พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 379 น้ำและไฟประสานสัมพันธ์

 

 

 

ทั้งสี่คนแสดงสีหน้าดีใจ ผู้บำเพ็ญเพียรเพียรสายพละกำลังก้าวเท้าเดินไปยังประตูใหญ่ก่อน  

 

 

“เดี๋ยวก่อน” มั่วชิงเฉินเอ่ยตะโกน  

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรเพียรสายพละกำลังหันกลับมา “มีอะไรหรือแม่นางมั่ว”  

 

 

อาจเป็นเพราะธนูหนึ่งดอกเห็นออกผลของมั่วชิงเฉินเมื่อครู่นี้ทำให้เสียงของเขาเกรงใจขึ้นมาก  

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มริมฝีปาก “รอจนพลังวิญญาณฟื้นฟูกลับมาค่อยเข้าไปเถิด”  

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรเพียรสายพละกำลังนึกขึ้นได้ ยิ้มด้วยความระอาใจ นั่งลงบนพื้นเริ่มเข้าสู่สมาธิบำเพ็ญเพียร  

 

 

มั่วชิงเฉินไม่พูดอะไรนั่งลงไปเช่นเดียวกัน รอจนพลังวิญญาณฟื้นฟูกลับมาลืมตาขึ้นแล้วถึงหันไปมองไหล่ซ้ายของตนเอง  

 

 

รอยเลือดตรงนั้นแข็งตัวแล้ว รอยแผลเล็กแต่ลึก ตอนนี้สงบลงแล้วก็ยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แสบร้อน  

 

 

มั่วชิงเฉินหยิบยาทาอวี้หลงทาลงบนปากแผล จากนั้นยื่นมือเรียกไหมเกล็ดน้ำแข็งมาบังหน้าตนเองกลายเป็นกลุ่มควันบดบังสายตาของผู้อื่นแล้วจึงเปลี่ยนถอดเสื้อผ้าที่เสียหาย  

 

 

เพิ่งจะเก็บไหมเกล็ดน้ำแข็งลงไปก็ได้ยินเสียงหญิงบำเพ็ญกรีดร้องน่าเวทนา “อ๋า หน้าข้า เหตุใด…เหตุใด”  

 

 

“เหตุใดถึงได้บวมเหมือนหัวหมูใช่หรือไม่” ผู้บำเพ็ญเพียรเพียรสายพละกำลังพูดส่วนที่เหลือแทนนางออกมาอย่างไม่เกรงใจ  

 

 

สีหน้าของหญิงบำเพ็ญเดี๋ยวซีดเดี๋ยวแดง ทันใดนั้นนางยกนิ้วขึ้นชี้มั่วชิงเฉิน “เจ้าเด็กบ้า เป็นเจ้า…”  

 

 

มั่วชิงเฉินเอ่ยขัดนาง “สหายเต๋า ตอนนั้นเป็นเจ้าที่โจมตีข้าก่อน เหมือนโทษว่าข้าไปขัดจังหวะเรื่องดีๆ ของเจ้าเข้า”  

 

 

พูดถึงตรงนี้แล้วไม่ได้พูดต่อ สายตากลับทอดมองไปยังไหล่ของหญิงบำเพ็ญด้วยท่าทีเหมือนจะหัวเราะ  

 

 

หญิงบำเพ็ญมองตามสายตาของนาง เชือกผูกผ้าปิดท้องสีฟ้าอ่อนเด่นเป็นสง่าปรากฎขึ้นในคลองสายตา  

 

 

“อ๋า” เสียงกรีดร้องแหลมดังขึ้น กระจกดอกกระจับในมือหญิงบำเพ็ญถูกโยนทิ้ง นางรีบหลบเข้าไปนแสงสีขาวอย่างรวดเร็วตราบจนแต่งกายเรียบร้อยถึงได้กล้าออกมาพบผู้คน  

 

 

นางกวาดตามองทั้งสามคนด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ แต่เห็นว่าทั้งสามคมไม่ได้หันมามองนางเลยแม้แต่น้อย พอเป็นเช่นนี้ในใจกลับเกิดความเคียดแค้นขึ้นมา เอ่ยขึ้นว่า “คุณชายเผย…”  

 

 

เผยสิบสามได้ยินเสียงออดอ้อนเช่นนี้ในใจรู้สึกยุ่งยากลำบากใจ ได้แต่หวังว่าคุณหนูตระกูลซั่งกวนจะเป็นปกติ มิเช่นนั้นเพียงคิดถึงวันข้างหน้านั่นมันช่างอับแสงเหลือเกิน  

 

 

แม้จะคิดเช่นนี้แต่ก็ไม่ได้เบิกบานใจ ตัวเขาเองพบผู้หญิงออดอ้อนเอาใจเช่นนี้มามากพอแล้วตั้งแต่เด็กจนโต ต่อให้คุณหนูตระกูลซั่งกวนจะโอหังไปหน่อยก็ยังยอมรับได้ อย่างไรทั้งสองตระกูลดองกันก็เพียงเพราะผลประโยชน์ที่ผูกมัดกันเท่านั้น ตนเองเพียงแต่กตัญญูต่อยอดตระกูลมีลูกมีหลานก็พอแล้ว  

 

 

แน่นอนว่าหากคุณหนูตระกูลซั่งกวนรักตนเองมีศักดิ์ศรี น่าทะนุถนอมรู้ใจตนเองย่อมต้องปฏิบัติเฉกยอดดวงใจ พวกเขามีเวลาอีกมากมายสามารถปรับตัวเข้าหากัน กลายเป็นคู่สร้างคู่สมก็เป็นเรื่องที่เขาคิดหวังเช่นเดียวกัน  

 

 

“สหายเต๋าทั้งสามจะไปหรือไม่” มั่วชิงเฉินเห็นเผยสิบสามใจลอยจึงได้ตะโกนอย่างจนปัญญา  

 

 

เผยสิบสามได้สติกลับมา แววตาลึกล้ำ “ไป”  

 

 

ทั้งสี่คนเพิ่งจะเข้าใกล้ประตูใหญ่ก็เห็นว่าบานประตูเริ่มเองตั้งแต่ล่างขึ้นบน ปรากฏให้เห็นห้องอัคนีห้องหนึ่ง ห้องอัคนีไม่ถือว่าใหญ่สามารถมองเห็นแท่นหยกที่อยู่สุดทางได้อย่างชัดเจน ข้างบนนั้นมีม้วนคัมภีร์หยกสีทองอ่อนฉบับหนึ่งวางอยู่ และยังมีกล่องทรงกลมลวดลายคดเคี้ยวที่เหมือนจะเป็นหยกแต่ก็ไม่ใช่ เหมือนจะเป็นทองก็ไม่เชิง  

 

 

หญิงบำเพ็ญแสดงอาการดีใจ รีบก้าวผ่านทั้งสามคน เท้ากำลังเหยียบเข้าไปในห้องนั้น  

 

 

ยังไม่ทันที่นางจะได้วางเท้าเผยสิบสามคว้าศอกนางดึงกลับถอยกลับมา “รีบกลับมา!”  

 

 

สีหน้าหญิงบำเพ็ญเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด “คุณชายเผยท่าน!” ดวงตามีความโกรธแค้นและหวาดระแวง  

 

 

ทันใดนั้นเสียงดังก้องประตูตกลงไปอีก  

 

 

มั่วชิงเฉินยกริมฝีปาก หญิงบำเพ็ญผู้นี้ปกติเห็นแสดงท่าทีมีใจต่อเผยสิบสาม แต่เมื่อมาถึงเวลาแบ่งทรัพย์สมบัติจะเป็นเผยสิบสามหรือเผยสิบสี่ก็ต้องไปยืนอีกฝั่ง  

 

 

จะว่าไปก็ไม่แปลก หากว่าหญิงบำเพ็ญผู้นี้ไม่มีหัวสมองเห็นชายหนุ่มหน้าตาดีแล้วลุ่มหลงมัวเมาจะมาถึงระดับก่อแก่นปราณได้อย่างไร  

 

 

“สหายเต๋าเผย ในห้องอัคนีมีอะไรไม่เหมาะสมอย่างนั้นหรือ” เมื่อเทียบกับหญิงบำเพ็ญมั่วชิงเฉินมีท่าทีเรียบนิ่งกว่าเยอะ เหมือนว่าไม่เห็นของภายในห้องอัคนีอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

เผยสิบสามมองหญิงบำเพ็ญทีหนึ่ง และหันไปมองมั่วชิงเฉินกับผู้บำเพ็ญเพียรเพียรสายพละกำลัง ท่าทีมีเรื่องครุ่นคิด “ที่จริงข้าน้อยก็ไม่ได้มั่นใจ เพียงแต่คาการณ์เท่านั้น”  

 

 

“คุณชายเผย มีอะไรท่านก็พูดมาเถิด ตรงนี้มีเพียงท่านที่พอเข้าใจเรื่องศาสตร์นี้อยู่บ้าง ท่านพูดอะไรพวกเราก็ฟัง” ผู้บำเพ็ญเพียรเพียรสายพละกำลังเห็นประตูห้องอัคนีปิดสนิทอีกครั้งจึงได้นั่งลงไปบนพื้น  เถรตรงอยู่มาก  

 

 

เผยสิบสามผ่อนลมหายใจเบา ยังดีที่มีสองคนรู้เรื่องอยู่บ้าง หากว่าต้องสู้กันขึ้นมาเพราะของที่อยู่ในห้องอัคนีแม้ตบะบำเพ็ญของตนจะสูงแต่ก็วุ่นวายอยู่ดี  

 

 

เขาอยู่ระดับก่อแก่นปราณชั้นปลาย ไม่ได้กลัวสามคนนี้ แต่กลัวว่าระหว่างต่อสู้ไม่ระวังไปโดนจุดค่ายกลกลายเป็นติดกับดักลึก  

 

 

“เช่นนั้นข้าน้อยขอพูดการคาดเดา ที่นี่เป็นยี่สิบแปดค่ายกลที่ถูกดัดแปลง แต่เมื่อครู่พวกเราเพียงทำลายม่านมังกรเขียว และเสือขาวสองค่ายกลเท่านั้น ยังมีหงส์แดงและเต่าดำอีกสองค่ายกลที่ยังไม่ได้ทำลสบ ห้องอัคนีมาปรากฏตอนนี้ไม่สมเหตุผลเท่าไรนัก หากการคาดเดาของข้าน้อยไม่ผิดห้องอัคนีตรงหน้าคงจะเป็นห้องเชือดที่เอาไว้ล่อลวงคน หากพวกเราบุ่มบ่ามล่วงเข้าไป เกรงว่าคงมีอันตรายอย่างใหญ่หลวง” เผยสิบสามพูดออกมาช้าๆ  

 

 

“ความหมายของสหายเต๋าเผยคือพวกเรายังไม่อาจรู้ได้ จะต้องทำลายค่ายพลังหงส์แดงและเต่าดำเช่นนั้นหรือ” มั่วชิงเฉินยิ้มน้อยๆ พลางพูดขึ้น  

 

 

ใบหน้าของหญิงบำเพ็ญเองก็ปรากฏความหดหู่  

 

 

“ไม่ว่าที่นี่จะเป็นถ้ำพักของผู้อาวุโสท่านใดหรือไม่ เมื่อยี่สิบแปดค่ายกลถูกกระตุ้นแล้วคิดว่าคงไม่มีทางสบายเป็นแน่” คำพูดของเผยสิบสามทำให้ความหวังสูงของคนอื่นดับสลายลง  

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มน้อยๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำตามที่สหายเต๋าเผยพูดก็แล้วกัน”  

 

 

แต่ละคนมีด้านที่เก่งไม่เหมือนกัน นอกจากเผยสิบสาม อีกสามคนรวมถึงตนเองในเมื่อไม่มีความรู้เรื่องค่ายกลแม้แต่นิดเดียวก็ไม่มีความจำเป็นต้องเข้าไปยุ่งวุ่นวาย สิ่งที่ควรทำก็คือให้ความร่วมมือ  

 

 

แน่นอนว่ายังคงต้องลอบระวังป้องกันไว้ เผยสิบสามถนัดวิชาค่ายกล แล้วยังมีตบะบำเพ็ญสูงที่สุด หากคิดจะครอบครองสมบัติเพียงผู้เดียวจนทำร้ายผู้อื่นนั่นก็ไม่ใช่สิ่งผิด  

 

 

เผยสิบสามเงยหน้าขึ้นมองเพดานถ้ำที่เหมือนดาวพราวฟ้า หรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ในมือมีของสิ่งหนึ่งโผล่ขึ้นมาแล้วโยนขึ้นไป  

 

 

ของสิ่งนั้นกระแทกเข้ากับเพดานถ้ำทันใดนั้นก็กลายเป็นลูกไฟจำนวนนับไม่ถ้วน เผาไหม้เป็นลายเส้นที่ถูกกำหนดเอาไว้โดยเฉพาะเหมือนเส้นนำทาง  

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าภาพด้านหน้ามืดครึ้ม ยังไม่ทันที่นางจะเห็นภาพชัดเจนก็รู้สึกได้ถึงไอร้อนที่ร้อนแรง  

 

 

แทบจะเป็นไปตามสัญชาตญาณทั้งร่างของนางกระโดดขึ้นข้างบน ในที่สุดดวงตาก็สามารถเห็นภาพอย่างชัดเจน  

 

 

ใต้เท้าเป็นทะเลไฟทุ่งใหญ่ เปลวเพลิงพิโรธลามไปทั่ว มีความบิดเบี้ยวดุร้าย รอบข้างเป็นผนังไฟที่ลามไปทั่วพื้นจรดฟ้า มองไม่เห็นจุดหมายปลายทางแม้แต่น้อย  

 

 

ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือกองเพลิงรุนแรงนี้เป็นสีม่วงอมน้ำเงิน  

 

 

“อ๋ากกก” เสียงร้องหญิงบำเพ็ญดังขึ้นมา  

 

 

ไม่รู้ว่านางไปกระตุ้นถูกจุดใดเปลวไฟสีม่วงอมฟ้าไล่ตามติดนางไม่หยุด  

 

 

และเสียงร้องของหญิงบำเพ็ญนั้นเป็นเหมือนฉนวน ทันใดนั้นเปลวไฟหลายหลุ่มก็พุ่งไปยังคนทั้งสาม  

 

 

มั่วชิงเฉินรีบหลบไปด้านหลัง เปลวไฟสีม่วงอมฟ้าไล่ตามขึ้นไปในทันใด  

 

 

จากนั้นไม่ว่านางจะหลบเช่นไรเปลวไฟกลุ่มนั้นประหนึ่งมีชีวิตมันสามารถไล่ตามติดนางไปได้ตลอด เหมือนลมเย็นที่พัดผ่านอยู่ทุกที่ และเหมือนกับน้ำสายอ่อนที่ไหลตามกระแส จะพันผูกไปกับตราบจนสุดขอบฟ้า  

 

 

นี่มันเกิดอะไรขึ้น เปลวไฟเป็นสิ่งที่บ้าคลั่ง แข็งแกร่ง และกวาดทุกสิ่งอย่างด้วยความเหิมเกริม แต่ในตอนนี้มันกลับไล่ตามติดนางนำพาซึ่งไออากาศที่หมุนวน ทุกก้าวล้วนถูกจังหวะพอดิบพอดี บีบบังคับให้นางไม่มีที่หลบ  

 

 

และตอนที่ฝ่ามือของมั่วชิงเฉินมีเปลวน้ำแข็งเหมันต์ปรากฏขึ้นมาเปลวไฟเหล่านั้นก็ไม่แก่งแย่งด้วย มันหลบหลีกตามกระแสออกด้านข้างล้อมรอบไว้   

 

 

“สหายเต๋าทั้งสามโปรดระวัง ไฟและน้ำแต่เดิมไม่ถูกกัน แต่ภายในค่ายกลที่ถูกดัดแปลงกลับเอาค่ายพลังหงส์แดงและเต่าดำทั้งสองรวมเป็นหนึ่ง ในน้ำมีไฟ ในไฟมีน้ำ วิธีการคุมศัตรูแบบปกติคงมิอาจทำอะไรได้!” เผยสิบสามตะโกนเสียงดัง  

 

 

ทั้งสี่คนยืนหันหลังชนกัน ต่างฝ่ายต่างแสดงฝีมือเผยเปลวไฟพิเศษที่รวมน้ำไว้ขึ้นมาป้องกัน  

 

 

ในที่นี้คนที่สบายที่สุดคือมั่วชิงเฉินที่เป็นธาตุประจำกาย นางไม่จำเป็นต้องทำอะไร เพียงแค่เอาเปลวน้ำแข็งเหมันต์บนผ่ามือกลายเป็นโล่สีฟ้าน้ำแข็งตัวหนึ่งบังอยู่ข้างหน้า เปลวไฟเหล่านั้นย่อมต้องหลบหลีก  

 

 

แต่คนอื่นกลับไม่สบายเช่นนี้  

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรเพียรสายพละกำลังส่งเสียงร้องประหลาด มือใหญ่ประหนึ่งพัดสานถูกไฟกลืนกิน สะบัดไปมาอย่างบ้าคลั่ง  

 

 

มั่วชิงเฉินดีดนิ้ว เปลวน้ำแข็งเหมันต์ขนาดเท่าเม็ดบัวเม็ดหนึ่งพุ่งออกไป เปลวไฟบนมือของผู้ฝึกกายถูกเปลวน้ำแข็งเหมันต์บีบจนล่าถอยไปในพริบตา  

 

 

“เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ใช่ทางออก สหายเต๋าทั้งสาม พวกเราลอยขึ้นไปอีก!” เผยสิบสามชี้ขึ้นด้านบน  

 

 

หญิงบำเพ็ญและผู้บำเพ็ญเพียรเพียรสายพละกำลังเหนื่อยที่จะรับมือมานานแล้วพยักหน้าเห็นด้วยในทันใด  

 

 

ทั้งสี่คนพบว่ายิ่งขึ้นไปข้างบนอุณหภูมิของผนังไฟทั้งสี่ด้านก็ยิ่งสูงขึ้น รอจนขึ้นไปกว่าร้อยจั้งนอกจากมั่วชิงเฉินที่มีเปลวน้ำแข็งเหมันต์ยังถือว่าเป็นปกติอยู่ ทั้งสามคนที่เหลือมีสีหน้าแดงกล่ำเหงื่อโทรมกาย รู้สึกเหมือนร่างกำลังโดนเผาไหม้  

 

 

“คุณชายเผย ไม่อาจขึ้นไปได้อีกแล้ว หากอุณหภูมิสูงกว่านี้ก็รับมือไม่ไหวแล้ว” น่องของหญิงบำเพ็ญสั่นระรัว นางไม่กล้าลอยขึ้นไปข้างบนอีกแล้วจริงๆ นางมีความรู้สึกบางอย่างว่าหากขึ้นไปข้างบนอีกเกรงว่าคงถูกเผาไหม้ไปทั้งตัว  

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรเพียรสายพละกำลังก็ส่งเสียงสมทบ แม้เขาจะมีผิวหยาบกร้านหนา แต่ก็ยังเป็นร่างที่มีเลือดเนื้ออยู่   

 

 

เผยสิบสามหัวเราะขมขื่น “ข้าน้อยเองก็ไร้ซึ่งหนทาง ข้าน้อยได้สังเกตดูแล้ว ที่นี่ไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย หากคิดจะทำลายม่านพลังหนีออกไปเกรงว่าต้องขึ้นไปข้างบนเรื่อยๆ”  

 

 

ยิ่งพวกเขาบินขึ้นไปข้างบนอุณหภูมิของเปลวไฟก็ยิ่งเพิ่มขึ้น และเป็นการพิสูจน์ว่าการคาดเดาของเขาไม่ผิด ยิ่งเข้าใกล้ตาค่ายกลเท่าไรก็ยิ่งยากจะรับมือมากยิ่งขึ้น  

 

 

“แม่นางมั่ว ไม่ราบว่าเปลวเพลิงของท่านสามารถขยายพื้นที่ได้ใหญ่กว่านี้หรือไม่” เผยสิบสามอดถามขึ้นมาไม่ได้  

 

 

พวกเขาที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรเพียรสายยุทธ์และผู้บำเพ็ญเพียรเพียรสายพละกำลังไม่กลัวการปะมือกับศัตรูต่อหน้า แต่ที่ขลาดกลัวมากที่สุดกลับเป็นม่านพลังที่มหัศจรรย์พันลึกเหล่านี้ เพราะมีม่านพลังจำนวนมากที่คิดจะทำลายอาศัยเพียงกำลังวิทยายุทธ์อย่างเดียวไม่ได้ ในเวลานี้ผู้ฝึกเต๋ามักจะมีวิธีมากกว่า  

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วมุ่น “เปลวเพลิงของข้าไม่ใช่ว่าจะทำได้ตามใจ” พูดพลางนำร่มสีเขียวเข้มหนึ่งด้ามโยนขึ้นไปบนฟ้า  

 

 

มือข้างหนึ่งควบคุมเปลวน้ำแข็งเหมันต์ อีกข้างยิงเคล็ดวิญญาณที่ซับซ้อนวุ่นวายเข้าไปในร่ม  

 

 

ทันใดนั้นร่มด้ามนั้นก็หมุนรอบกลางอากาศกางออก จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยขึ้นไปอยู่เหนือศีรษะคนทั้งสี่ช้าๆ ลมหายใจที่เย็นสบายกระแสหนึ่งรอบล้อมทุกคนเอาไว้ คลื่นร้อนที่รุนแรงถอยหายไปในฉับพลัน  

 

 

มั่วชิงเฉินเก็บเปลวน้ำแข็งเหมันต์พลางยิ้มออกมาน้อยๆ ร่มไผ่เหมันต์ด้ามนี้เอาไว้ใช้สำหรับกันแดดให้บัวหิมะจันทราโดยเฉพาะ สามารถป้องกันสารสกัดเข้มข้นของแสงอาทิตย์ได้ แน่นอนว่าการรับมือเปลวเพลิงเหล่านี้ย่อมไม่ใช่ปัญหา  

 

 

“เจ้ามีของวิเศษเช่นนี้เหตุใดถึงไม่เอาออกมาตั้งแต่แรก!” หญิงบำเพ็ญกล่าวโทษออกมา  

 

 

มั่วชิงเฉินเหลือบตามองนางทีหนึ่งแล้วไม่สนใจ ทั้งสี่คนยิ่งบินขึ้นไปสูงเรื่อยๆ ภายใต้การบดบังของร่มไผ่เหมันต์ ในที่สุดก็มาถึงจุดสูงสุด  

 

 

จุดสูงสุดมีขนาดเท่าปากบ่อ มีแหเพลิงหนึ่งชั้นบดบังไว้  

 

 

“แม่นางมั่ว รบกวนท่านกางร่มต่อไป” เผยสิบสามส่งเสียงพูด  

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้า ยิ่งเข้าไปใกล้จุดสูงสุดเท่าไรอุณหภูมิก็ยิ่งสูงขึ้น ตอนนี้นางเริ่มรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาบ้างแล้ว เคล็ดวิญญาณหลายสายหายเข้าไปในร่มไผ่เหมันต์ไม่หยุดถึงทำให้ยืนหยัดต่อได้ สีหน้าของนางกลับเริ่มซีดขาว  

 

 

นี่ก็เป็นเหตุผลที่นางไม่เอาร่มไผ่เหมันต์ออกมาตั้งแต่แรก ของวิเศษแม้จะมีผลดีแต่ก็ต้องใช้พลังวิญญาณจำนวนมากในการหล่อเลี้ยง  

 

 

มือทั้งสองข้างของเผยสิบสามยิ่งขยับเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนถึงสุดท้ายเห็นเพียงเศษเงา ได้ยินเสียงเขาตะโกนชัด “ไป!”  

 

 

ลำแสงห้าสีหนึ่งสายยิงเข้าไปบนแหเพลิงตรงปากถ้ำในทันใด แหเพลิงสั่นสะท้านทันใดนั้นก็ปะทุออกข้างนอกประหนึ่งภูเขาไฟระเบิด และทั้งสี่คนก็ถูกพัดออกมาพร้อมกัน  

 

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset