พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 355 คนซวยมีดวงซวย

 

 

“เจ้าปลาเหม็น มาเจอกับข้านี่!” ถังมู่เฉินคลี่พัดพับในมือ พยัคฆ์สีดำตัวหนึ่งก็กระโจนออกมา วิ่งทะยานตรงไปยังปลากินกระดูกขั้นหก

 

 

มั่วชิงเฉินยกมือขึ้น ธนูชิงอิ่นส่งเสียงกังวานดังวิ้งๆ ศรทองคำยิงออกไปดั่งสายลม พุ่งตรงไปยังตาของปลากินกระดูก

 

 

ปลากินกระดูกขั้นหกกระโดดขึ้น อ้าปากออกโดยพลันกัดพยัคฆ์สีดำที่กระโจนเข้ามาไว้ ฉีกทึ้งกรุบกรับๆ ขึ้นมา แทบจะในชั่วอึดใจพยัคฆ์ดำนั่นก็กลายเป็นแสงวิญญาณกระจายไป

 

 

ยามนี้ศรทองคำมาถึงตรงหน้าแล้ว ปลากินกระดูกสัมผัสได้ถึงอันตรายด้วยสัญชาตญาณ เอียงหัวหลบพ้นตาไป

 

 

ศรทองคำถากไปบนเกล็ดปลา ลื่นไถลออกไป

 

 

มั่วชิงเฉินและถังมู่เฉินกระโดดลงจากเรือแล้ว ต่างเหยียบสมบัติวิเศษเหินหาวลอยอยู่บนทะเลที่คลื่นโหมซัดสาด

 

 

ปลากินกระดูกฝูงนั้นได้กลิ่นพุ่งมาด้วยความคึกคัก มั่วชิงเฉินแบมือยิงเข็มสีเขียวออกไปนับไม่ถ้วน ปลากินกระดูกไม่น้อยถูกเข็มสีเขียวยิงถูกหนังท้อง ทันใดนั้นเหลือกตาเลือดไหลเป็นทางทันที

 

 

ปลากินกระดูกที่เหลือไม่เพียงไม่กลัว ตรงกันข้ามกลับถูกกลิ่นคาวเลือดกระตุ้นความเ**้ยมโหดออกมา กระโดดพรวดขึ้นจากผิวน้ำ แยกเขี้ยวอันแหลมคมออก

 

 

ปลากินกระดูกฝูงนี้แม้ระดับชั้นไม่สูง กลับมีจำนวนมหาศาล รับมือขึ้นมาก็ยุ่งยากอยู่บ้าง

 

 

“น้องพี่ ปลากินกระดูกฝูงนี้มอบให้เจ้า เจ้าตัวแก่นั่นพี่ใหญ่รับมือเอง!” ถังมู่เฉินตะโกนขึ้น คลี่พัดพับในมือออก เสียงนกร้องดังชวู้บขึ้น นกยักษ์ขนสีขาวปากแหลมตัวหนึ่งก็กางปีกบินโฉบออกมา

 

 

“เจ้าว่าใครแก่?” เสียงหญิงสาวไพเราะเสียงหนึ่งดังขึ้น ปลากินกระดูกขั้นหกกระโดดตัวลอย ตาแดงก่ำแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินเท้าลื่นเกือบถลาตกลงไปในกองปลากินกระดูก พี่ใหญ่นี่สุดยอดไปเลยจริงๆ คำพูดส่งเดชเพียงประโยคเดียวก็สามารถทำให้ปลากินกระดูกขั้นหกคลุ้มคลั่งได้

 

 

มั่วชิงเฉินออกห่างจากถังมู่เฉินอย่างไม่ให้เห็นร่องลอย มองดูปลากินกระดูกดำทะมึนฝูงนั้นแล้วเม้มปาก ยกธนูชิงอิ่นขึ้น

 

 

ง้างคันธนู กลับไม่เห็นลูกศรใดๆ เสียงสายวิ้งๆ เพราะพริ้งเสนาะหู แสงวิญญาณนับสายไม่ถ้วน สะพรั่งออกดุจดอกไม้ไฟ ยิงกระจายออกไปรอบทิศรอบทาง

 

 

เสียงสวบๆ ดังขึ้น ปลากินกระดูกหลายสิบตัวถูกแสงวิญญาณยิง หงายท้องลอยอยู่ในน้ำ

 

 

มั่วชิงเฉินไม่แม้แต่จะดู ยกมือดึงสายธนูอีกครั้ง แสงวิญญาณนับไม่ถ้วนดุจห่าฝนธนูยิงออกไปอีก ฆ่าปลากินกระดูกตายเป็นเบืออีกครั้ง

 

 

หนึ่งครั้ง หนึ่งครั้ง อีกหนึ่งครั้ง มั่วชิงเฉินไม่รู้ดึงสายธนูไปกี่ครั้ง จนข้อนิ้วของนางขาวเล็กน้อย หน้าตากลับสดใสดังเดิม ทุกครั้งที่ง้างธนูยิง ก็จะคร่าชีวิตปลากินกระดูกเป็นเบือ

 

 

น้ำทะเลรอบๆ ค่อยๆ กลายเป็นสีแดง เริ่มไม่ค่อยไหลแล้ว ศพของปลากินกระดูกลอยเท้งเต้งแน่นขนัดไปหมด

 

 

ในที่สุด ปลากินกระดูกที่เหลือก็หดถอยแล้ว ถอยออกไปสังเกตการณ์ที่โขดหินใกล้ๆ ที่ห่างออกไปสิบกว่าจั้งอย่างช้าๆ

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้ม ที่แท้ปลาพวกนี้ไม่ใช่ไม่รู้จักกลัว หากแต่ต้องดูว่าความคุกคามพอหรือไม่!

 

 

คนบนเรือเด๋อด๋าเล็กน้อย

 

 

“หัว…หัวหน้า ที่แท้ปลากินกระดูกยังรับมือเช่นนี้ได้ด้วย” นักบำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณคนหนึ่งยังไม่ได้สติกลับมา

 

 

“นั่นสิ ก็เหมือน ก็เหมือนตัดผักกุยช่ายอย่างไรอย่างนั้น นี่ช่างเหลือเชื่อเหลือเกิน” นักบำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณอีกคนหนึ่งรับคำว่า

 

 

ในความคิดของพวกเขา ในฝูงปลากินกระดูกนี้ไม่ว่าตัวใดตัวหนึ่ง หากไม่มีค่ายป้องกันคอยคุ้มกันก็สามารถกลืนพวกเขาลงท้องไปทั้งเป็นได้ เป็นตัวตนอันแข็งแกร่งที่ยากจะต่อต้านได้ เหตุใดเมื่อถึงมือหญิงสาวผู้นี้ กลับเหมือนปลาจีนที่ไร้พิษสงปล่อยให้คนต้มยำทำแกง?

 

 

นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานถอนใจยาวเสียงหนึ่งว่า “นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างเรากับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณไงล่ะ” พูดถึงตรงนี้แล้วไม่พูดมากอีก สายตาจับจ้องการต่อสู้ของถังมู่เฉินและปลากินกระดูกขั้นหกไม่กะพริบ

 

 

ในสายตาเขา หญิงสาวผู้นั้นแม้ร้ายกาจ ทว่าจุดสำคัญในการแก้ไขวิกฤตครั้งนี้ยังคงอยู่ที่ว่านักบำเพ็ญเพียรชายนั่นสามารถจัดการปลากินกระดูกขั้นหกตัวนั้นได้หรือไม่

 

 

ทว่าเห็นท่าทางหนีหัวซุกหัวซุนอย่างทุลักทุเลและหวีดร้องไม่หยุดของนักบำเพ็ญเพียรชายนั่น ในใจนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานรู้สึกลนลานขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

“น้องพี่ น้องพี่ รีบมาช่วยสิ…” ถังมู่เฉินเอะอะโวยวาย พัดพับในมือเคาะลงอย่างแรงที่ปลากินกระดูกที่จู่โจมมา แสงวิญญาณกระจายออกรอบทิศ แม้ไม่ทำให้ปลากินกระดูกบาดเจ็บ ตัวปลากินกระดูกกลับชะลอลง

 

 

ถังมู่เฉินฉวยโอกาสนี้เผ่นออกไปไกลเป็นโยชน์

 

 

ปลากินกระดูกขั้นหกตัวนั้นเหมือนจะงัดข้อกับถังมู่เฉินเสียแล้ว แม้เห็นมั่วชิงเฉินเข้ามาช่วย ยังคงอ้าปากกว้างพุ่งตรงไปยังถังมู่เฉิน

 

 

“ตีที่ส่วนท้องใต้แก้มสามชุ่นของมัน!” มั่วชิงเฉินแผดเสียงตะโกน

 

 

เมื่อครู่นางฆ่าปลากินกระดูกหลายร้อยตัว เพราะใช้สมบัติวิเศษเจ้าชะตายิงฆ่า ไม่ต้องใช้ตาดู แสงวิญญาณหมื่นสายที่ปล่อยออกก็เหมือนมีหนวดสัมผัส ไม่ว่าตกลงที่ตรงไหนบนปลาตัวไหน ล้วนถ่ายทอดเข้าสมองนางอย่างชัดเจน

 

 

แต่ละครั้งที่ง้างคันธนู ยิงแสงวิญญาณออกไปกี่สาย ยิงถูกปลากกินกระดูกกี่ตัว ปลากินกระดูกพวกไหนถูกฆ่าโดยตรง ปลากินกระดูกพวกไหนบาดเจ็บ ปลากินกระดูกพวกไหนถูกแสงวิญญาณปาดผ่าน เหตุการณ์พวกนี้ล้วนกระจ่างแจ้งแก่ใจ นี่ก็คือความแตกต่างของสมบัติวิเศษเจ้าชะตาและสมบัติวิเศษอื่น

 

 

และการยิงมากครั้งถึงเพียงนี้ ในที่สุดนางก็หากฎเกณฑ์เจอ ขอเพียงแสงวิญญาณแตะถูกส่วนท้องใต้แก้มสามชุ่นของปลากินกระดูก ปลากินกระดูกต้องถูกศรเดียวปลิดชีพแน่นอน

 

 

ปลากินกระดูกตัวนี้แม้อยู่ขั้นหก ทว่ายังคงหนีไม่พ้นข้อจำกัดทางสายพันธุ์ ส่วนท้องใต้แก้มสามชุ่น ก็คือจุดอ่อนของมัน!

 

 

ถังมู่เฉินหันหลังทันที พัดพับในมือกะพริบแสงวิญญาณ ยิงก้านพัดออกไปหลายอัน พุ่งตรงไปที่ส่วนท้องใต้แก้มสามชุ่นของปลากินกระดูก

 

 

ปลากินกระดูกขั้นหกเปล่งคลื่นเสียงที่ทำให้คนปวดเศียรเวียนเกล้าระลอกหนึ่ง คนไม่น้อยบนเรือกอดศีรษะล้มระเนระนาดกับพื้นแล้ว

 

 

เสียงผัวะๆ ดังขึ้นสองสามที ปลากินกระดูกขั้นหกสะบัดหางตบก้านพัดที่เหมือนคมมีดกระเด็นไป แม้บนหางปลาเต็มไปด้วยรอยเลือด กลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย

 

 

มั่วชิงเฉินตะโกนขึ้นเสียงหนึ่ง โยนห่วงกลมสีแดงเพลิงออกไปห่วงหนึ่ง

 

 

ห่วงกลมนี้ก็คือต่างหูปะการังสีแดงที่ได้จากจิ้งจอกหิมะชีซี

 

 

ห่วงกลมไปถึงบนฟ้าแล้วใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เล็งหัวปลากินกระดูกแล้วครอบไป

 

 

ยามนี้เองถังมู่เฉินโบกพัดพับในมืออีกครั้ง ลมพายุสายหนึ่งม้วนทะยานเข้าหาปลากินกระดูก

 

 

ปลากินกระดูกอ้าปากกว้าง ดูดลมพายุเข้าไปโดยพลัน ยามนี้ต่างหูสีแดงมาถึงพอดี ฉวยโอกาสนี้ครอบลงบนตัวปลากินกระดูกอย่างแม่นยำ

 

 

“รัด!” นิ้วมือมั่วชิงเฉินที่เคยฝึกเข็มกล้วยไม้ปัดจุดเคลื่อนไหวรวดเร็วดุจบินได้ ตีเคล็ดวิญญาณสายหนึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

 

 

ต่างหูสีแดงเปล่งแสงวิญญาณออกสายหนึ่งทันที รัดแน่นในบัดดล

 

 

ปลากินกระดูกเป็นเจ้าแห่งน่านน้ำในทะเลแถบนี้เสมอมา ความเป็นราชันของปลากินกระดูกขั้นหกไม่ยอมให้ล่วงละเมิด จู่ๆ ถูกพันธนาการจึงกราดเกรี้ยวขึ้นมาทันที ปากมโหฬารกัดลงไปที่ต่างหูสีแดง

 

 

“เปลวไฟ!” ยามเส้นยาแดงผ่าแปด มั่วชิงเฉินยิงเคล็ดวิญญาณเข้าต่างหูสีแดงอีกสายหนึ่ง เปลวน้ำแข็งลุกไหม้ขึ้นที่ต่างหูทันที

 

 

ปลากินกระดูกขั้นหกจู่ๆ ฟันแตะถูกเปลวไฟที่หนาวเย็นเข้ากระดูก แข็งทื่อทันที

 

 

มั่วชิงเฉินคำนวณปฏิกิริยาของมันไว้นานแล้ว ชั่วแวบหนึ่งโยนก้อนอิฐออกไป ฟาดไปที่หัวปลากินกระดูกอย่างดุดัน

 

 

ปลากินกระดูกหนาวจนฟันชาอยู่ก่อน หัวปลามาโดนก้อนอิฐอีก รู้สึกวิงเวียนขึ้นมาทันที

 

 

ฉวยยามเจ้าป่วยเอาชีวิตเจ้า มั่วชิงเฉินที่เตรียมพร้อมไว้นานแล้วง้างคันธนู ยิงศรด้วยมือเปล่า ศรทองคำพร้อมด้วยอานุภาพรุนแรงดุจสายฟ้าพุ่งตรงไปยังปลากินกระดูก หายเข้าส่วนท้องใต้แก้มสามชุ่นไปดังสวบ!

 

 

“โอ๊ว” เสียงกรีดร้องโทนเพี้ยนของหญิงสาวดังขึ้น ร่างยาวหนึ่งจั้งกว่าของปลากินกระดูกตกลงน้ำดังจ๋อม แล้วจมลึกลงไป

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ลังเลแม้แต่น้อย พุ่งหลาวลงไป

 

 

“เฮ่ย น้องพี่…” ถังมู่เฉินตะโกนเรียกคำหนึ่ง เห็นมั่วชิงเฉินกระโดดลงไปแล้ว ได้แต่ส่ายหน้า

 

 

“ไอยา แย่แล้ว ท่านผู้อาวุโส ใต้ทะเลยังอันตรายกว่าผิวน้ำอีกมากนัก ท่านเซียนนางกระโดดลงไป เกรงว่า…” นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานร้อนใจใหญ่

 

 

ถังมู่เฉินชะงักงัน จากนั้นกระโดดตัวขึ้นจะโดดลงทะเล กลับเห็นมั่วชิงเฉินโผล่พ้นน้ำดังซู่ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าซีดเซียวว่า “อย่า เจ้าอย่าลงมาเด็ดขาด”

 

 

นางโดดลงไปเพียงแค่อยากได้ศพของปลากินกระดูกขั้นหก อย่างมากก็เสียเวลาแค่ชั่วพริบตา หากพี่ชายท่านนี้กระโดดลงไป ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก

 

 

ถังมู่เฉินแม้สงสัยเล็กน้อย เห็นท่าทางมั่วชิงเฉินที่พูดด้วยความดุดัน ยังคงปีนขึ้นมาอย่างเจี๋ยมเจี้ยม

 

 

ไหมเกล็ดน้ำแข็งที่อยู่ใต้เท้ามั่วชิงเฉินเปล่งลำแสงห้าสีออกสายหนึ่งตั้งแต่ยามที่นางกระโดดลงทะเล จากนั้นแปลงเป็นหางปลา หุ้มขาสองข้างของนางไว้ภายใน

 

 

มั่วชิงเฉินส่ายหางเบาๆ ก็เหมือนศรหลุดจากสายธนูยิงลงก้นทะเลโดยไร้แรงต่อต้าน ฉวยโอกาสที่ปลากินกระดูกขั้นหกยังไม่ตกถึงพื้นจับหางของมันไว้ แล้วส่ายหางปลาเบาๆ อีกครั้ง ว่ายขึ้นข้างบนอย่างสง่างามและรวดเร็ว

 

 

เสียงน้ำดังซู่ มั่วชิงเฉินมุดออกจากผิวน้ำ จากนั้นกลั้นใจเบาๆ ยกตัวกระโดดขึ้นเรือ

 

 

มือถือปลากินกระดูกขั้นหกฟาดลงบนพื้นเรือ ดึงให้เสียงอุทานดังขึ้นเป็นระลอกๆ

 

 

มองดูท่าทางเด๋อด๋าของถังมู่เฉิน ความคิดที่แวบเข้ามาในสมองมั่วชิงเฉินนึกไม่ถึงว่าจะเป็น “ไม่คิดว่าจะขึ้นมาได้อย่างไร้อุปสรรค ช่างไม่ง่ายเลยจริงๆ

 

 

“ท่านผู้อาวุโสทั้งสองพลังความสามารถล้ำเลิศจริงๆ เลย ผู้น้อยเป็นตัวแทนคนทั้งลำเรือกราบขอบคุณท่านผู้อาวุโสทั้งสองขอรับ!” นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคุกเข่าลงตรงๆ กลับอดมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งไม่ได้

 

 

นึกไม่ถึงจริงๆ ว่านักบำเพ็ญเพียรหญิงที่งามดุจเทพธิดาท่านนี้จะไม่ใช่คุณหนูอ่อนปวกเปียกของตระกูลใหญ่เช่นที่เขาคิดไว้ หรือว่า… จะเป็นทายาทสายตรงของตระกูลใหญ่สักตระกูลหนึ่ง?

 

 

หางตากวาดผ่านถังมู่เฉิน แล้วแอบพยักหน้าอีก

 

 

ใช่แล้ว หากไม่ใช่ทายาทสายตรงที่ฟูมฟักมาอย่างตั้งใจของตระกูลบำเพ็ญเพียรขนาดใหญ่ ไหนเลยจะให้กำเนิดพี่น้องที่โดดเด่นเช่นนี้ได้

 

 

มั่วชิงเฉินเรียกนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ ความสนใจของทั้งสองคนกลับอยู่ที่ศพของปลากินกระดูกขั้นหก

 

 

นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานรู้จักมองสีหน้ามาก เห็นดังนั้นกอบหมัดว่า “ท่านผู้อาวุโสทั้งสองเชิญตามสบาย ผู้น้อยไปจัดการปัญหาที่ตามมาเสียหน่อย”

 

 

รอนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานถอยลงไป ถังมู่เฉินมองปลากินกระดูกขั้นหกปราดหนึ่ง แล้วมองไปที่มั่วชิงเฉินอีกว่า “น้องพี่ ฝีมือเยี่ยมจริงๆ เลย”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มแผ่วเบา เอ่ยนิ่งเรียบว่า “พี่ใหญ่ชมเกินไปแล้ว อย่างไรเราก็แบ่งสักหน่อยดีกว่า”

 

 

เห็นท่าทางใจเย็นของมั่วชิงเฉิน ถังมู่เฉินกะพริบตาเงียบๆ แอบว่าโชคดีที่นักบำเพ็ญเพียรหญิงอื่นยังคงโฉมงามดุจบุปผาอ่อนแอดุจสายน้ำน่าเกี้ยวพาราสีดังเดิม หากล้วนเหมือนท่านย่าท่านนี้ เช่นนั้นชีวิตของตนก็อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเกินไปแล้ว

 

 

นึกถึงตรงนี้จู่ๆ ก็ใจคันคะเยอขึ้นมา จื้ดๆ เกาะหมายเลขสามสิบห้าน่าจะใกล้ถึงแล้วกระมัง ก็ไม่รู้ว่ามีแม่นางสวยๆ หรือไม่ ชีวิตในหลายปีมานี้ผ่านไปอย่างไร้รสชาติจริงๆ เลย

 

 

กำลังรอการตอบสนองของถังมู่เฉิน กลับเห็นเขาจู่ๆ ก็เหม่อลอย บนใบหน้ายังระบายยิ้มเหมือนคนบ้ากาม มั่วชิงเฉินสูดหายใจเข้า ส่ายก้อนอิฐในมือต่อหน้าเขาว่า “พี่ใหญ่ หากเจ้าไม่มีความเห็น เขี้ยวคู่นี้ของปลากินกระดูกน้องก็เอาไปแล้วนะ”

 

 

จู่ๆ เห็นก้อนอิฐส่ายไปมา ถังมู่เฉินตกใจแทบกระโดด ถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว

 

 

ใครจะรู้ว่าเดิมทีเขาก็ยืนอยู่ที่ขอบเรืออยู่แล้ว พอถอยไปเช่นนี้ปุ๊บเท้าก็เหยียบอากาศตกลงทะเลไป

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset