรม

แม้ว่ากันว่าหลังจากชิงเปลือกสำเร็จร่างกายก่อนหน้าก็สามารถทิ้งไปไม่ใช้แล้ว ทว่าในยามที่ชิงเปลือก ดวงจิตของผู้บำเพ็ญเพียรกลับไม่สามารถออกจากร่างกายเดิมได้ทั้งหมด หากแต่เหลือดวงจิตดั้งเดิมเล็กน้อยอยู่ที่นั่น

 

 

จุดประสงค์เช่นนี้ที่สำคัญเพื่อรักษาชีวิตของร่างกายเดิม เมื่อใดที่การชิงเปลือกล้มเหลวด้วยสาเหตุต่างๆ นานายังสามารถย้อนกลับมาได้อย่างราบรื่น

 

 

และเมื่อหลังจากชิงเปลือกสำเร็จ ดวงจิตดั้งเดิมที่เหลืออยู่เล็กน้อยนั้นก็จะบินเข้าสู่ร่างกายใหม่เอง มีดวงจิตดั้งเดิมเล็กน้อยนี้ ดวงจิตของผู้บำเพ็ญเพียรถึงสามารถตั้งรกรากในร่างกายใหม่ได้ จากนั้นใจและจิตรวมเป็นหนึ่ง

 

 

ด้วยเหตุนี้จะเห็นถึงความสำคัญของดวงจิตดั้งเดิมต่อผู้บำเพ็ญเพียรได้

 

 

อูเย่ว์เตรียมชิงเปลือก แม้อยู่ในถิ่นตนเอง กลับยังคงทำการป้องกันร่างกายไว้ เพียงแต่สูญเสียสติสัมปชัญญะและการปกป้องจากพลังวิญญาณ สมบัติวิเศษที่ใช้ป้องกันก็เป็นเพียงแค่ของตายเท่านั้น

 

 

อีกาไฟหลังจากเลื่อนขั้นก็เป็นอสูรวิญญาณขั้นสามแล้ว ความสามารถที่เพิ่มขึ้นมาใหม่อย่างหนึ่งก็คือกรงเล็บ กรงเล็บของมันกลายเป็นสีแดงเลือด พลังความสามารถการจู่โจมทางกายภาพตามธรรมชาติของอสูรวิญญาณบวกกับความแข็งแกร่งหลังเลื่อนขั้นทำให้กรงเล็บแหลมคมดุจปลายดาบ อาวุธเวทป้องกันทั่วไปล้วนยากจะต่อต้านได้

 

 

“แกว้กๆ!” อีกาไฟร้องพลาง กรงเล็บคมกริบสีแดงเลือดคู่หนึ่งข่วนไปที่ครอบคุ้มกันบนร่างกายอูเย่ว์ที่เกิดจากสมบัติวิเศษป้องกันไม่หยุด ดูแล้วก็เหมือนหญิงปากร้ายตีกันก็ไม่ปาน ไม่เหลือภาพพจน์แม้แต่น้อย

 

 

สัญชาตญาณในการรับรู้ถึงเจ้าชะตาของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทำให้ดวงจิตของอูเย่ว์ที่เข้าสู่ทะเลแห่งความตระหนักของมั่วชิงเฉินชะงักทีหนึ่งโดยจิตสำนึก ฉวยโอกาสนี้ ดวงจิตของมั่วชิงเฉินกัดดวงจิตที่บุกรุกเข้ามาสองสามคำทันที

 

 

ดวงแสงที่บุกรุกเข้ามาแผลงฤทธิ์ทันที ดึงทึ้งดวงแสงที่เล็กว่าตนมากอย่างดุดัน

 

 

สติสัมปชัญญะของมั่วชิงเฉินปิดลงนานแล้ว ไม่รู้ว่าบัดนี้เกิดอะไรขึ้นโดยสิ้นเชิง การจู่โจมดึงทึ้งของดวงจิตสองดวงนั่นเกิดจากสัญชาตญาณล้วนๆ อูเย่ว์ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน

 

 

ดวงแสงที่เล็กกว่าถูกดวงแสงใหญ่กัดหลายคำติดต่อกัน มันดูเหมือนกลัวหัวหดเล็กน้อยแล้ว หาโอกาสหนีไปข้างหลัง

 

 

ดวงแสงใหญ่ย่อมไม่มีทางปล่อยมันไป รีบไล่ตามไปโดยเร็ว

 

 

อาจเพราะดวงแสงเล็กมีข้อได้เปรียบเรื่องคุ้นเคยที่ทาง หลบไปหลบมาอยู่ทะเลแห่งความตระหนัก ในชั่วขณะหนึ่งไม่คิดว่าดวงแสงใหญ่จะไล่ไม่ทัน

 

 

ดวงแสงใหญ่ดูเหมือนรีบร้อนเล็กน้อยแล้ว ฮึดเต็มที่พุ่งไปข้างหน้า แล้วจับดวงแสงเล็กไว้ทันที มันเขยิบเข้าไปกัดไปที่ดวงแสงเล็ก

 

 

ในยามนี้เอง อีกาไฟทะลวงที่ครอบป้องกันได้ในที่สุด จำคำสั่งของมั่วชิงเฉินได้แม่นยำ กรงเล็บที่แหลมคมคู่หนึ่งพุ่งตรงไปที่กระหม่อมของอูเย่ว์

 

 

ไวเหมือนสายฟ้าแลบ กระหม่อมของอูเย่ว์ก็ถูกกรงเล็บของอีกาไฟข่วนแตก

 

 

อีกาไฟยื่นกรงเล็บเข้าไปคนขึ้นมาอย่างไม่ลังเล จากนั้นหดกรงเล็บกลับมา กดศีรษะของอูเย่ว์ไว้อย่างแน่นหนา เขยิบปากเข้าไปใกล้กินอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา

 

 

ในชั่วพริบตานั้น ดวงแสงใหญ่ที่กำลังเตรียมตัวจะกัดดวงแสงเล็กสั่นเทิ้มทีหนึ่ง ท่าทางเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด ดวงแสงเล็กเห็นโอกาสจึงกัดเข้าไปอย่างไม่สงสัย เมื่อยามที่ดวงแสงใหญ่คิดจะโต้กลับก็วิ่งหนีพรวดไปไกลอีก

 

 

อาจเพราะดวงแสงใหญ่รู้ว่าตนกลับไปไม่ได้อีกแล้ว อีกทั้งความเกรี้ยวกราดที่ถูกดวงแสงเล็กกัด จึงพุ่งไปที่ดวงแสงเล็กด้วยพลังทุบหม้อข้าวจมเรือ[1]

 

 

ดวงแสงเล็กดูเหมือนสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่คิดว่าจะพุ่งออกจากทะเลแห่งความตระหนักทันทีวิ่งไปข้างนอก

 

 

มันก็ไม่รู้ว่าไยถึงทำเช่นนี้ เดิมทีสำหรับดวงจิตแล้ว การอยู่ในทะเลแห่งความตระหนักเป็นสิ่งที่ปลอดภัยที่สุด ทว่าในความไม่รู้มีเสียงเสียงหนึ่งบอกมัน หนีออกไป มีเพียงหนีออกไปถึงมีโอกาส

 

 

ดวงแสงใหญ่ที่อยู่ข้างหลังลังเลครู่หนึ่ง ยังคงไล่ตามขึ้นมา

 

 

ผ่านการทึ้งกัดในรอบนี้ ดวงแสงเล็กมืดมนไร้แสงแล้ว ถึงนอกทะเลแห่งความตระหนักแล้ว ยิ่งเป็นเหมือนเรือเล็กที่ล่องลอยสั่นเทิ้มไม่หยุด ความเร็วก็ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด

 

 

ดวงแสงใหญ่ไล่ตามมาถึงอย่างรวดเร็ว จับดวงแสงเล็กไว้เริ่มฉีกกัด

 

 

ดวงแสงเล็กท่าทางทุกข์ทรมาน เขยิบไปที่ตันเถียนทีละนิดๆ ปล่อยให้ดวงแสงใหญ่ฉีกทึ้ง

 

 

ใกล้แล้ว ยิ่งใกล้แล้ว เมื่อยามที่รูปร่างของดวงแสงเล็กหดเล็กลงรอบหนึ่ง ในที่สุดมันก็ลากดวงแสงใหญ่เข้าสู่ตันเถียน

 

 

เพลิงแก้วใจกระจ่างที่อยู่ในตันเถียนลุกโชติช่วงขึ้นในพริบตา ดวงแสงใหญ่รู้สึกว่าแย่แล้วด้วยสัญชาตญาณ ปล่อยดวงแสงเล็กออกแล้วพุ่งออกข้างนอก ในเวลานี้กลุ่มปราณสีขาวข้างๆ ที่อยู่เงียบๆ ไม่ขยับมาตลอดจู่ๆ ก็ปล่อยแรงดูดมหาศาลออกสายหนึ่ง ดูดดวงแสงใหญ่เข้ามาทีละนิดๆ

 

 

ดวงแสงใหญ่สั่นเทิ้มขึ้นมาด้วยความหวาดหวั่น คิดจะดิ้นให้หลุดออกไปสุดชีวิต กลับไม่อาจต่อต้านแรงดูดมหาศาลสายนั้นได้ ไม่นานก็ถูกลากไปถึงหน้ากลุ่มปราณสีขาว

 

 

แล้วก็เห็นกลุ่มปราณสีขาวอ้าปากกว้างกลืนดวงแสงใหญ่เข้าไปในพริบตา จากนั้นแสงสว่างวูบวาบอยู่สิบกว่าอึดใจแล้วกลับคืนสภาพเดิมอีก

 

 

ดวงแสงเล็กเห็นดังนั้นออกจากตันเถียน วิ่งไปที่ที่ตนคุ้นเคย เข้าสู่ทะเลแห่งความตระหนักแล้วดูเหมือนเหนื่อยล้ายิ่งนัก หดอยู่ที่มุมหนึ่งเข้าสู่ห้วงนิทรา

 

 

และแล้วในชั่วพริบตาที่ดวงแสงใหญ่ถูกกลืนนั่นเอง เขตอาคมของถ้ำที่อยู่ใต้บึงโคลนนี้ก็ถล่มแล้ว น้ำโคลนปริมาณมากท่วมเข้ามา ห้องถูกซัดพัง งูและสัตว์มีพิษที่เลี้ยงอยู่ในแต่ละสระถูกซัดกระจาย คลานเต็มไปหมด

 

 

อีกาไฟที่กินอย่างเอร็ดอร่อยมาตลอดเงยหน้าขึ้น ใช้กรงเล็บจับมั่วชิงเฉินไว้แล้วบินขึ้นข้างบนไปอย่างรวดเร็ว ถึงข้างบนลากนางไปไว้ในถ้ำในต้นไม้ถ้ำหนึ่ง แล้วกลับรู้สึกหน้ามืด จึงมุดเข้าถุงอสูรวิญญาณไปเอง

 

 

ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใด มั่วชิงเฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น ข้างหูมีเสียงร้องของนกและแมลงเบาๆ ลอยมา

 

 

“ยายแก่บ้า…” นางสะดุ้งเฮือก พิจารณาไปทั่วถึงพบว่าตนอยู่ในสถานที่สลัวและแคบเล็ก เหนือศีรษะมีแสงสว่างส่องมารางๆ

 

 

“อู๋เย่ว์ อู๋เย่ว์…” มั่วชิงเฉินใช้จิตตระหนักร้องเรียก กลับพบว่าอีกาไฟอยู่ในถุงอสูรวิญญาณเงียบๆ ดูจากสถานการณ์ ไม่คิดว่าจะเหมือนอยู่ระหว่างเลื่อนขั้นอีกแล้ว!

 

 

นี่มันเรื่องอะไรกัน?

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าศีรษะปวดเหมือนจะแตก สติยังไม่ค่อยกลับมา ราวกับในสมองเหมือนขาดอะไรไปอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ผ่านไปพักใหญ่ๆ จู่ๆ นางถึงตระหนักอะไรได้บางอย่าง แล้วเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “ยายแก่บ้านั่นชิงเปลือกล้มเหลวแล้ว?”

 

 

จากนั้นรีบมองดูมือของตนเอง ถึงได้โล่งอก นั่งอย่างงุนงง ความรู้สึกยากจะแยกแยะว่าเศร้าหรือสุขพุ่งขึ้นในใจ

 

 

“แย่แล้ว อาจารย์อาเยี่ย!” มั่วชิงเฉินกระโดดขึ้นมาโดยพลัน บนศีรษะกลับชนถูกผนังต้นไม้ดังตึ้งเสียงหนึ่ง เจ็บจนนางกัดฟัน นวดขมับแล้วนั่งลงมา

 

 

สงบจิตใจลงมานึกย้อนอย่างตั้งใจทีหนึ่ง กลับจำได้เพียงว่ายายแก่บ้านั่นตบยันต์วิญญาณใส่หน้าผากนางแผ่นหนึ่ง จากนั้นสติสัมปชัญญะก็ค่อยๆ หลุดออกจากร่างกาย ไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว

 

 

ในยามนี้เอง คลื่นพลังอันแข็งแกร่งสายหนึ่งส่งมา มั่วชิงเฉินกังวลขึ้นมา รีบเก็บงำกลิ่นอายขึ้น

 

 

ทว่าจากนั้นกลับได้ยินเสียงดังสนั่นเสียงหนึ่ง เศษไม้นับไม่ถ้วนร่วงลงจากข้างบน ระหว่างที่กิ่งไม้ใบไม้สั่นไหวถึงพบว่าที่แท้ตนอยู่ในถ้ำในต้นไม้ถ้ำหนึ่ง ส่วนลำต้นต้นไม้นี้กลับไม่รู้ถูกใครฟันขาดแล้ว

 

 

แสงอาทิตย์ที่สว่างไสวส่องเข้ามา ทำให้มั่วชิงเฉินที่ชินกับความมืดมิดไม่เห็นเดือนเห็นตะวันหรี่ตาขึ้นมาเบาๆ ทว่าผู้มาเยือนที่ไม่รู้ว่าเป็นใครกลับทำให้นางต้องฝืนทนความเจ็บแสบไว้ไม่กล้าหลับตา น้ำตาไหลลงมาอย่างไม่รู้ตัว

 

 

ใบหน้าที่คุ้นเคยจนไม่รู้จะคุ้นเคยเช่นไรปรากฏขึ้นต่อหน้านาง

 

 

“อาจารย์…” มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าเหมือนอยู่ในความฝัน เรียกเสียงสั่น

 

 

มือใหญ่คู่หนึ่งยื่นเข้ามาอุ้มนางขึ้น มองดูสาวน้อยที่เบาเหมือนไม่มีน้ำหนัก สองแต้มตอบลึกเข้าไปในอ้อมกอด นิ้วมือเรียวยาวดุจต้นไผ่ของกู้หลีอดลูบไล้แก้มนางเบาๆ ไม่ได้ แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ชิงเฉิน อาจารย์มาสายแล้ว”

 

 

กลิ่นอายและเสียงที่คุ้นเคยทำให้มั่วชิงเฉินผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน รู้สึกวิงเวียนขึ้นมาทันที แล้วกอดกู้หลีไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว เอ่ยด้วยเสียงเบามากว่า “อาจารย์ ไม่ว่าท่านจะมาเมื่อไรก็ไม่สาย…”

 

 

ยังพูดไม่จบกลับหมดสติไปอีก

 

 

กู้หลีใจสั่นเทิ้ม ไอเบาๆ เสียงหนึ่ง กระอักเลือดออกมา

 

 

เขากลับไม่ใส่ใจพวกนี้ นิ้วมือแตะลงบนข้อมือของมั่วชิงเฉิน

 

 

“ไยถึงเป็นเช่นนี้!” คิ้วกู้หลียิ่งขมวดยิ่งแน่น ความโกรธวาบผ่านใบหน้า จากนั้นอุ้มมั่วชิงเฉินขึ้นก้าวขึ้นขลุ่ยไม้ไผ่ หายลับไปไกล

 

 

ที่นี่ไม่เพียงแต่เป็นถิ่นของผู้บำเพ็ญเพียรมาร ยังอยู่ลึกเข้าไปในแดนไท่เป๋า ตลอดทางที่มายากเย็นแสนเข็ญ ฝ่าอันตรายเกือบเอาชีวิตไม่รอดหาจนถึงที่นี่ จะพามั่วชิงเฉินที่อ่อนแอปานนี้ออกไปทั้งเช่นนี้นั้นเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้

 

 

กู้หลีบินไปตลอดทาง แล้วหาถ้ำภูเขาที่มิดชิดใกล้ๆ ถ้ำหนึ่งอุ้มมั่วชิงเฉินมุดเข้าไป จากนั้นใช้กระบี่ชิงมู่ขุดข้างในถ้ำให้กว้างขึ้น ผ่าเตียงหินออกมาเตียงหนึ่ง จากนั้นหยิบผ้าปูออกจากถุงเก็บวัตถุปูขึ้นไป ถึงวางมั่วชิงเฉินลงไป

 

 

มองดูศิษย์ที่ผอมเหลือแต่กระดูก กู้หลีรู้สึกเหมือนในใจมีหินก้อนใหญ่อุดอยู่ แล้วป้อนโอสถเลี้ยงดวงจิตเข้าไปเม็ดหนึ่ง

 

 

“ชิงเฉิน เพราะอาจารย์ไม่ได้ปกป้องเจ้าให้ดี” กู้หลีลูบเส้นผมของนางอย่างทะนุถนอม ในใจเจ็บแปลบๆ กลับพูดไม่ออกอีกว่านี่คือความรู้สึกเช่นไร

 

 

“อาจารย์ อาจารย์…” ระหว่างสะลึมสะลือ มั่วชิงเฉินพึมพำเรียก

 

 

“อาจารย์อยู่นี่” กู้หลีรีบจับมือนางไว้

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าผ่อนคลายลง พึมพำว่า “พี่กู้…”

 

 

กู้หลีมือสั่น ปล่อยมือของมั่วชิงเฉินอย่างรวดเร็วเหมือนไฟลวก กลับเห็นนางพลิกตัว ดูเหมือนหลับสนิทแล้ว

 

 

กู้หลีนั่งอยู่ข้างๆ อย่างงุนงง ดูสีหน้าแล้วจะเจ็บปวดยิ่งกว่ามั่วชิงเฉินอีก ทนไม่ไหวเหลือบมองนางปราดหนึ่งแล้วกลับเบือนหน้าไปทั้งอย่างนั้น รู้สึกคาวในคอ แล้วกระอักเลือดออกมา

 

 

เขากลับลุกขึ้นเงียบๆ สะบัดกระบี่ชิงมู่ขุดห้องศิลาออกมาอีกห้องหนึ่ง แล้วยกเท้าก้าวเข้าไป นั่งขัดสมาธิหลับตาลง

 

 

มั่วชิงเฉินตื่นมา ไม่เห็นเงาของกู้หลี รู้สึกตกใจ รีบร้องเรียกว่า “อาจารย์…”

 

 

กู้หลีเดินออกจากห้องศิลาอีกห้องหนึ่ง ส่งโจ๊กเนื้อที่ยังร้อนควันกรุ่นชามหนึ่งมาถึงหน้านาง มุมปากอมยิ้มว่า “ชิงเฉิน เจ้าตื่นแล้ว กินอะไรเสียหน่อยเถอะ” ดูสีหน้า ไม่คิดว่าจะกลับมาท่าทางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นแต่ก่อนแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินรับชามมา มองดูสีหน้ากู้หลีแล้วกลับชะงัก “อาจารย์ ท่านบาดเจ็บใช่หรือไม่?”

 

 

“ไม่รุนแรง เจ้ารีบกินเถอะ” กู้หลียิ้มนิ่งเรียบ

 

 

มั่วชิงเฉินกังวลอยู่ในใจ กลับทำใจขัดใจเขาไม่ได้ จึงก้มหน้าดื่มไปคำหนึ่ง

 

 

โจ๊กต้มได้พอดิบพอดี เนื้อสัตว์ในนั้นก็เอามาจากอสูรปีศาจชั้นสูงแน่นอน แฝงไว้ด้วยปราณวิญญาณไม่น้อย โจ๊กชามหนึ่งลงท้องรู้สึกสบายขึ้นไม่น้อยทันที

 

 

มั่วชิงเฉินกำลังคิดจะบอกว่าเอาอีกชามหนึ่ง กลับต้องสีหน้าแข็งทื่อ

 

 

“เป็นอันใดหรือ ชิงเฉิน?” กู้หลีรีบถามว่า

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าซีดเซียวขึ้นมาว่า “อาจารย์ อาจารย์อาเยี่ย…อาจารย์อาเยี่ยยังอยู่ที่นั่น!”

 

 

กู้หลีประหลาดใจว่า “ชิงเฉิน เจ้าว่าอะไรนะ?”

 

 

มั่วชิงเฉินรีบร้อนจับมือของกู้หลีไว้ว่า “อาจารย์ ยายแก่บ้านั่นจับอาจารย์อาเยี่ยไปเช่นกัน แล้วขังเขาไว้ในโลงผลึกแก้วใบหนึ่งในสระโคลนข้างล่างนั่น ไม่ได้ ข้าต้องไปหาเขา…”

 

 

สีหน้ากู้หลีกลับประหลาดขึ้นมา

 

 

ในใจมั่วชิงเฉินร้อนรนยิ่งนัก ปล่อยมือกู้หลีแล้วกระโดดลงจากเตียงไป กลับถูกกู้หลีจับไว้

 

 

“อาจารย์…” มั่วชิงเฉินหันหน้ามา มองกู้หลีอย่างไม่เข้าใจ

 

 

“ชิงเฉิน เจ้าแน่ใจว่าลั่วหยางอยู่ในโลงผลึกแก้ว?” กู้หลีเลิกคิ้วขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างแรง

 

 

กลับได้ยินกู้หลีเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ข้าพบโลงผลึกแก้วใบหนึ่งที่นั่นจริงๆ ทว่าสิ่งที่ขังอยู่ในโลง คือคางคกตัวหนึ่ง…”

 

 

 

 

——

 

 

[1] ทุบหม้อข้าวจมเรือ  เป็นสำนวนจีนหมายถึง ไปตายเอาดาบหน้า ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะต่อสู้ให้ถึงที่สุด

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset