พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 344 แขกไม่ได้รับเชิญมากไปสักหน่อย

 

 

ในถ้ำมืดมาก จู่ๆ ทั้งสองคนก็ตกลงไปชั่วขณะหนึ่งมองรอบด้านไม่ชัด ดีที่ใช้จิตตระหนักกวาดดู ข้างในไม่มีสิ่งผิดปกติ

 

 

ท่ามกลางความมืดมิด สายตาทั้งสองคนถูกปิดกั้น ประสาทการฟังจึงยิ่งเฉียบคมขึ้น เสียงหายใจและใจเต้นแยกแยะได้อย่างชัดเจน

 

 

มั่วชิงเฉินรีบปล่อยมือของเยี่ยเทียนหยวนออก แล้วรื้อของสิ่งหนึ่งที่เหมือนฟักทองออกมาจากกำไลเก็บวัตถุ จากนั้นโยนหินวิญญาณก้อนหนึ่งเข้าไปจากด้านบน ของสิ่งนั้นก็เปล่งแสงเหลืองนวล ส่องจนถ้ำทั้งถ้ำสว่างขึ้นมา พร้อมด้วยแสงสว่างยังมีกลิ่นหอมหวานชื่นใจลอยมาเป็นระลอก

 

 

“นี่คืออะไร?” ท่ามกลางแสงสลัว เยี่ยเทียนหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าขาวซีด

 

 

มั่วชิงเฉินฝืนยิ้มว่า “นี่คือผลไม้ที่เกิดจากเถาวัลย์ชนิดหนึ่ง เป็นอะไรกันแน่ชิงเฉินก็ไม่รู้ พบโดยบังเอิญยามฝึกตนครั้งหนึ่ง ข้าจึงย้ายเถาวัลย์ทั้งเส้นเข้าในสวนยาพกพา”

 

 

ภาพเหตุการณ์เจินจวินระดับก่อกำเนิดทั้งสี่ท่านระเบิดตนยังติดตา ไม่ว่าใครก็อารมณ์ดีไปไม่ได้ ทว่าไม่พูดอะไรหรือทำอะไรเสียหน่อย ในใจจะยิ่งกดดัน

 

 

“ก็…เหมือนฟักทองทีเดียว…” สายตาเยี่ยเทียนหยวนตกลงตรงนั้นตลอด กลับขมวดคิ้ว

 

 

“ดังนั้นชิงเฉินตั้งชื่อให้มัน ชื่อว่าตะเกียงฟักทองนั่นแหละ” มั่วชิงเฉินพูดพลางกวาดมองเยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่ง

 

 

เห็นเพียงเค้าอมยิ้มรับฟัง หลังพิงกำแพงภูเขายืนเสียตรง สีหน้าท่ามกลางแสงสลัวกลับดูขาวซีดผิดปกติ จึงหนักใจทันทีว่า “ศิษย์พี่ลั่วหยาง บาดแผลของท่านเปิดออกใช่หรือไม่?”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนชะงัก จากนั้นพยักหน้า

 

 

มั่วชิงเฉินแอบเหลือกตา เจ้าหมอนี่ไยอวดเก่งเพียงนี้ บาดเจ็บแล้วก็รีบรักษาสิ ยังฝืนทนไว้คุยอะไรตะเกียงฟักทองกับตนอีก

 

 

ทว่าต่อจากนั้นนึกได้ว่าบาดแผลของเขาได้แต่ใดมา ก็ไม่มีอารมณ์แล้ว เดินเข้าไปว่า “บาดแผลที่ไหนเปิด ใช่ที่ถูกไป่หลี่เช่ว์ทำร้ายหรือไม่?”

 

 

นักบำเพ็ญเพียรต่างจากคนธรรมดา หากเป็นบาดแผลธรรมดาทาโอสถวิญญาณภายนอกก็สามารถฟื้นฟูดังเดิม ทว่าไป่หลี่เช่ว์เป็นอสูรปีศาจจำแลง การจู่โจมจากนางแฝงพลังปีศาจ นักบำเพ็ญเพียรถูกพลังปีศาจทำร้าย การจัดการบาดแผลก็ไม่ง่ายเช่นนั้นแล้ว นี่ก็เป็นสาเหตุว่าเหตุใดในวิกฤตอสูรนักบำเพ็ญเพียรสายเยียวยาถึงได้ยุ่งปานนั้น

 

 

ระหว่างที่พูดมั่วชิงเฉินก็เดินมาถึงหน้าเยี่ยเทียนหยวนแล้ว “ให้ข้าดูหน่อย”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเม้มริมฝีปากบาง หมุนตัวไปโดยไม่ส่งเสียงสักแอะ

 

 

ไม่ผิดจากที่คาดไว้จริงๆ หลังของเขาที่ที่ถูกขนหางสีฟ้าของไป่หลี่เช่ว์ทำร้ายเสื้อถูกโลหิตอาบจนชุ่มหมดแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วแผ่วเบา ยื่นมือแตะรอบๆ บาดแผลทีหนึ่ง

 

 

ปลายนิ้วที่เย็นเล็กน้อยแตะลง เยี่ยเทียนหยวนสั่นขึ้นมาทันที แล้วรีบหมุนตัวมาว่า “ศะ…ศิษย์น้องชิงเฉิน ข้าทำเอง…”

 

 

มั่วชิงเฉินชะงักก่อน จากนั้นยื่นขวดหยกไปใบหนึ่ง ยักคิ้วอย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้มว่า “เช่นนั้นได้ ให้ศิษย์น้องดูหน่อยว่าศิษย์ที่ลั่วหยางจะทำเองอย่างไร?”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนรับขวดหยกไป กลับยืนเหลออยู่ตรงนั้นอย่างกระอักกระอ่วน

 

 

ก็ต่อให้เขาเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการบาดแผลที่หลังเองได้นี่นา

 

 

เห็นเขายืนเม้มปากแน่นไม่พูดไม่จาอยู่ตรงนั้น สีหน้ากลับขาวจนน่าตกใจ มั่วชิงเฉินก็ทนทำให้เขาลำบากใจอีกไม่ได้ จึงเอาขวดหยกจากมือเขากลับมาอีกว่า “ศิษย์พี่ลั่วหยาง ให้ชิงเฉินทำเถอะ”

 

 

พูดพลางอ้อมไปข้างหลังเยี่ยเทียนหยวน เพ่งพิศอย่างละเอียดทีหนึ่งแล้วอ้อมกลับมาอีก ท่ามกลางสายตาอธิบายความหมายไม่ถูกของเขาแข็งใจว่า “ศิษย์พี่ลั่วหยาง ท่านถอดเสื้อนอกออกมาก่อน…”

 

 

ในชั่วพริบตานั้นไม่รู้ใช่คิดไปเองหรือไม่ บนใบหน้าเยี่ยเทียนหยวนคล้ายแดงก่ำขึ้นปื้นหนึ่ง จากนั้นก็ถูกสีหน้าดุจน้ำแข็งปกคลุมอีก

 

 

มั่วชิงเฉินแอบด่าว่าเคิงเตีย[1]ทีหนึ่ง สองคนเข้าใกล้กันเดิมทีก็มีความดึงดูดที่ยากจะบังคับอยู่แล้ว ยังดันมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า สวรรค์ นี่ทดสอบนางอยู่ใช่หรือไม่?

 

 

ดีที่เยี่ยเทียนหยวนไม่ได้พูดอะไร กึ่งก้มหน้าแล้วเปิดสาบเสื้อออกเงียบๆ ชุดยาวสีเขียวก่อน ต่อมาคือเสื้อตัวกลางสีขาว จากนั้นอีก ก็เผยให้เห็นช่วงบนที่ลายเส้นสวยงาม สะอาดขาวดุจหยก

 

 

มั่วชิงเฉินอ้อมไปถึงข้างหลัง เห็นเพียงด้านหลังหัวใจเอียงไปเพียงหนึ่งชุ่น มีรูทั้งลึกทั้งเล็กรูหนึ่ง รอบๆ บาดแผลนั้นดันปรากฏรอยแผลนับไม่ถ้วน ดูแล้วน่ากลัวสยดสยอง แผ่นหลังเขียวคล้ำไปหมด

 

 

มั่วชิงเฉินแอบสูดลมเข้าอึดหนึ่ง แล้วเทยาข้นในขวดหยกลงบนฝ่ามือ จากนั้นใช้ปลายนิ้วแตะเบาๆ ทาไปที่บาดแผล

 

 

ในชั่วพริบตาที่ผิวหนังสัมผัสกัน เยี่ยเทียนหยวนตัวแข็งทื่อ ความรู้สึกประหลาดเช่นนั้นมาอีกแล้ว เทียบกับการเข้าใกล้เพียงอย่างเดียวของแต่ก่อนแล้วรุนแรงกว่าหลายเท่านัก

 

 

มั่วชิงเฉินถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว กลับได้ยินเสียหายใจอย่างเร่งเรีบของเยี่ยเทียนหยวน จากนั้นเห็นเขากำหมัดแน่ ไม่กล้าขยับเขยื้อนอีก

 

 

มั่วชิงเฉินกัดฟัน แล้วแอบด่าตนเอง “บำเพ็ญจิตฝึกนิสัย มั่วชิงเฉินเอ๊ยมั่วชิงเฉิน เจ้าบำเพ็ญเพียรมานานหลายปีเพียงนี้ หากใจถูกร่างกายควบคุม เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเต๋าอะไรแล้ว

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ ความพลุ่นพล่านของไฟจริงในกายสงบลงชั่วครู่ แตะยาข้นในฝ่ามือแล้วทาบาดแผลอย่างระมัดระวังและรวดเร็ว

 

 

“ใคร!” มั่วชิงเฉินยกมือ ก้อนอิฐกะพริบแสงทองระยิบระยับก้อนหนึ่งบินออกไป

 

 

เสียงโลหะปะทะกันดังปังลอยมา ก้อนอิฐถูกชนจนเอียง เลี้ยวกลับเข้ามาในมือ

 

 

ชายผู้หนึ่งแวบตัวเข้ามา เมื่อเห็นเหตุการณ์ในถ้ำแล้วชะงักทันที สีหน้าประหลาดว่า “ขออภัย ขออภัย พวกเจ้าต่อ ต่อ”

 

 

มั่วชิงเฉินหน้าดำทันที เดินขึ้นไปก้าวหนึ่งเพ่งพิศผู้ที่มาอย่างระแวง

 

 

ผู้ที่เข้ามาเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเช่นกัน รูปร่างปานกลางสมส่วน ใส่ชุดยาวสีขาวนวล มือถือพัดพับอันหนึ่ง กลับไม่ทำให้คนรู้สึกว่าแสร้งทำเป็นสง่าผ่าเผย ตรงกันข้ามมีความสง่างามที่เกิดจากภายในหลั่งไหลออกมาเองตามธรรมชาติ ท่วงท่างามสง่าน่าเกรงขาม

 

 

โดยเฉพาะดวงตาดำสนิทสุกใสที่หางตาชี้ขึ้นเล็กน้อยคู่นั้น แฝงด้วยรอยยิ้มที่อธิบายไม่ถูกอีก ทำให้คนเห็นแล้วต้องใจเต้น

 

 

เยี่ยเทียนหยวนใส่เสื้อด้วยความรวดเร็ว ฝ่ามือกำห่วงกลมสีแดงทองไว้ ยืนเคียงไหล่มั่วชิงเฉิน

 

 

ผู้ที่เข้ามานั่นเห็นดังนั้นก็แอบโอดครวญ ช่างโชคร้ายติดๆ กันจริงๆ ถูกอสูรปีศาจจำแลงตัวหนึ่งไล่ฆ่าอยู่ก่อน ไม่ระวังตกหน้าผา กว่าจะพบถ้ำถ้ำหนึ่งไม่ใช่ง่ายๆ นึกว่าโชคร้ายสิ้นสุดแล้วโชคดีมาแล้ว สุดท้ายยังทำให้ยวนยางป่าคู่หนึ่งแตกตื่นอีก

 

 

ดูท่าทางไอเข่นฆ่าคุกรุ่นของทั้งสองคน คงไม่ได้จะฆ่าคนปิดปากนะ?

 

 

ผู้ที่มาคิดถึงตรงนี้รีบคารวะอย่างมีมารยาททีหนึ่ง เผยรอยยิ้มสดใสราวกับแสงวสันต์เดือดสามว่า “สหายเต๋าทั้งสองต้องขออภัยจริงๆ ข้าน้อยไม่มีเจตนารบกวนนะ…”

 

 

มั่วชิงเฉินหน้าดำหนักกว่าเดิมแล้ว นี่คือนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเช่นนั้นหรือ พบกันครั้งแรกภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พูดคำพูดเช่นนี้ตกลงคือจะเอาใจหรือว่าท้าทายล่ะ?

 

 

คงต้องเป็นอย่างหลังสินะ? เหลือบเห็นรอยยิ้มกวนประสาทของผู้ที่มาแล้ว มั่วชิงเฉินคิดเงียบๆ

 

 

เยี่ยเทียนหยวนไม่กระโตกกระตาก ห่วงทองในมือกลับกะพริบแสงวิญญาณ

 

 

ผู้ที่มากระโดดขึ้นมาทันที โบกมือว่า “อย่าตีนะ อย่าตีนะ ถูกอสูรปีศาจฝูงนั้นไล่จนเกือบกระอักเลือดแล้ว สหายเต๋าทั้งสองวางใจ วางใจ ข้าน้อยจะรักษาความลับให้พวกเจ้าแน่นอน!”

 

 

“หุบปาก!” มั่วชิงเฉินสุดที่จะทนได้จริงๆ

 

 

“เอ่ย ท่านเซียนท่านนี้หากไม่วางใจจริงๆ หรือไม่ก็ ข้าน้อยสาบานต่อจิตมาร?” ผู้ที่มารีบเอ่ยว่า

 

 

มั่วชิงเฉินแอบสูดลมอึดหนึ่ง กลับใจเย็นขึ้นมา ยืมแสงสลัวของตะเกียงฟักทองนางสามารถมองเห็นอีกฝ่ายแม้ขอให้ละเว้นไปเสียทุกที่ ทว่าในส่วนลึกของดวงตากลับไม่มีความหวาดหวั่นแม้แต่น้อย

 

 

นึกถึงลมพายุสายนั้น ในใจก็กระจ่างขึ้นมาทันที หากสวยแต่รูปจูบไม่หอม จะมาถึงที่นี่ได้อย่างไรกันอีก

 

 

ผู้ที่มาพูดจบก็สังเกตพวกมั่วชิงเฉินสองคน มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนกลับไม่พูดสักแอะ และก็มองเขาอยู่เช่นกัน

 

 

ในชั่วขณะหนึ่ง ทั้งสามคนจ้องตากันทำอะไรไม่ถูก

 

 

บรรยากาศนิ่งเงียบเช่นนี้ไม่ได้ดำเนินไปนานเท่าไร ที่ปากถ้ำมีความเคลื่อนไหวขึ้นอีก ต่อจากนั้นหญิงสาวสองคนโซซัดโซเซบุกเข้ามา

 

 

“ว้าย มีคน!” หญิงที่ใส่ชุดกระโปรงสีเหลืองนวลคนหนึ่งร้องเสียงเบา สีหน้าพรั่นพรึง

 

 

“อ้าว มีคนหรือเนี่ย” หญิงอีกคนหนึ่งใส่ชุดกระโปรงสีม่วง เสียงออดอ้อนไพเราะดุจนกขมิ้น

 

 

มั่วชิงเฉินกระทั่งรู้สึกสนุกขึ้นมาแล้ว นี่ช่างน่าสนใจจริงๆ เวลาเพียงชั่วสั้นๆ ถ้ำนี้ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญมาถึงสามคนแล้ว

 

 

ชายคนแรกเดิมทีก็แปลกประหลาดเล็กน้อยอยู่แล้ว หญิงสาวสองคนที่เข้ามาพร้อมกันยิ่งน่าคิด หลุดปากคำพูดประโยคเดียวกันออกมา กลับดูออกว่าทั้งสองคนนิสัยแตกต่างกันมาก

 

 

“ศิษย์น้องชิงเฉิน ระวังตัวหน่อย สามคนนี้ล้วนไม่ธรรมดา โดยเฉพาะ…หญิงชุดเหลืองผู้นั้น” เสียงของเยี่ยเทียนหยวนจู่ๆ ก็ดังขึ้นในสมอง

 

 

“ศิษย์พี่ลั่วหยางดูออกได้เช่นไรกัน?” เวลาสั้นๆ มั่วชิงเฉินเพียงแต่แน่ใจว่าสามคนนี้ล้วนไม่ธรรมดา กลับนึกอะไรมากกว่านี้ไม่ออกแล้ว

 

 

เสียงของเยี่ยเทียนหยวนดูเหมือนกระอักกระอ่วนเล็กน้อยว่า “สัญชาตญาณ”

 

 

มั่วชิงเฉินไม่มีโอกาสซักไซ้ว่าสัญชาตญาณนี้ได้แต่ไรมา เพราะบัดนี้มีอีกคนหนึ่งบุกเข้าถ้ำแล้ว

 

 

“เอ่อ สวัสดีสหายเต๋าทุกท่าน” ผู้ที่มาเพียงแต่ตะลึงชั่วสั้นๆ ก็กลับมาท่าทางเกรงใจมีมารยาทดังเดิม อมยิ้มพยักหน้าทักทายทุกคน พฤติกรรมสง่าสุภาพ ทำให้ผู้อื่นทอดถอนใจว่าตนสู้ไม่ได้

 

 

ครั้งนี้ ทุกคนล้วนไม่ออกเสียงให้รู้แล้วรู้รอดไป เพียงแต่จ้องปากถ้ำไว้เขม็ง หลังจากผ่านไปพักใหญ่แน่ใจว่าไม่มีใครเข้ามาอีกแล้ว หญิงชุดม่วงที่เสียงออดอ้อนผู้นั้นถึงยิ้มเบาๆ ทีหนึ่งว่า “อ้าว วันนี้มีวาสนาจริงๆ ได้พบกับสหายเต๋าทุกท่านที่นี่”

 

 

มีวาสนาน้องสาวเจ้าสิ! มั่วชิงเฉินเส้นเอ็นที่ขยับเต้นตุ้บๆ ไม่รู้เหตุใดเมื่อผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนี่เอ่ยปากปุ๊บ ก็มีกลิ่นอายของนิกายเหอฮวนแผ่ซ่านออกมา

 

 

ส่วนนางเกรงว่าถูกลิขิตไว้ให้ดวงไม่สมพงศ์กับนิกายเหอฮวนเสียแล้ว

 

 

นักบำเพ็ญเพียรหญิงชุดม่วงเห็นสีหน้าทุกคนแตกต่างกันไปล้วนไม่พูดไม่จา ดวงตาสาดส่อง ดูเหมือนแฝงไว้ด้วยความรู้สึกอย่างเหลือล้นมองไปที่ชายที่เข้ามาหลังสุดคนนั้นว่า “ข้าน้อยจื่อซวิน ไม่ทราบว่าสหายเต๋าชื่อว่าอะไร?”

 

 

“ข้าน้อยสมญานามเต๋าโยวหย่วน” ชายหนุ่มมุมปากอมยิ้มก้มต้วแผ่วเบา กิริยางามสง่าไม่มีที่ติ

 

 

นักบำเพ็ญเพียรหญิงชุดม่วงยิ้มอย่างพอใจ แววตาเป็นประกายมองไปที่นักบำเพ็ญเพียรหญิงชุดเหลืองที่อยู่ข้างๆ ว่า “น้องสาวท่านนี้ล่ะ?”

 

 

“ข้า…ข้าชื่อหมิงโหรว” นักบำเพ็ญเพียรหญิงชุดเหลืองเม้มปาก แล้วก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย

 

 

ยังไม่รอให้นักบำเพ็ญเพียรหญิงชุดม่วงถามอีก ชายที่บุกเข้ามาคนแรกก็เอ่ยว่า “ข้าน้อยเชียนหาน สหายเต๋าจื่อซวินต้องจำไว้ให้ดีนะ”

 

 

จื่อซวินหัวเราะฟู่ว่า “ชายท่วงท่าสง่างามเช่นสหายเต๋าเชียนหาน จื่อซวินจะกล้าลืมได้เช่นไร”

 

 

พูดพลางสายตาสาดส่อง มองมาที่เยี่ยเทียนหยวนอย่างอ่อนโยน

 

 

เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าเย็นดุจหิมะ ราวกับมองไม่เห็น

 

 

หากจะว่าไป ชายทั้งสามคนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นชายงามที่หายากในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ทว่าที่สะดุดตาที่สุด ยังคงเป็นเยี่ยเทียนหยวนอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

เขาหน้าตาสมบูรณ์แบบ ดันไม่เหมือนชายบางคนที่เครื่องหน้าประณีตเกินไปจนดูละมุน ตรงกันข้าม จากคิ้วคมถึงริมฝีปากบาง กระทั่งท่ายืนที่ผึ่งผาย ล้วนเผยให้เห็นถึงความเป็นชายชาตรีที่สมบูรณ์แบบ ความรู้สึกที่ให้คนอื่นก็ดุจดั่งแสงอาทิตย์ที่แรงกล้า

 

 

ทว่าบุคลิกของเขาดันเย็นชาดุจหิมะ ความขัดแย้งระหว่างรูปโฉมและบุคลิกเช่นนี้ ยิ่งทำให้คนไม่อาจปฏิเสธได้

 

 

จื่อซวินเห็นเยี่ยเทียนหยวนไม่ส่งเสียงกำลังจะอ้าปาก ทว่าเมื่อเห็นหน้าตาของเขาชัดดีแล้วกลับชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นยิ้มว่า “ไม่ทราบว่าสหายเต๋าชื่ออะไร?”

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] เคิงเตีย  เป็นคำคะนองที่นิยมกันอยู่ในอินเตอร์เน็ตและหมู่วัยรุ่น หรือผู้นิยมคำศัพท์ใหม่ ใช้ในความหมายที่ “ตัวเองหวังไว้มาก อินสุดๆ แต่สุดท้ายกลับถูกหลอก รู้สึกแย่ๆ และใช้ไม่ได้” 坑 (เคิง) ในความหมายของคำกริยาหมายถึง “หลอก” 爹 (เตีย) เดิมหมายถึง “เตี่ย” หรือพ่อนั่นเอง แต่ในความหมายนี้ หมายถึง “ตัวเอง” ความหมายเทียบเคียงกับคำไทย อาจหมายถึง “โดนหักหลัง, ห่วยแตก”

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset