พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 342 เจ้าปีศาจนามลั่วเฟิง

เสียงระฆังเช่นนี้ สิบกว่าปีมานี้ดังขึ้นเพียงครั้งเดียว จอมราชาปีศาจไป่หลี่เช่ว์และไป๋เซียวเทียนร่วมมือกันมาลอบโจมตีค่าย ฝ่ายตนเสียหายอย่างสาหัส และก็นับแต่ครั้งนั้น ในค่ายอย่างน้อยต้องมีเจินจวินระดับก่อแก่นปราณสี่ท่านนั่งบัญชาการ

 

 

ที่ต้วนชิงเกอจำได้ฝังใจเพียงนี้ ก็เพราะปีนั้นนางผ่านศึกสาหัสครั้งนั้น ในฐานะนักบำเพ็ญเพียรสายเยียวยาไม่ได้หลับตาเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนเต็มๆ

 

 

เสียงระฆังดังขึ้นอีกครั้ง ต้วนชิงเกอสีหน้าซีดเซียวว่า “ชิงเฉิน เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

 

 

จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนรุนแรงถึงกับเรียกชื่อของมั่วชิงเฉินโดยตรง

 

 

“ไป ไปดูกัน” มั่วชิงเฉินลากต้วนชิงเกอวิ่งออกไป

 

 

และยามนี้ได้มีนักบำเพ็ญเพียรนับไม่ถ้วนรุดไปจวนเจ้าเมืองแล้ว

 

 

“ชิงเกอ” เพิ่งถึงจวนเจ้าเมือง ก็เห็นนักพรตลั่วซีพุ่งออกมา

 

 

“อาจารย์ เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?” ต้วนชิงเกอเห็นนักพรตลั่วซีสีหน้าดูไม่ดี จึงเอ่ยปากถาม

 

 

นักพรตลั่วซีดึงต้วนชิงเกอไว้ว่า “ชิงเกอ ในค่ายกำลังจะถอนกำลังแล้ว อีกสักครู่เจ้าตามอยู่หลังอาจารย์ อย่าห่างแม้เพียงก้าวเดียว”

 

 

“หา?” ต้วนชิงเกอคาดไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะรุนแรงปานนี้ อุทานออกมาเบาๆ

 

 

ยามนี้เองนักพรตลั่วซีเห็นมั่วชิงเฉินที่อยู่ข้างๆ ฝืนยิ้มว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน อีกสักครู่ออกจากเมืองแล้วเราก็ตรงไปพรรคเหยากวง เจ้าระวังตัวให้มาก ศิษย์พี่เกรงว่าจะไม่ว่างดูแลเจ้าแล้ว”

 

 

“ขอบคุณศิษย์พี่ลั่วซีที่เตือน ชิงเฉินจะระวังเจ้าค่ะ ศิษย์พี่ลั่วซี ไม่ทราบสหายเต๋าหลัวผู้นั้นยังอยู่ในจวนหรือไม่?” มั่วชิงเฉินได้ยินว่าจะถอนกำลังฉุกเฉิน รู้ว่าสถานการณ์ไม่ดี บนใบหน้ากลับยังคงรักษาความสงบ

 

 

“คือสหายเต๋าหลัวที่ถูกชิงตู้เจินจวินเรียกไปถามสินะ? ยามที่เราถูกเรียกไปในตำหนักเห็นนางยืนอยู่หลังชิงตู้เจินจวิน หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ชิงตู้เจินจวินน่าจะปกป้องนางอย่างดี เจ้าไม่ต้องคิดมาก” นักพรตลั่วซีเอ่ย

 

 

เป็นเช่นนี้ก็ดี หลัวเตี๋ยจวินแม้เป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ทว่าอย่างไรเสียก็ได้รับบาดเจ็บ

 

 

ระหว่างที่คุยกันนักบำเพ็ญเพียรระดับสูงในจวนเจ้าเมืองก็เดินออกมาแล้ว ต่างคนต่างเรียกศิษย์และรุ่นหลังของตนเริ่มออกจากเมือง

 

 

นักบำเพ็ญเพียรมากมายไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นโดยสิ้นเชิง ถูกเร่งให้เดินสู่ประตูเมืองเหมือนไล่แกะ ชั่วขณะหนึ่งสถานการณ์วุ่นวาย จิตใจผู้คนพรั่นพรึง

 

 

“อาจารย์อาชิงเฉิน เจ้าจะไปไหน?” เห็นมั่วชิงเฉินหันกลับวิ่งย้อนกลับไป ต้วนชิงเกอรีบร้อนถามขึ้น

 

 

“ข้าจะไปหาศิษย์พี่ลั่วหยาง” มั่วชิงเฉินยังไม่สิ้นเสียง คนก็ไม่เห็นเงาแล้ว

 

 

ต้วนชิงเกอขยับฝีเท้า กลับถูกนักพรตลั่วซีดึงไว้ว่า “ชิงเกอ รีบตามอาจารย์ไปเถอะ ชักช้าเกรงว่าจะไม่ทันการแล้ว”

 

 

“แต่ว่า…”

 

 

“แต่ว่าอะไร ชิงเฉินและลั่วหยางต่างเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ พวกเขาอยู่ด้วยกันยังสามารถช่วยเหลือกันได้ เจ้าไปแล้วจะไปเพิ่มความวุ่นวายหรือ?” นักพรตลั่วซีดุว่า

 

 

มั่วชิงเฉินกระโดดขึ้นลงสองสามทีมาถึงโรงหมอ ข้างในไม่มีคนแล้ว เห็นชัดว่าหลังจากได้ยินเสียงระฆังแล้วก็ต่างวิ่งออกไป

 

 

เดินตรงขึ้นไปชั้นสอง กวาดมองเพียงปราดเดียวก็วิ่งไปที่ห้องห้องหนึ่ง

 

 

ก็มิใช่นางล่วงรู้อนาคตหรอกนะ หากแต่ห้องอื่นประตูห้องเปิดอ้ากว้างอยู่ มีเพียงห้องนั้นที่ปิดอยู่

 

 

“ศิษย์พี่ลั่วหยาง ท่านอยู่ข้างในหรือไม่?” มั่วชิงเฉินเคาะประตู

 

 

เห็นข้างในไม่มีความเคลื่อนไหว มั่วชิงเฉินยกเท้าถีบประตูออก บุกเข้าไปดู เยี่ยเทียนหยวนใส่เสื้อข้างในสีขาวนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง หลับตาสนิท

 

 

มั่วชิงเฉินวิ่งเข้าไป กลับมีกำแพงที่มองไม่เห็นบานหนึ่งดีดนางออกมา ทว่าเพราะการกระทำนี้ เขตอาคมที่มองไม่เห็นนั่นเริ่มกะพริบแสงวิญญาณขึ้น เยี่ยเทียนหยวนลืมตาโดยพลัน เห็นเป็นมั่วชิงเฉินร่างกายที่ตึงเกร็งถึงผ่อนคลายลง โบกมือถอนค่ายกลป้องกันกันเสียงทิ้ง

 

 

“ศิษย์น้องชิงเฉิน เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เยี่ยเทียนหยวนหยิบชุดเขียวที่แขวนอยู่บนฉากกั้นใส่เข้าไป สีหน้าที่ขาวซีดดูออกว่าอาการบาดเจ็บของเขายังไม่หาย

 

 

มั่วชิงเฉินกลับไม่มีเวลาสนใจอะไรมากมายแล้ว เดินเข้าไปสองสามก้าวจับข้อมือของเยี่ยเทียนหยวนไว้ว่า “ศิษย์พี่ลั่วหยาง รีบไปกับข้า”

 

 

ร่างกายสัมผัสกัน ความรู้สึกประหลาดเช่นนั้นถาโถมมา มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากล่างอย่างแรง สมองโล่งขึ้นมาทันที

 

 

เยี่ยเทียนหยวนก็ขมวดคิ้ว กลับไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ตามออกมา

 

 

มั่วชิงเฉินพาเยี่ยเทียนหยวนพลางวิ่งไปทางประตูเมืองพลางอธิบายว่า “เพิ่งได้รับข่าว นักบำเพ็ญเพียรทั้งหมดในเมืองต้องถอนกำลังอย่างเร่งด่วน เราออกจากเมืองแล้วตามขบวนตรงกลับเหยากวง”

 

 

“ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินเกิดเรื่องแล้ว?” เยี่ยเทียนหยวนขมวดคิ้ว

 

 

มั่วชิงเฉินชะงัก จากนั้นพยักหน้าวา “อืม ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินท่านดับสูญแล้ว”

 

 

ทั้งสองคนต่างเป็นคนฉลาดเฉลียว ตามหลักการดับสูญของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดท่านหนึ่ง ก็ไม่ถึงกับทำให้นักบำเพ็ญเพียรทั้งค่ายต้องถอนกำลังอย่างเร่งด่วน หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ การถอนกำลังครั้งนี้เป็นไปได้มากว่าจะเกี่ยวกับคำพูดที่ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินให้พวกเขานำกลับมา

 

 

เจ้าปีศาจปรากฏต่อโลก

 

 

หรือว่า เจ้าปีศาจจะล้างเมือง?

 

 

นอกเมือง เจินจวินระดับก่อกำเนิดห้าท่านต่างคนต่างอัญเชิญสมบัติวิเศษเหินหาวออกมา พริบตาเดียวก็ใหญ่ขึ้นมหึมา ข้างบนยืนเต็มไปด้วยนักบำเพ็ญเพียร

 

 

“เร็วหน่อย เคลื่อนไหวเร็วหน่อย” มีนักบำเพ็ญเพียรเร่งรัดเสียงดังเป็นระยะ

 

 

สมบัติวิเศษเหินหาวของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ความเร็วย่อมเร็วกว่าของนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานและก่อแก่นปราณมาก มั่วชิงเฉินเห็นต้วนชิงเกอยืนอยู่บนสมบัติวิเศษของหรูอวี้เจินจวิน กวักมือเรียกนางด้วยสีหน้าร้อนรน

 

 

“ศิษย์พี่ลั่วหยาง เราขึ้นไปกัน” มั่วชิงเฉินลากเยี่ยเทียนหยวนไว้แล้วโคจรพลังวิญญาณแผ่วเบา เท้าเหยียบไหมเกล็ดน้ำแข็งบินขึ้นไป

 

 

รออีกประมาณหนึ่งเค่อ ในเมืองค่อยๆ ไม่มีคนวิ่งออกมาอีกแล้ว ชิงตู้เจินจวินที่เป็นผู้นำตะโกนเสียงหนึ่ง เจินจวินระดับก่อกำเนิดห้าท่านขับเคลื่อนสมบัติวิเศษเหินหาวขึ้นพร้อมกัน บินไปทางทิศใต้ด้วยความเร็วสูง

 

 

“ฮ่าๆๆๆ” เสียงหัวเราะโอหังกลับดังกังวานมาจากด้านหลัง

 

 

เจินจวินระดับก่อกำเนิดห้าท่านหน้าถอดสี สมบัติวิเศษเหินหาวที่เหยียบอยู่ยิ่งเร็วขึ้นอีก

 

 

ทว่าต่อให้เร็วเพียงใด เสียงหัวเราะข้างหลังกลับเหมือนเงาตามตัว อีกทั้งยังโอหังขึ้นเรื่อยๆ

 

 

เสียงหัวเราะพุ่งตรงขึ้นชั้นเมฆ ทะเลเมฆาเหนือศีรษะเริ่มม้วนทะยาน มีเสียงฟ้าร้องดังมารางๆ

 

 

นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่ยืนอยู่บนสมบัติวิเศษเหินหาวตัวสั่นเหมือนเจ้าเข้า

 

 

ต่อจากนั้นเสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ พลานุภาพทั่วทุกสารทิศบีบเข้ามาใกล้ มีคนที่สมาธิด้อยหน่อยกรีดร้องขั้น แล้วร่วงหล่นจากสมบัติวิเศษเหินหาวโดยตรง

 

 

นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสีหน้าซีดเผือดเช่นกัน ฝืนไว้อย่างลำบาก

 

 

“อืม” เยี่ยเทียนหยวนครางเสียงหนึ่ง เหงื่อเย็นหยดใหญ่ๆ ไหลลงมาตามใบหน้าที่คมคาย

 

 

มั่วชิงเฉินกัดฟัน ไม่พูดพร่ำทำเพลงกุมมือที่เย็นเฉียบของเขาไว้แล้วถ่ายพลังวิญญาณเข้าไป ใครจะรู้ว่าภายใต้อิทธิพลการบีบคั้นของพลานุภาพทั่วสารทิศทำให้สูญเสียการควบคุม เพลิงแก้วใจกระจ่างที่อยากลองอยู่แล้วก็ทะลักตามเข้าไป

 

 

ทั้งสองคนตัวสั่นขึ้นพร้อมกัน แล้วเบือนสายตาออก

 

 

มั่วชิงเฉินเดาได้นานแล้วว่าเยี่ยเทียนหยวนมีเพลิงวาสนาตะวัน ความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อทั้งสองคนเข้าใกล้กันก็เกิดจากไฟอัศจรรย์เป็นเหตุ

 

 

ทว่านางก็เข้าใจข้อหนึ่ง เมื่อไรที่เพลิงวาสนาตะวันและเพลิงแก้วใจกระจ่างสัมผัสกัน จะมีผลที่คาดไม่ถึงต่อการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ

 

 

ความรู้สึกแปลกประหลาดในยามนี้แม้ทำให้นางอยากจะหันหลังหนีไปแทบทนไม่ไหว ทว่าเพื่อให้เยี่ยเทียนหยวนหายดีโดยเร็ว เรื่องพวกนี้ก็ไม่มีเวลาสนใจแล้ว

 

 

“ชิง…ชิงเฉิน เจ้าปล่อยมือ…” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยปากอย่างลำบาก

 

 

“อย่าพูด” มั่วชิงเฉินกุมมือของเขาแน่นกว่าเดิม เพลิงแก้วใจกระจ่างทะลักเข้าร่างตามพลังวิญญาณที่ไม่ขาดสาย แม้แก้มยังดุจไฟ สีหน้ากลับมุ่งมั่น

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเม้มปากแน่น ตัวแข็งเกร็งไม่กล้าขยับเขยื้อน

 

 

สมบัติวิเศษของเจินจวินระดับก่อกำเนิดหน้าท่านจู่ๆ ก็หยุดลง

 

 

มั่วชิงเฉินมองไปข้างหน้า เห็นเพียงกลางอากาศด้านหน้าสุด มีคนลอยตัวอยู่คนหนึ่ง

 

 

คนผู้นั้นใช่ชุดยาวสีฟ้าคราม ผมยาวสยายอย่างตามอารมณ์ยืนอยู่ตรงนั้น ปากแดงฟันขาว ระบายรอยยิ้มถากถางที่มุมปาก ดูรูปโฉม ไม่คิดว่าจะเป็นเด็กหนุ่มรูปงามเป็นหนึ่งไม่มีสองอายุสิบห้าสิบหกปี

 

 

“พวกเจ้าคิดจะไปไหน?” เด็กหนุ่มเอ่ยปากเนิบนาบ เป็นเพียงคำถามนิ่งเรียบแท้ๆ เมื่อเข้าหูแต่ละคนกลับราวกับฟ้าร้องก็ไม่ปาน

 

 

“หึๆๆๆ ในเมื่อตอบไม่ได้ ไม่สู้ก็อยู่ที่นี่ เล่นเป็นเพื่อนข้าให้หมดเถอะ” จู่ๆ เด็กหนุ่มก็หัวเราะขึ้นมา ใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ดึงดูดอย่างประหลาดทันที นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานมากมายอดก้าวเข้าไปก้าวหนึ่งไม่ได้

 

 

“ท่านผู้อาวุโสลั่วเฟิง ท่านปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ก็เป็นการละเมิดคำสัญญาแล้ว!” ชิงตู้เจินจวินตะโกนเสียงกังวาน นักบำเพ็ญเพียรทุกคนได้สติกลับมาทันที

 

 

เด็กหนุ่มกระดกมุมปากขึ้นว่า “ไอ้หนูเจ้าเป็นใคร?”

 

 

“ผู้น้อยชิงตู้” ชิงตู้เจินจวินคำนับทีหนึ่ง หลังกลับยืดตรงผึ่งผาย

 

 

เด็กหนุ่มเบือนหน้าไป มองไปที่เจินจวินที่เหลือไม่กี่ท่านว่า “เช่นนั้นพวกเจ้าล่ะ?”

 

 

“ผู้น้อยจูลี่”

 

 

“ผู้น้อยหรูอวี้”

 

 

“ผู้น้อยหมิงวู่”

 

 

“ผู้น้อยจื่อซู”

 

 

“หึๆ” เด็กหนุ่มหัวเราะฟู่เสียงหนี่ง “นี่ก็แปลกแล้ว พวกเจ้าไม่กี่คนนี้ข้าไม่รู้จักสักคน เคยให้สัญญาไว้ตั้งแต่เมื่อไร?”

 

 

“ท่านผู้อาวุโสลั่วเฟิง ปีนั้นท่านเคยสัญญากับท่านผู้อาวุโสเหอเซียวหยางไว้…” ชิงตู้เจินจวินเพิ่งเอ่ยปาก กลับถูกเด็กหนุ่มขัดจังหวะ

 

 

“ใช่นั้นหรือ ไยข้าถึงจำไม่ได้ หรือไม่พวกเจ้าก็ไปตามเหอเซียงหยางมา ข้าลองถามดู?”

 

 

พวกชิงตู้เจินจวินมองหน้ากัน สีหน้าเย็นชาลง

 

 

เรื่องในวันนี้ ดูท่าไม่อาจจบดีๆ แล้ว หากศึกนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยง เช่นนั้นก็พยามยามปกป้องเมล็ดของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรเหล่านี้เท่าที่จะเป็นไปได้ก็แล้วกัน

 

 

เจินจวินห้าท่านคิดได้ดังนี้ จึงขับเคลื่อนสมบัติวิเศษเหินหาวพร้อมกัน

 

 

นักบำเพ็ญเพียรที่ยืนอยู่ด้านบนรู้สึกหัวหมุนวิงเวียนทันที ร่วงตกลงไป

 

 

โชคดีที่พวกเขาล้วนผ่านศึกมานับร้อย อัญเชิญอาวุธเวทเหินหาวของตนออกยืนขึ้นไปทันที

 

 

“รีบไป!” จูลี่เจินจวินแผดเสียงตะโกนเสียงหนึ่ง

 

 

เหล่านักบำเพ็ญเพียรต่างได้สติกลับมา ขี่อาวุธเวทเหินหาวหนีออกไปรอบทิศ

 

 

“คิดหนี?” เด็กหนุ่มกระดกมุมปาก จากนั้นแขนเสื้อสีฟ้าครามปลิดปลิว วงวิญญาณหลายสายบินออกตกไปรอบทิศ

 

 

นักบำเพ็ญเพียรที่หนีไปรอบทิศชนเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นทันที ถูกดีดกลับไป

 

 

“ตัดหญ้าถอนโคน คำพูดของมนุษย์อย่างพวกเจ้า ข้าเรียนรู้ตั้งแต่หลายพันปีก่อนแล้ว” เด็กหนุ่มพูดจบสะบัดแขนเสื้ออีกที คมมีดวิญญาณหลายสายซัดไปที่เจินจวินระดับก่อกำเนิดห้าท่าน

 

 

เจินจวินห้าท่านยืนแยกออกตามตำแหน่งห้าธาตุ ขณะเดียวกันก็ต่างคนต่างอัญเชิญสมบัติวิเศษออกมา

 

 

สมบัติวิเศษของชิงตู้เจินจวินคือแส้ขนหางจามรี บัดนี้บินออกจากมือ ยาวขึ้นถึงหลายสิบจั้งกลางอากาศ ไหมเงินโบยบินเต็มฟ้า พันคมมีวิญญาณพวกนั้นไว้

 

 

หมิงวู่เจินจวินกระบี่แสงอาทิตย์ฟันมังกรไฟออกสายหนึ่ง ตะปบไปที่เด็กหนุ่ม

 

 

หรูอวี้เจินจวินมือกอบแจกัน อีกมือหนึ่งดึงกิ่งหลิวออกสะบัด ละอองแสงน้ำหายเข้ากลางมังกรไฟ

 

 

มังกรไฟสายนั้นราวกับถูกราดน้ำมันบนกองไฟ อานุภาพยิ่งรุนแรง แยกเขี้ยวยิงฟันพุ่งเข้าหาเด็กหนุ่ม เสียงคำรามมังกรดังขึ้นรางๆ

 

 

แสงสีเหลืองบินออกจากมือจูลี่เจินจวินไม่หยุด กลายเป็นค่ายยันต์กลางอากาศ หากเข้าใกล้ได้ก็จะพบว่ากลางค่ายกลไอเข่นฆ่ากระเ**้ยนกระหือรือ ยากหยั่งอานุภาพ

 

 

การจู่โจมอย่างสุดกำลังของเจินจวินระดับก่อกำเนิดห้าท่าน ก็เพียงแค่ทำให้เด็กหนุ่มหัวเราะเย้ยเสียงหนึ่งว่า “แสงหิ่งห้อยก็กล้ามาเปล่งแสงแข่งกับจันทรา!”

 

 

เพิ่งสิ้นเสียงก็พ่นกระแสอากาศสีเขียวสายหนึ่งออกจากปาก

 

 

กระแสอากาศสายนั้นเจอลมก็ขยาย ไม่คิดว่าจะกลายเป็นคมมีดวายุอันมหึมา พรึบเสียงหนึ่งแทงทะลุมังกรไฟที่ทะยานมา จากนั้พลานุภาพยิ่งรุนแรง พัดจนค่ายยันต์ร่วงไปตามๆ กัน

 

 

“เร็ว ดูเร็ว กองทัพอสูรปีศาจ!” เหล่านักบำเพ็ญเพียรไม่มีทีให้หนีได้ ต่างมองศึกที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินครั้งนี้ตาปริบๆ ทว่าเสียงที่ยิ่งสะท้านฟ้าสะเทือนดินลอยมาจากที่ไกลๆ

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset