พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 397 ดอกรุ่นอรุณยากเด็ดดม

“นั่นคือ…”  

 

 

เห็นจู่ๆ มั่วชิงเฉินก็ปล่อยผึ้งวิญญาณเลือดมรกตออกมา เฉิงหรูยวนมีท่าทีนิ่งไปเล็กน้อย  

 

 

“ผึ้งวิญญาณเลือดมรกต” มั่วชิงเฉินยิ้มบางๆ นางคิดว่าพูดชื่อของผึ้งนี้ออกมาเฉิงหรูยวนจะต้องเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่เป็นแน่  

 

 

แต่เฉิงหรูยวนกลับแลดูมึนงง  

 

 

มั่วชิงเฉินเดินไปตามทิศทางที่ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตบินไป พูดว่า “หรือสหายเต๋าเฉิงจะไม่เคยได้ยินชื่อผึ้งวิญญาณเลือดมรกตมาก่อนหรือ”  

 

 

เฉิงหรูยวนถามขึ้นด้วยความแปลกใจเล็กน้อย “ผึ้งวิญญาณนี้มีอะไรแปลกเป็นพิเศษเช่นนั้นหรือ”  

 

 

มั่วชิงเฉินยิ่งเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ “ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่เล่าขานต่อกันว่าดอกไม้ที่ชอบเก็บน้ำผึ้งมากที่สุดคือดอกสำลีตกสวรรค์”  

 

 

นางพูดเช่นนี้ทำให้หลายคนเกิดความรู้สึกตื่นเต้น โดยเฉพาะเฉิงหรูยวน พูดออกมาด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย “พูดเช่นนี้ พวกมันก็…”  

 

 

มั่วชิงเฉินอมยิ้มพลางพยักหน้า “ข้าเดาว่าอาจมีความเป็นไปได้ เพิ่งจะเข้ามาในเขตพื้นที่นี้ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตก็บินอุตลุดอยู่ภายในถุงเก็บสัตว์พลังวิญญาณ โวยวายจะออกมา”  

 

 

ทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็รีบเร่งฝีเท้า กลัวว่าจะตามไม่ทันผึ้งวิญญาณเลือดมรกต  

 

 

ดวงตาเฉิงหรูยวนประกายแสงสว่างขึ้นมา  

 

 

เขามั่นใจว่าพื้นที่ใกล้เคียงภายในดินแดนทั้งห้าไม่มีผึ้งวิญญาณชนิดนี้เป็นแน่ มิเช่นนั้นด้วยอำนาจของตระกูลเฉิง แล้วเขายังเตรียมพร้อมมากมายเพื่อดอกสำลีตกสวรรค์ ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่เคยได้ยิน  

 

 

หรือว่าสองพี่น้องจะมาจากพื้นที่ห่างไกลห้าดินแดนหรืออาจเป็นคนแผ่นดินใหญ่เช่นนั้นหรือ  

 

 

ในตอนนี้ไม่เหมาะให้คิดมาก เฉิงหรูยวนกดความคิดเหล่านี้ลงไปก้าวเท้าไล่ตามไป  

 

 

ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตทั้งหลายที่ถูกปล่อยออกมาบินไปมาอย่างร่าเริง ทุกคนที่เดินตามพวกมันสามารถรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นละยินดีจากปีกที่ขยับขึ้นลงและร่างกายรูปร่างที่พลิ้วไหลคล่องแคล่วของพวกมัน  

 

 

พื้นที่แห่งนี้หญ้าเขียวเหมือนฟูก รอบด้ายล้วนเป็นภาพทิวทัศน์หญ้าเขียวขจีเป็นพุ่มเสมือนกับทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ไร้ขอบเขต ทอดสายตามองออกไปไกลล้วนเป็นเหมือนกันหมด  

 

 

มีเพียงผึ้งวิญญาณเลือดมรกตเหล่านี้เท่านั้นที่ดูเหมือนมีอะไรนำทาง มันบินกลับไปมา วนเวียนบินลอดผ่านไปตามพุ่มหญ้าเหมือนกับมีอะไรบางอย่างกำลังร้องเรียก บินตรงไปข้างหน้าอย่างมุ่งมุ่นไม่เปลี่ยนแปลง  

 

 

ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตบินอยู่เต็มๆ สองชั่วยามก็ยังไม่เห็นมีทีท่าจะหยุดลง เพราะว่าพวกมันบินเร็วและรีบคนที่ตามอยู่ข้างหลังเริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นบริเวณหน้าผากและปลายจมูกให้เห็น  

 

 

“ผึ้งวิญญาณเหล่านี้จะหาดอกสำลีตกสวรรค์พบจริงหรือ” แม่นางจอมพิษใช้ผ้าบางขาวสะอาดซับเหงื่อบนหน้าผาก ขมวดคิ้วมุ่น  

 

 

แม้นางจะชำนาญการใช้พิษ แต่ท่ามกลางคนเหล่านี้ความสามารถกลับอยู่ระดับธรรมดา การเดินทางผจญอันตรายครั้งนี้ร่างกายย่อมรู้สึกเริ่มรับไม่ค่อยไหวแล้ว  

 

 

ได้ยินคำนี้ของแม่นางจอมพิษหลายคนก็หันไปมองมั่วชิงเฉิน  

 

 

มั่วชิงเฉินท่าทีเรียบนิ่ง เม้มปากพูด “จะหาดอกสำลีตกสวรรค์เจอหรือไม่ยังไม่แน่นอน แต่ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตสนใจย่อมต้องไม่ใช้สิ่งธรรมดาเป็นแน่ หากว่ามีโชคได้รับดอกไม้วิญญาณล้ำค่าชนิดอื่นก็ถือว่าไม่เสียแรงเปล่า”  

 

 

ทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจอย่างลึกซึ้ง เขตพื้นที่นี้ดูแล้วสงบสุขแต่ก็ปกติจนเกินไป ทอดสายตามองออกไปไกลล้วนเป็นภาพเดียวกันทั้งสิ้น หากไม่ใช่เพราะเดินทางตามผึ้งวิญญาณเลือดมรกตเหล่านี้ก็ยังไม่รู้ว่าต้องไปทางใด  

 

 

สีท้องฟ้าเริ่มมืดลง ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตยังคงไม่หยุด ในขณะที่อารมณ์ครื้นเครงโลดโผนของทุกคนเริ่มกลายเป็นด้านชาพื้นที่ห่างออกไปไกลจู่ๆ ก็มีภูเขาเขียวปรากฏให้เห็น  

 

 

ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตหมุนเป็นวงกลมอยู่กลางอากาศหลายรอบ รีบเร่งเพิ่มความเร็ว  

 

 

ไม่นานก็มาถึงตีนเขาเขียว ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตบินตามตีนเขาบินๆ หยุดๆ  ในช่วงขณะที่แสงอาทิตย์ยามอัสดงอาบขอบฟ้าทำให้แสงอาทิตย์ยามค่ำคืนเหมือนไฟที่โหมไหม้ ช่องเขาเป็นแนวยาวเส้นหนึ่งก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน  

 

 

ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตไม่ลังเลที่จะบินเข้าไป  

 

 

ทุกคนหันมองสบตากัน ในมือปรากฏอาวุธขึ้นมา ตามเข้าไปเงียบๆ ไม่พูดจา  

 

 

ช่องเขาทั้งยาวและแคบสามารถรองรับให้คนเพียงคนเดียวเดินผ่าน แล้วยังต้องเอียงตัว ทุกคนเดินหน้าหลังตามลำดับเข้าไปทีละคน เมื่อเดินไปกว่าสิบห้านาทีจู่ๆ ท้องฟ้าเปิดสดใส ภาพวิวทิวทัศน์เสมือนภาพฝันภาพมายาปรากฏให้ทุกคนได้เห็น  

 

 

รอบด้านล้วนเป็นเนินเขาเขียวล้อมรอบหุบเขาเอาไว้ อบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ หญ้าเขียวใบใหญ่โบกสะบัดตามลม ก่อให้เกิดกระแสลมทีละระลอกเสมือนมหาสมุทรสีเขียวอันแสนเงียบสงบอ่อนโยน และดอกไม้สีสวยสดนานาพันธุ์เหล่านั้นกำลังเบ่งบานเหมือนกับปลากหลากสีสันที่แหวกว่ายกลางมหาสมุทร สุดแสนมีชีวิตชีวา  

 

 

ผีเสื้อและผึ้งป่าจำนวนมาก ยังมีนกวิญญาณหลากสีสันล้วนบินร่อนไปมาท่ามกลางทุ่งดอกไม้และพงหญ้า ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตกลับไม่สนใจแม้แต่น้อยบินตรงไปยังทิศเหนือ  

 

 

ไล่ตามเงาของผึ้งวิญญาณเลือดมรกตไป ทุกคนกันไปมองทางทิศเหนือ อดเบิกตาโตขึ้นมาไม่ได้  

 

 

สิ่งที่พวกเขาเห็นคือต้นไม้ต้นหนึ่งที่ตั้งตระหง่านเพียงลำพัง สูงตรงเสียดท้องฟ้าลับหายไปในเมฆหมอก ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือ เพราะต้นไม้สูงเกินไปบริเวณตอนกลางของลำต้นจึงมีเมฆบางลอยล่องอยู่ แม้แต่หิมะก็กองรวมกันอยู่บนกิ่งไม้  

 

 

มองขึ้นข้างบนไปอีกสิบกว่าจั้งก็จะเห็นยอดต้นไม้ขนาดใหญ่ที่เหมือนเป็นร่มบังไว้ บนนั้นมีดอกไม้สีสันสดใสเหมือนสายรุ้งขนาดเท่าปากถ้วยบานอยู่เต็มไปหมด ดอกไม้เหล่านี้อยู่สูงเท่าเมฆหมอก โดดเดี่ยวลำพัง ก้มหน้ามองดูภาพทิวทัศน์ทั้งหุบเขาและเมฆคล้อยกลางลำต้น  

 

 

ต้นไม้ที่สูงใหญ่เช่นนี้ มีดอกไม้มากมายนับไม่ถ้วน แต่กลับไม่มีกลิ่นหอมแม้แต่น้อย แต่กลับดึงดูดผึ้งวิญญาณเลือดมรกตให้บินเข้าไปหาอย่างบ้าคลั่ง  

 

 

“ดอกรุ่งอรุณ ดอกสำลีตกสวรรค์แท้แท้จริงแล้วก็คือดอกรุ่งอรุณที่มีชื่อเสียงนี่เอง!”  

 

 

เห็นภาพแปลกประหลาดสวยงามเช่นนี้ ทุกคนล้วนเกิดความรู้สึกนี้ขึ้นมาในฉับพลัน  

 

 

“แม่นางมั่ว โชคดีที่ท่านมีผึ้งวิญญาณเลือดมรกต ทำให้พวกเราไม่ต้องเสียแรงมากเกินจำเป็น” เฉิงหรูยวนเงยหน้าขึ้นมองดอกงิ้วตกสวรรค์ จิตใจลุ่มหลงมัวเมา  

 

 

จู่ๆ มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วพลัน เห็นว่าผึ้งวิญญาณเลือดมรกตเหล่านั้นบินขึ้นไปไม่กี่จั้งเท่านั้น เหมือนกับกระแทกโดนอะไรบางอย่างจู่ๆ ก็ร่วงลงมา ตกลงมาบนพื้นหญ้าปีกสั่นรัว ร่างกายกลับแน่นิ่งไม่ขยับ เห็นชัดว่าได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก  

 

 

มั่วชิงเฉินรีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า นำผึ้งวิญญาณเลือดมรกตสองสามตัวขึ้นมาวางบนฝ่ามือ  

 

 

ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตสองสามตัวนั้นเป็นกลุ่มผึ้งที่มีระดับสูงสุดในบรรดาฝูงผึ้งเหล่านั้น อยู่ถึงขั้นสามแล้ว แม้จะมีปัญญาวิญญาณไม่สูงนัก แต่เพราะจิตใจเชื่อมต่อกันพวกมันสามารถแสดงความรู้สึกบางอย่างมาถึงนางได้  

 

 

ในตอนนี้ผึ้งตัวน้อยที่แสนน่าสงสารเหล่านี้ใช้กระแสจิตที่อ่อนระโหยของมันร้องทุกข์ความเจ็บปวดให้มั่วชิงเฉินได้รู้ มีทั้งส่งเสียงร้องออดอ้อน “เจ็บ”  

 

 

แต่พวกมันจะมีปัญญาวิญญาณต่ำเกินไป มั่วชิงเฉินถามว่าเกิดอะไรขึ้น พวกมันกลับเล่าไม่ละเอียด  

 

 

ปลอบประโลมผึ้งวิญญาณเลือดมรกตอยู่ครู่หนึ่ง สัญญากับพวกมันว่าจะเด็ดดอกไม้เหล่านั้นมาให้ พวกมันถึงได้ยินยอมกลับไปรักษาอาการบาดเจ็บในถุงสัตว์วิญญาณ  

 

 

“แม่นางมั่ว ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตเหล่านี้บาดเจ็บหรือ” เฉิงหรูยวนเดินเข้ามา  

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้า “อืม พวกมันบ่นว่าเจ็บ แต่สุดท้ายแล้วเกิดอะไรขึ้นกลับบอกไม่ละเอียด”  

 

 

เฉิงหรูยวนครุ่นคิด ถึงพูดว่า “ดูท่าเรื่องเล่าขานน่าจะเป็นจริง”  

 

 

“เรื่องเล่าขานอะไรหรือ” มั่วชิงเฉินถาม  

 

 

เห็นหลายคนเข้ามาร่วมวงเฉิงหรูยวนถึงพูดว่า “เรื่องเล่าต่อกันมาว่าดอกสำลีตกสวรรค์แต่เดิมไม่ใช่ดอกไม้บนโลกมนุษย์ แต่เป็นดอกไม้ในโลกเซียน หลายปีก่อนในอดีตมีเซียนมากความสามารถท่านหนึ่งได้เดินทางมายังโลกใบนี้ด้วยความไม่ตั้งใจ และนำดอกไม้ชนิดนี้มาด้วยคิดไม่ถึงว่าจะออกดอกออกผล ณ ที่แห่งนี้ ต่อจากนั้นมาถึงได้ถูกคนรุ่นหลังตั้งชื่อให้ว่าดอกสำลีตกสวรรค์ แต่น่าเสียดายที่ดอกสำลีตกสวรรค์ไม่ยินยอมแปดเปื้อน ถึงได้พยายามโตขึ้นด้านบนอย่างสุดความสามารถ อยากจะออกห่างความโกลาหล กลับไปยังสรวงสวรรค์ใหม่อีกครั้ง”  

 

 

“นี่คือเรื่องเล่าขานของดอกสำลีตกสวรรค์หรือ เหมือนเป็นเรื่องเล่า” แม่นางจอมพิษปิดปากหัวเราะ  

 

 

เฉิงหรูยวนเลิกคิ้วยิ้มพลางพูดว่า “ใช่แล้ว แต่เดิมผู้คนถือเรื่องนี้ฟังเป็นเรื่องเล่า แต่ก่อนหน้านี้เคยเห็นบันทึกที่ผู้อาวุโสเขียนถึงดอกสำลีตกสวรรค์เอาไว้โดยมิได้ตั้งใจ กล่าวว่ายึดท้องฟ้าถือกำเนิด ยิ่งโตก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ชั้นบรรยากาศที่เคลื่อนตัวอยู่รอบข้างไม่ใช่ปราณดั้งเดิมของโลกมนุษย์อีกต่อไป แต่เป็นปราณแห่งวิญญาณเซียน!”  

 

 

“อะไรน่ะ ปราณแห่งวิญาณเซียน!” ทุกคนตื่นตะลึง  

 

 

เสิ่นฉงเหวินขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า “ท่านพี่ เรื่องนี้เหตุใดท่านถึงไม่เคยพูดถึงมาก่อน หากเป็นปราณแห่งวิญาณเซียนจริง อาศัยเพียงพวกเราจะไปครอบครองดอกสำลีตกสวรรค์ได้อย่างไร”  

 

 

ใจมั่วชิงเฉินกระตุกไหว ปราณแห่งวิญาณเซียน ในร่างกายของนางตอนนี้มีปราณแห่งวิญญาณเซียนขนาดเท่าหน้าเล็บอยู่กลุ่มหนึ่ง  

 

 

แต่หากเฉิงหรูยวนยังไม่มีวิธีการจัดการปราณแห่งวิญญาณเซียนแล้วล่ะก็ ตนเองไม่มีทางที่จะเปิดเผยความลับอันน่าตื่นตะลึงนี้เพียงเพื่อจะครอบครองดอกสำลีตกสวรรค์เป็นแน่  

 

 

เฉิงหรูยวนแค่นยิ้ม “ฉงเหวิน เจ้าเองคงไม่รู้ ครั้งนี้เพื่อที่จะได้คุณสมบัติเดินทางไปเฟิ่งหลินโจว ข้อกำหนดที่ให้ครอบครองดอกสำลีตกสวรรค์ไม่ได้มีเพียงหัวหน้าตระกูลของตระกูลบำเพ็ญเพียรทั้งหลายเป็นคนกำหนดเท่านั้น แต่เป็นข้อกำหนดของทางตระกูลซั่งกวน”  

 

 

“หืม” เสิ่นฉงเหวินแปลกใจ  

 

 

มั่วชิงเฉินและคนอื่นได้ยินเรื่องตระกูลซั่งกวนแห่งเฟิ่งหลินโจวก็นึกเกิดความสนใจขึ้นมา ล้วนทอดสายตาร้อนแรงจับจ้องเฉิงหรูยวน  

 

 

เฉิงหรูยวนกระแอมเบาๆ แล้วพูดว่า “คราวนี้ที่ตระกูลซั่งกวนคัดเลือกลูกเขยมีคุณหนูทั้งหมดสามคน แต่คนที่อยากมุ่งหน้าไปเพราะชื่อเสียงนั้นกลับมีมากมายนับไม่ถ้วน พื้นที่ห่างไกลจากดินแดนทั้งห้าก็ยังแล้วไป แต่พื้นที่ใกล้เคียงกับดินแดนทั้งห้าล้วนเข้าร่วมเรื่องนี้ ตระกูลซั่งกวนเสนอข้อกำหนดที่แตกต่างเป็นพิเศษกับดินแดนแต่ละที่ ทำเช่นนี้ย่อมสามารถกำหนดจำนวนคนที่มีคุณสมบัติ และยังได้รับสิ่งของพิเศษของทั้งห้าดินแดนอีกด้วย”  

 

 

ถังมู่เฉินได้ยินแล้วตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก อดถามออกมาไม่ได้ “คุณหนูตระกูลซั่งกวนนี้คงเสมือนนางฟ้านางสวรรค์เลยมิปาน ถึงได้ดึงดูดชายหนุ่มรูปงามให้ไล่ตามได้มากมายเช่นนี้”  

 

 

ที่จริงแล้วเรื่องนี้ในพื้นที่เซิงโจวถือเป็นความลับที่ถูกเปิดเผย เห็นเฉิงหรูยวนไม่พูดอะไร แม่นางจอมพิษก็แฝงท่าทีไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้นเอาไว้  

 

 

สิ่งที่ถังมู่เฉินเข้าใจมากที่สุดคือความคิดของสตรี จึงได้ลอบส่งกระแสจิตแอบถาม  

 

 

แม่นางจอมพิษไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย “สหายเต๋าถังคงไม่ทราบกระมัง เฟิ่งหลินโจวถือสตรีเป็นใหญ่ ผู้หญิงสามารถตบแต่งสามีได้หลายคน หากเป็นสหายเต๋าถังท่านเองจะยินยอมแต่งงานกับนางฟ้านางสวรรค์เช่นนี้หรือไม่เล่า”  

 

 

ถังมู่เฉินตกใจอ้าปากค้าง “สตรี…สตรีเป็นใหญ่อย่างนั้นหรือ ตบแต่งผู้ชายหลายคน? นี่ นี่มันคือนรกของผู้ชายโดยแท้ ต่อให้เป็นหญิงเซียนบนสวรรค์ก็ไม่เอา!”  

 

 

แม่นางจอมพิษยิ้มอย่างแฝงความนัย “ใช่แล้ว แต่น่าเสียดายที่กุญแจแห่งแดนเสวียนเทียนประดิษฐ์อยู่ในกำมือของตระกูลซั่งกวน ไม่เข้าร่วมการประลองยุทธเลือกคู่อย่างอึกทึกครึกโครมครั้งนี้ ตระกูลเหล่านี้จะมีคุณสมบัติเข้าสู่แดนเสวียนเทียนประดิษฐ์ได้อย่างไรเล่า!”  

 

 

แดนเสวียนเทียนประดิษฐ์? ใจถังมู่เฉินกระตุก มีใครไม่รู้บ้างว่าศึกเต๋ามารในดินแดนเทียนหยวนที่สะเทือนเลือนลั่นไปทั่วไม่ใช่เพราะว่าแย่งชิงกุญแจแดนเสวียนเทียนประดิษฐ์หรืออย่างไรเล่า  

 

 

พื้นที่ลับสองแห่งนี้มีอะไรสัมพันธ์กันอย่างนั้นหรือ  

 

 

ไม่ได้ หลังจากนี้ต้องพูดเรื่องนี้กับน้องสาว  

 

 

ถังมู่เฉินและแม่นางจอมพิษพูดคุยเป็นการส่วนตัวไม่แพร่งพราย เสียงของเฉิงหรูยวนลอยขึ้นมาอีกครั้ง “อย่างไรแล้วตอนที่ได้ยินข้อกำหนดอันแสนคาดคิดไม่ถึงนี้ ข้าสืบค้นข้อมูลที่เกี่ยวกับดอกสำลีตกสวรรค์เอาไว้ไม่น้อย หลังจากที่รู้ว่ารอบด้านดอกสำลีตกสวรรค์อาจมีไอแห่งวิญญาณเซียนอยู่ก็ได้ยืมของสิ่งหนึ่งมาจากหัวหน้าตระกูลแล้ว”  

 

 

“ที่แท้ท่านพี่ก็เตรียมพร้อมไว้แล้วนี่เอง ยืมมาจากหัวหน้าตระกูลย่อมไม่ใช่ของธรรมดาเป็นแน่” เสิ่นฉงเหวินพูดขึ้น  

 

 

เฉิงหรูยวนขยับมือ ปรากฏเป็น สมบัติวิเศษรูปร่างเหมือนลูกคิด “นี่คือลูกคิดพิฆาตฟ้า สามารถคำนวณจุดตัดของไออากาศแต่ละชนิดได้ผ่านลูกคิด และสามารถจัดเรียงพวกมันเข้าตามลำดับ เมื่อเป็นเช่นนี้แม้จะไม่อาจกำจัดไอแห่งวิญญาณเซียนได้ แต่ก็สามารถหลีกให้มีทางออกเส้นหนึ่งได้ แต่ว่า…”  

 

 

“แต่อะไรหรือ” ทุกคนถามขึ้น  

 

 

เฉิงหรูยวนมองมั่วชิงเฉิน “แต่เรื่องนี้ยังต้องให้แม่นางมั่วช่วยเหลือ”  

 

 

   

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset