พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 343 จุดจบที่น่าอนาถ

เห็นเพียงทางทิศเหนือ อสูรปีศาจนับหมื่นนับพันคำรามพุ่งเข้ามา อสูรปีศาจเผ่าพันธุ์ปักษามืดมิดเต็มท้องฟ้าบังพระอาทิตย์ไปครึ่งหนึ่ง บนพื้นอสูรเดินดินกระทืบจนฝุ่นควันคละคลุ้งไปหมด

 

 

ที่ที่ฟ้าดินเชื่อมต่อกันเต็มไปด้วยเงาของอสูรปีศาจ เหล่านักบำเพ็ญเพียรที่เห็นฉากนี้ประจักษ์กับตาอย่างถ่องแท้แล้วว่าอะไรคือวิกฤตอสูร นั่นช่างเหมือนกระแสน้ำอันเกรี้ยวกราดที่พุ่งเข้ามาจริงๆ

 

 

ส่วนนักบำเพ็ญเพียรที่โชคดีรอดมาได้ต่อให้วันหลังมีผลงานน่าจดจำ ฉากนี้ยังคงเป็นความทรงจำที่ทำให้พวกเขาขวัญหนีดีฝ่อและไม่อยากย้อนนึกถึง

 

 

ระหว่างที่ทุกคนชะเง้อไปทางทิศเหนือ ก็ได้ยินเสียงร้องอย่างอนาถเสียงหนึ่ง เมื่อมองกลับไปอีกที ก็เห็นจูลี่เจินจวินถูกคมมีดวายุสายหนึ่งแทงทะลุ โลหิตพ่นออกจากบาดแผล เด็กทารกตัวเล็กๆ มุดออกมา หนีหัวซุกหัวซุนอย่างหวาดกลัวใจจะขาด

 

 

“จูลี่เจินจวิน!” เจินจวินที่เหลืออีกสี่ท่านร้องเสียงดัง

 

 

เด็กหนุ่มลั่วเฟิงอมยิ้มที่มุมปาก ยื่นมือชี้ไป ลมแรงสายหนึ่งก็ยิงออกไปดุจดาวตก ในชั่วอึดใจก็แทงทะลุทารกตัวเล็กๆ ทารกร่างเดิมของจูลี่เจินจวินแม้แต่เสียงกรีดร้องก็ไม่ได้เปล่งออกมา ก็กลายเป็นแสงวิญญาณมลายหายไปกลางอากาศ

 

 

นักบำเพ็ญเพียรทั้งหมดสีหน้าหวาดผวา กลับไม่พูดอะไรสักคำ ราวกับถูกมือยักษ์ที่มองไม่เห็นข้างหนึ่งบีบคอหอยไว้ มีเพียงตาที่โปนออกมาเรื่อยๆ

 

 

นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่ปกติถูกพวกเขายกย่องไว้เบื้องสูง เคารพดุจเทพเจ้าไม่คิดว่าจะวิญญาณแตกสลายอย่างง่ายด่ายเพียงนี้ สิ่งนี้กระทบกระเทือนต่อจิตวิญญาณของพวกเขาไม่น้อยไปกว่ากองทัพอสูรปีศาจที่เข้าใกล้มาเรื่อยๆ

 

 

มั่วชิงเฉินปลายนิ้วเย็นเฉียบ มองทุกสิ่งนี้อย่างเงียบงัน

 

 

ในเวลาเช่นนี้ นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเช่นนางไม่สามารถทำประโยชน์ใดๆ ได้เลย ต่อหน้าพลังอำนาจเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าคนที่ฉลาดหรือซื่อๆ มีใจเต๋าที่มั่นคง หรือว่าขี้ขลาดอ่อนแอ ก็ได้แต่รอคอยอย่างเงียบๆ

 

 

จู่ๆ รู้สึกแน่นที่มือ ข้อมือถูกจับไว้แทน มั่วชิงเฉินหันหน้าไป นัยน์ตาดุจดวงดาวสว่างไสวของเยี่ยเทียนหยวนสะท้อนเข้ามาในตา

 

 

ในเวลานี้เอง ได้ยินเพียงชิงตู้เจินจวินตะโกนเสียงดังว่า “สหายเต๋าทั้งสาม ตั้งค่าย!”

 

 

เจินจวินระดับก่อกำเนิดสี่ท่านยื่นมือออกมา ฝ่ามือหันเข้าหากันหมุนเป็นวงอยู่กลางอากาศไม่หยุด หากเป็นคนมีพลังแก่กล้าอยู่นี่ต้องดูออกแน่นอน ฝีเท้าที่ดูคล้ายไร้ระเบียบของพวกเขาวาดภาพแปดทิศออกภาพหนึ่งกลางอากาศ

 

 

เสียดายเพียงนักบำเพ็ญเพียรมนุษย์ที่ยืนอยู่ที่นี่ล้วนต่ำกว่าระดับก่อกำเนิด ในสายตาพวกเขาเห็นเพียงเจินจวินสี่ท่านยิ่งหมุนยิ่งเร็ว ยิ่งหมุนยิ่งรีบ สุดท้ายกลายเป็นเงาเลือนรางเชื่อมต่อกันเต็มท้องฟ้า เมื่อยามที่ทุกคนแยกแยะไม่ออกแม้แต่เงาอันเลือนราง เห็นเพียงห่วงกลมสีขาวห่วงหนึ่งหมุนอยู่กลางอากาศ แสงทองสายหนึ่งลอยขึ้นจากศูนย์กลางห่วงกลม พุ่งถึงเก้าชั้นฟ้าแล้วแปลงเป็นหมัดแสงทองระยิบระยับข้างหนึ่ง หวีดร้องซัดไปทางเด็กหนุ่มลั่วเฟิง

 

 

ครั้งนี้เด็กหนุ่มลั่วเฟิงในที่สุดก็หุบยิ้มที่มุมปากขึ้น ยื่นมือออกสองข้างยกขึ้นสูง ประกบเข้าด้วยกันแล้วฟาดไปที่หมัดยักษ์สีทองที่ร่วงลงมา

 

 

เสียงดังปัง ฟ้าดินสะเทือน

 

 

พระอาทิตย์ที่แขวนอยู่กลางฟ้าโยกโคลงโดยพลัน เหมือนจะตกจากปุยเมฆ

 

 

เมฆเต็มท้องฟ้าม้วนทะยานสั่นคลอน ร้องครืนๆ เพียงชั่วครู่ฝนก็ตกลงมาเหมือนฟ้ารั่ว

 

 

เพียงแต่ฝนนั่นไม่ใช่น้ำฝนในยามปกติ หากแต่เป็นของเหลวสีทอง นักบำเพ็ญเพียรที่ถูกเด็กหนุ่มลั่วเฟิงจำกัดอยู่ในขอบเขตนี้แตะถูกของเหลวสีทองเหล่านี้ แล้วเผยให้เห็นสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว

 

 

“พวกเจ้าไม่กี่คนก็พอมีช่องทางอยู่บ้าง!” เด็กหนุ่มลั่วเฟิงถอยหลังครึ่งก้าว ระบายรอยยิ้มที่มุมปากขึ้นอีกครั้ง จากนั้นเก็บมือกลับมายืนพ่ายหลัง ปีกสีเขียวคู่หนึ่งงอกออกจากด้านหลังอย่างไม่คาดคิด

 

 

ปีกเขียวคู่นี้ไม่ใช่ขนและเลือดเนื้อจริง หากแต่ประกอบขึ้นจากแสงวิญญาณสีเขียว ทว่าขนด้านบนแต่ละเส้นเห็นชัดเจนละเอียดยิบ ดุจมีชีวิต

 

 

“ลมพัด!” เด็กหนุ่มลั่วเฟิงเผยอริมฝีปากแดงแผ่วเบา หลุดออกมาสองคำ

 

 

จากนั้นปีกเขียวด้านหลังกระพือ โหมพายุขึ้นสายหนึ่ง

 

 

ลมพายุพัดหวีดม้วนไปที่ตำแหน่งที่เจินจวินสี่ท่านอยู่ พัดแสงสีขาวจนกระจัดกระจายทันที เจินจวินสี่ท่านปรากฏร่างขึ้นทันที

 

 

ไม่เพียงเท่านี้ ตามจังหวะการกระพือปีกของเด็กหนุ่มลั่วเฟิง คมมีดวายุสีเขียวเป็นสายๆ พุ่งไปรอบทิศ

 

 

คมมีดวายุเหล่านี้เพียงแต่ถูกพัดออกมายามเด็กหนุ่มลั่วเฟิงกระพือปีกตามอารมณ์เท่านั้น ไม่ได้เจตนาพุ่งเป้าไปที่นักบำเพ็ญเพียรข้างล่าง

 

 

ต่อให้เป็นเช่นนี้เสียงกรีดร้องนับไม่ถ้วนดังมาจากด้านล่าง มีนักบำเพ็ญเพียรถูกคมมีดวายุกรีดคอขาด โลหิตกระสานซ่านเซ็น มีบางคนถูกลมที่รุนแรงพัดตกจากอาวุธเวท ร่วงลงเหวลึกหมื่นจั้ง

 

 

“หึๆๆ พวกเด็กน้อย หากอาศัยพวกเจ้าก็ขวางข้าไว้ได้ เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องออกมาแล้ว!” เสียงหัวเราะของเด็กหนุ่มลั่วเฟิงดั่งระฆังเงินกระจายกออกไปรอบทิศ

 

 

“ดับเทพ!” ชิงตู้เจินจวินโยนแส้ขนหางจามรีออกไปโดยพลัน

 

 

หรูอวี้ หมิงวู่ จื่อซูเจินจวินสามท่านสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย กลับโยนสมบัติวิเศษของตนออกไปอย่างไม่ลังเล

 

 

เด็กหนุ่มลั่วเฟิงกระพือปีกเขียวเร็วขึ้นอีก กระแสอาการพุ่งเข้าหาพวกเขา มุมปากลับยิ้มอย่างสนใจ เห็นชัดว่าคิดจะดูว่านักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสี่คนนี้ยังจะเล่นลูกไม้อะไรได้อีก

 

 

แส้ขนหางจามรี แจกัน กระบี่แสงอาทิตย์ สากโขลกยาสัมผัสกันกลางอากาศ ทันใดนั้นส่องแสงสว่างเจิดจ้า แสงพวกนี้ไม่ได้กระจายออก ตรงกันข้ามกลับมาบรรจบและประสานเข้าหาศูนย์กลาง จากนั้นวิหคสีแดงเพลิงตัวหนึ่งทะยานขึ้นฟ้า ส่งเสียงร้องใสกังวาน พุ่งตรงไปยังเด็กหนุ่มลั่วเฟิง

 

 

เด็กหนุ่มลั่วเฟิงมุมปากอมยิ้ม ยื่นมือออกจับที่กลางอากาศ พิณโบราณตัวหนึ่งปราฏขึ้นกลางอากาศ ต่อมานิ้วมือเรียวยาวดั่งหยกดีดสายพิณเบาๆ ลำนำโบราณไพเราะเสนาะหูเพลงหนึ่งก็หลั่งไหลออกมา

 

 

ที่น่าอัศจรรย์คือในลำนำนี้ไม่มีไอเข่นฆ่าแม้แต่น้อย ทว่าไอพิฆาตของวิหคไฟที่ทะยานมาตัวนี้กลับลดลงเรื่อยๆ

 

 

เด็กหนุ่มลั่วเฟิงรอยยิ้มที่หางตายิ่งเจิด ยื่นมือออกฟันใส่วิหคสีแดงเพลิงดุจสายฟ้าฟาด วิหคนั่นโหยไห้เสียงหนึ่ง กางปีกออกกว้างแล้วหายไปในทันใด

 

 

ทว่าเขายกตาขึ้น สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย

 

 

เห็นเพียงเจินจวินระดับก่อกำเนิดสี่ท่านแขนเสื้อขยับโดยไร้ลม ร่างกายเหมือนลูกหนังที่เติมลมประเดี๋ยวพองประเดี๋ยวยวบ แสงที่เจิดจ้าห้อมล้อมพวกเขาไว้ เมฆเหนือศีรษะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเมฆดำม้วนทะยานไม่หยุด เหมือนสวรรค์แสดงอานุภาพ

 

 

“ระเบิดตน!” ในที่สุดเด็กหนุ่มลั่วเฟิงก็หน้าถอดสี กระพือปีกด้านหลังถอยหลังไปดุจดาวตก

 

 

นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสี่ท่านระเบิดตนพร้อมกัน ต่อให้เขาที่เทียบได้กับนักบำเพ็ญเพียรมนุษย์ที่มีตบะระดับถอดดวงจิตก็รับไม่ไหว!

 

 

ทว่าสายเกินไปแล้ว ในชั่วพริบตาที่เด็กหนุ่มลั่วเฟิงถอยหลัง ก็ได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ร่างกายของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสี่ท่านกลายเป็นแสงวิญญาณนับไม่ถ้วนกระสานซ่านเซ็นออกรอบทิศ

 

 

ชั่วขณะนั้นแผ่นดินสะเทือนสั่นคลอนภูผา มืดลงทั้งผืนฟ้า หลังจากนั้นแสงวิญญาณที่เกิดจากการระเบิดตนของนักบำเพ็ญระดับก่อกำเนิดสี่ท่านเหมือนแสงดาวเต็มท้องฟ้า ส่องท้องฟ้าให้สว่างไสวอีกครั้ง

 

 

ที่แท้คาถาวิหคอาบไฟที่พวกเขาเสกเป็นเพียงการอำพราง อาศัยโอกาสระเบิดตนถึงเป็นของจริง!

 

 

เด็กหนุ่มลั่วเฟิงไม่ทันระวังจึงถูกกระทบจากอานุภาพของการระเบิดตน ได้รับบาดเจ็บทันที

 

 

จากการที่เขาบาดเจ็บ เขตอาคมที่ก่อตัวอยู่หย่อนคล้อยทันที นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหลายสิบท่านที่ได้รับเสียงทางจิตเงียบๆ จากเจินจวินทั้งสี่ท่านแต่เนิ่นๆ ที่แสร้งอาศัยถูกคมมีดวายุพัดไปที่มุมอับพาเหล่านักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานแหวกวงล้อมออก หนีออกรอบทิศ

 

 

อยู่ต่อไป ต้องอยู่ต่อไปให้ได้ นี่คือโอกาสรอดเพียงน้อยนิดที่นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดห้าท่านใช้ชีวิตแลกมาเพื่อพวกเขา!

 

 

ในสมองของนักบำเพ็ญเพียรทั้งหมดมีแต่ความคิดนี้ ด้านหลังอสูรปีศาจนับไม่ถ้วนไล่ตามมา คนที่ถูกไล่ทันก็ระเบิดตนทันที ระเบิดอสูรปีศาจตายเป็นเบือ ส่วนนักบำเพ็ญเพียรที่ไล่ไม่ทันก็หนีไปให้ไกลยิ่งขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินเร่งไหมเกล็ดน้ำแข็ง พาเยี่ยเทียนหยวนและเหลียงเฉินบินไปตามทิศทางหนึ่ง หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้นางก็ไม่มีเวลาสนใจว่าบินไปที่ใด รู้เพียงว่าไม่ใช่ทิศเหนือ

 

 

เด็กหนุ่มลั่วเฟิงแม้เพราะบาดเจ็บจึงไม่ได้ไล่ฆ่านักบำเพ็ญเพียรเหล่านี้ ทว่าอสูรปีศาจนับล้านข้างหลังกลับไม่ขาดแคลนอสูรปีศาจจำแลง

 

 

บัดนี้ที่ไล่อยู่ด้านหลังมั่วชิงเฉินก็คืออสูรปีศาจที่จำแลงเป็นชายหนุ่มอายุน้อยคนหนึ่ง

 

 

ไหมเกล็ดน้ำแข็งแม้พลังการเหินหาวโดดเด่น ทว่าเทียบกับอสูรปีศาจจำแลงที่เทียบได้กับนักบำเพ็ญเพียรมนุษย์ระดับก่อกำเนิด ย่อมตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เห็นว่ากำลังจะถูกไล่มาทันแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินผลักเหลียงเฉินลงจากไหมเกล็ดน้ำแข็งโดยพลัน

 

 

“คุณหนู…” เหลียงเฉินร้องอุทาน ร่างกายตกไปด้านล่าง

 

 

มั่วชิงเฉินกลับไม่แม้แต่จะมองนางสักปราด บินไปข้างหน้าต่อ

 

 

อสูรปีศาจจำแลงด้านหลังต้องพุ่งเป้ามาที่นางและเยี่ยเทียนหยวนนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองคนเป็นแน่ เหลียงเฉินไม่ตามตน ไม่แน่อาจยังมีโอกาสรอด

 

 

นางกำลังคิดอยู่กลับรู้สึกมือแน่นขึ้น เสียงต่ำๆ ของเยี่ยเทียนหยวนส่งมาทางจิตว่า “ชิงเฉิน ข้าไม่มีทางปล่อยมือหรอก”

 

 

มั่วชิงเฉินไม่มีเวลาตอบ กลับกุมมือของเยี่ยเทียนหยวนไว้แน่นยิ่งขึ้น

 

 

นางไม่ได้มีแก่ใจคิดเรื่องความรักหรอก หากแต่นางและเยี่ยเทียนหยวนต่างเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ หากเตะเขาลงไปเหมือนอย่างที่ทำกับเหลียงเฉิน ใครจะรู้ว่าอสูรปีศาจที่อยู่ด้านหลังตกลงจะไล่ตามใคร?

 

 

หากไล่ตนเองล่ะก็ยอมแล้ว เยี่ยเทียนหยวนอาการบาดเจ็บยังไม่หายดี หากไล่ตามเขาไป เช่นนั้นตนมิต้องเสียใจไปตลอดชีวิตหรือ

 

 

ก็เป็นเช่นนี้ คนหนึ่งคิดจะร่วมเป็นร่วมตายกับอีกฝ่าย อีกคนหนึ่งกลัวชักนำเคราะห์กรรมไปให้อีกฝ่าย ต่อให้ความคิดต่างกันการกระทำกลับเหมือนกันอย่างประหลาด สองมือยิ่งกุมยิ่งแน่น

 

 

ไม่รู้เพราะบังเอิญหรือแน่นอน พวกเขากุมมือกันแน่นเช่นนี้ อีกทั้งโคจรพลังวิญญาณทั้งตัวทะยานอย่างบ้าคลั่ง ที่ที่สองมือประสานกันไฟจริงในกายจึงทะลักไปที่ฝ่ายตรงข้ามในเวลาเดียวกัน

 

 

เพลิงวาสนาตะวันทั้งแข็งแกร่งทั้งรุนแรง เมื่อใดที่แตะถูกต้องถูกเผาบาดเจ็บแน่นอน ทว่าหลังจากทะลักเข้าร่างมั่วชิงเฉินแล้วกลับอ่อนโยนอย่างหาใดเปรียบมิได้ ผสานพันพัวกับเพลิงแก้วใจกระจ่าง ในชั่วอึดใจพลังวิญญาณอันยิ่งใหญ่ก็ถือกำเนิดขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินที่เดิมทีอ่อนเปรี้ยเพลียแรงกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาในทันใด ไหมเกล็ดน้ำแข็งใต้เท้าวาบแสงวิญญาณขึ้น ความเร็วยิ่งเร็วขึ้นหลายส่วน

 

 

ส่วนสีหน้าที่ซีดเซียวในตอนแรกของเยี่ยเทียนหยวนก็ทุเลาขึ้นไม่น้อยเพราะการทะลักเข้ามาของเพลิงแก้วใจกระจ่าง

 

 

“ศิษย์น้องชิงเฉิน ไปตรงนั้น!” จู่ๆ เยี่ยเทียนหยวนก็เอ่ยขึ้น

 

 

ทิศทางที่เขาชี้คือหน้าผาแห่งหนึ่ง สุดทางหมอกควันม้วนทะยาน ไม่รู้ชั้นเมฆลึกเพียงใด

 

 

ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อเข้ามาใกล้มั่วชิงเฉินถึงพบว่ากระแสอากาศที่ไหลอย่างเร่งรีบระหว่างที่เมฆหมอกม้วนทะยาน จะเป็นลมพายุ

 

 

ทว่านางเชื่อว่าที่เยี่ยเทียนหยวนชี้ไปที่นี่ ต้องไม่ใช่การยิงธนูเสียเปล่าแน่นอน

 

 

รับรู้ได้ถึงพลานุภาพด้านหลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มั่วชิงเฉินโคจรม่านกำบังกันสองคนไว้ แล้วกระโดดลงไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

 

 

ลมพายุที่รุนแรงบ้าคลั่งฉีกกระชากร่างกายนาง ม่านวิญญาณที่คุ้มกายแตกละเอียดในทันใด

 

 

ในยามนี้เองในมือเยี่ยเทียนหยวนปรากฏของสิ่งหนึ่งแล้วโยนออกไป เดิมทีลมพายุที่รุนแรงบ้าคลั่งไม่คิดว่าจะสงบลงชั่วขณะ

 

 

ส่วนทั้งสองคนก็ฉวยโอกาสชั่วอึดใจที่สงบนี้ทะลุลมพายุชั้นนี้ ร่วงลงล่างไป

 

 

เสียงลมข้างหูดังฟิ้วๆ พัดจนเจ็บหู

 

 

“ไม่ต้องกลัว” เยี่ยเทียนหยวนพูดเบาๆ ข้างหูมั่วชิงเฉิน จากนั้นแสงวิญญาณในมือวาบขึ้น คมมีดห้าสายงอกออกจากหลังมือ เสียบเข้าในหน้าผาตรงๆ แล้วกรีดลงล่างหลายจั้ง ประกายไฟบนหน้าผากระเด็นไปทั่ว

 

 

มั่วชิงเฉินได้ยินสามคำนั้นแม้รู้สึกซาบซึ้งอยู่บ้าง ที่มากกว่านั้นกลับเป็นความจำใจ ตนแสดงออกว่ากลัวที่ไหนหรือ ไยยามอยู่กับเขา เหมือนจะถูกเตือนสติถึงฐานะของสตรีอยู่ตลอดเวลา?

 

 

หรือว่า ต่อไปตนควรแสดงออกให้ห้าวหาญกว่านี้อีกสักหน่อย?

 

 

นางกำลังบ่นอยู่ในใจ มือก็รู้สึกถึงแรงสายหนึ่ง จากนั้นด้านหน้ามืดลง เมื่อได้สติกลับมาถึงพบว่าถูกเยี่ยเทียนหยวนลากเขาถ้ำถ้ำหนึ่งที่อยู่บนหน้าผาแล้ว

 

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset