พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 437 ตามหาไม้สะกดวิญญาณ

เวลากว่าครึ่งปีไม่สนว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืนในการหลอมประดิษฐ์ร่มไร้กังวล ทุกรายละเอียดขั้นตอนล้วนไม่อาจประมาทเลินเล่อ สมาธิและกำลังที่ต้องใช้ไปไม่ได้เหมือนปกติ เมื่อมั่วชิงเฉินเห็นเยี่ยเทียนหยวนก็พบว่าเขาผ่ายผอมลงไปมาก

 

 

“ศิษย์พี่ ลำบากท่านแล้ว” รอยยิ้มของมั่วชิงเฉินอบอุ่นไร้ความรู้สึก ท่าทีนิ่งสงบ แต่ในใจกลับตึงเครียด

 

 

มุมปากเยี่ยเทียนหยวนยกขึ้น ในดวงตาแม้จะมีเส้นเลือดฝอยแต่แววตากลับสดใสเป็นอย่างมาก “ไม่ทำให้ผิดหวัง ภารกิจสำเร็จแล้ว”

 

 

พูดจบในมือก็มีร่มกระดาษน้ำมันสีเขียวคันหนึ่ง แล้วส่งออกไปให้

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือมารับ พิจารณาร่มไร้กังวล

 

 

ร่มไร้กังวลดูแล้วธรรมดาอย่างมาก ใช้ไผ่หยกเป็นก้านร่ม ตัวร่มเป็นกระดาษน้ำมันสีเขียว บนนั้นยังมีกระเรียนเซียนสีขาวหลายตัวถูกวาดอยู่บนนั้น มีทั้งยืนตรง ทั้งนอนเอียง สมจริงแล้วกับมีชีวิต แม้จะตวัดเส้นสายเพียงน้อยนิด แต่กลับมีความอิสระไร้ข้อผูกมัด

 

 

มั่วชิงเฉินพยายามกางมันออก ร่มไร้กังวลเสมือนดอกบัวเขียวดอกหนึ่ง ค่อยๆ บานออก แสงวิญญาณกระแสหนึ่งส่องแสงจัดจ้าออกมาจากตัวร่มไหลผลัดเปลี่ยนไปถึงก้านร่ม สะท้อนใบหน้าของนาง

 

 

หู่โถวเข้ามาร่วมวง “ชิงเฉิน มีสิ่งนี้ พวกเราจะสามารถเข้าไปในพื้นที่หุบเขามังกรเพื่อตามหาไม้สะกดวิญญาณได้เช่นนั้นหรือ”

 

 

สายตาของมั่วชิงเฉินหันไปทางเยี่ยเทียนหยวน

 

 

เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้ารับคำ คำที่พูดออกมายังคงกระชับได้ใจความ “ใช่แล้ว”

 

 

พูดจบก็หงุดหงิดที่ตนเองพูดง่ายจนเหินไป อ้าปากแต่กลับต้องยอมรับอย่างพ่ายแพ้ว่าตนเองไม่ถนัดเรื่องการพูดคุยกับคนแปลกหน้าจริงๆ ฉะนั้นจึงได้แต่เม้มริมฝีปาก กวาดตามองมั่วชิงเฉินทีหนึ่ง

 

 

ไม่รู้ว่าเหตุใด มั่วชิงเฉินเข้าใจความคิดและจิตใจของเยี่ยเทียนหยวนทั้งหมด เขา…รู้สึกตื่นเต้นต่อหน้าหู่โถวเช่นนั้นหรือ

 

 

ความคิดนี้ทำให้นางรู้สึกขำขันอยู่บ้าง และก็มีความรู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง สายตาที่มองไปยังเยี่ยเทียนหยวนกลับลืมถอนออก

 

 

สายตาทั้งสองประสบสาน ในชั้นบรรยากาศมีไออากาศที่บอกที่มาที่ไปไม่ถูกไหลเวียน

 

 

“อมิตตาพุทธ ไม่ใช่เรื่องของเราอย่าได้ฟังๆ” หู่โถวพนมมือ อมยิ้มหันหลังเดินจากไป

 

 

มั่วชิงเฉินรีบถอนสายตาออกเป็นพัลวัน ใบหน้ารู้สึกร้อน ถลึงตามองแผ่นหลังของหู่โถว ยื่นมืออกไปบิดเอวเขาอย่างแรง

 

 

“ไอหยา ชิงเฉิน เจ็บมากนะ” หู่โถวหันกลับมา ใบหน้าบิดขมวดเหมือนซาลาเปา

 

 

มั่วชิงเฉินชักมือกลับด้วยความใจเย็น กรอกตามองเขา “สมน้ำหน้า”

 

 

หู่โถวกวาดตามองมั่วชิงเฉิน และกวาดตามองเยี่ยเทียนหยวน แสยะปากยิ้ม

 

 

หลังจากนั้นสามวัน ร่างกายและเรี่ยวแรงของเยี่ยเทียนหยวนกลับมาอยู่ในสภาวะเต็มที่ ในที่สุดทั้งสามคนก็ออกมาจากพื้นที่บริเวณที่ใช้ชีวิตกว่าครึ่งปี

 

 

ในมือเยี่ยเทียนหยวนถือร่มสีเขียวคันหนึ่งเอาไว้ ขับถ่ายพลังวิญญาณ

 

 

ร่มไร้กังวลหลุดออกจากมือเขา ลอยไปกลางอากาศ

 

 

ร่มเขียวที่กางออกหมุนวนอยู่กลางอากาศ แสงวิญญาณหลายสายถักทอเป็นม่านฝนไหลตกลงมาตามตัวร่ม จากนั้นกระเรียนเซียนหลายตัวที่อยู่บนร่มจู่ๆ ก็มีชีวิตขึ้นมา สะพัดปีกหลุดออกจากตัวร่ม พากันบินผ่านม่านฝนแยกย้ายออกไปรอบด้าน

 

 

ยามที่ม่านฝนถูกดึงออกตรง กระเรียนขาวเหล่านั้นไม่ขยับอีกต่อไป ขยับปีกลอยค้างอยู่กลางอากาศอยู่เช่นนั้น

 

 

ร่มเขียวค่อยๆ ลอยไปข้างหน้า ทั้งสามคนเดินไปตามพื้นที่ที่เกิดจากม่านฝนร่มเขียว ไออากาศสีม่วงอมเขียวที่ทำให้คนนึกหวาดเกรงถูกกางกั้นอยู่ด้านนอก

 

 

ในที่แห่งนี้ไม่อาจขับพลังกระแสจิตออกมาใช้ได้ ทั้งสามคนทำได้เดินไปข้างหน้าช้าๆ

 

 

ยังดีที่มั่วชิงเฉินสามารถนำพลังวิญญาณของตนเองถ่ายให้กับเยี่ยเทียนหยวน ช่วยเพิ่มพลังวิญญาณให้กับร่มไร้กังวล ยามที่พลังวิญญาณในร่างกายไม่เพียงพอก็หยุดพักผ่อน

 

 

เดินอยู่อย่างนี้สามวันสามคืนเต็มๆ การหมุนวนของร่มไร้กังวลยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ

 

 

เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าเย็นเยียบ เอ่ยพูดว่า “ศิษย์น้อง พวกเจ้าระวังเสียหน่อย ตอนนี้เข้ามาในพื้นที่รอบในของหุบเขามังกรแล้ว อาจมีสิ่งประหลาดลอบโจมตีได้”

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้าบ่งบอกว่ารับรู้ กวาดตามองหู่โถวทีหนึ่ง พูดตามจริงแล้ว นางไม่รู้ว่าพลังการต่อสู้ของนักบำเพ็ญเพียนสายพุทธญาณเป็นอย่างไร บางที อาจจะระดับเดียวกับเจ้าเขาน้อย?

 

 

หู่โถวยังไม่รู้ว่าตัวเองถูกประเมินเสียต่ำ แสยะปากยิ้มแสดงฟันเขี้ยวให้เห็น “ข้าสามารถเอาตัวรอดได้”

 

 

รอยยิ้มที่มั่นใจตัวเองเช่นนั้นกลับทำให้มั่วชิงเฉินสบายใจขึ้น หู่โถวนั้นมีนิสัยพูดตามความจริง พูดเช่นไรทำเช่นนั้น ในเมื่อเขาพูดว่าสามารถเอาตัวรอดได้ เช่นนั้นย่อมมีความสามารถอยู่บ้างเป็นแน่

 

 

ไม่ผิดจากที่เยี่ยเทียนหยวนคิดไว้ ทั้งสามคนเดินไปอีกครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวแปลกประหลาด

 

 

ร่างเงาดำหลายร่างพุ่งออกมาจากไออากาศสีม่วงอมเขียวที่แน่นหนาผันแปร

 

 

มั่วชิงเฉินที่ตั้งป้อมระวังไว้นานแล้วขยับมือเรียกกริชฟันปลาออกมา เผชิญหน้ากับร่างเงาดำที่พุ่งเข้ามาเร็วเหมือนสายฟ้าพาดกลับไม่ได้รีบร้อนจะโจมตี แต่กลับแสดงวิชาน้ำพลิ้วตามกายาหลบหลีกพลิ้วไหวอย่างคุ้นเคย

 

 

จากนั้นก็หลบอีกสองสามครั้ง ภายในเสี้ยวเวลาสั้นๆ มั่วชิงเฉินมองร่างเงาดำอย่างชัดเจน และในยามที่มองเห็นชัดนั่นเองความหนาวเหน็บระลอกหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ

 

 

นางไม่เคยเห็นภูติปีศาจที่มีรูปร่างหน้าตา…ประหลาดเช่นนี้มาก่อน

 

 

ภูติปีศาจตนนี้มีรูปร่างทรงกลมเป็นลูกบอล ไม่มีหูไม่มีตา แต่บริเวณครึ่งบนตรงกลางของลูกทรงกลมมีปากสีม่วงอมเขียวอยู่อันหนึ่ง

 

 

ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือภูติปีศาจตัวนี้มองทีแรกเป็นร่างที่จับต้องได้ แต่ลูกบอลกลมแม้จะจับตัวกัน แต่บริเวณขอบกับดูเลอะเลือน มาจนถึงบริเวณรอบนอกสุดกลับกลายเป็นควันบางที่เลื่อนลอย ไหลเวียนไปมารอบลูกบอลกลม

 

 

ถูกมั่วชิงเฉินหลบหลีกติดต่อกันภูติปีศาจเหมือนจะโมโห ยืนนิ่งอยู่กับที่ลูกบอลกลมพองตัวขึ้น จู่ๆ ก็หดตัวกลับไปเหมือนเดิม ของเหลวสีม่วงอมเขียวระลอกหนึ่งกลายเป็นศรน้ำ ถูกพ่นออกมา

 

 

“ศิษย์น้อง เป็นน้ำปราณมังกร อย่าได้โดนโดยเด็ดขาด!” เยี่ยเทียนหยวนที่ปะมือกับภูติปีศาจอีกตัวหนึ่งตะโกนเตือนเสียงดัง

 

 

แม้มั่วชิงเฉินจะไม่ได้รู้จักว่าของเหลวสิ่งนี้คืออะไรเหมือนเยี่ยเทียนหยวน แต่นางที่เป็นระมัดระวังรอบคอบมาโดยตลอดกลับรู้สึกได้ตามสัญชาตญาณว่าของเหลวสิ่งนี้ร้ายกาจอย่างมาก หากว่าเปรอะเปื้อนไปย่อมต้องเป็นเรื่องถึงแก่ชีวิต ฉะนั้นในเสี้ยววินาทีที่นำปราณมังกรถูกพ่นออกมาร่างกายของนางบิดอ่อน กลับกลายโค้งเป็นมุมครึ่งวงกลม น้ำปราณมังกรลอดผ่านออกไปจากบริเวณกลางครึ่งวงกลม

 

 

ไม่นานศรน้ำหลายดอกก็ถูกพ่นออกมาติดต่อกัน

 

 

มั่วชิงเฉินขับเคลื่อนวิชาน้ำพลิ้วตามกายาจนถึงขั้นสุด เสมือนผีเสื้อที่โผบินวนเวียนอยู่กลางท้องฟ้าอย่างคล่องแคล่ว สีหน้ายิ่งเย็นขึ้นเรื่อยๆ ภูติปีศาจเช่นนี้ยังคิดว่าตนเองจะไม่มีปัญญารับมือเช่นนั้นหรือ

 

 

แค่นเสียงเย็นออกมาทีหนึ่ง ในเสี้ยววินาทีที่บิดร่างกายท่อนบนเป็นมุมหนึ่งร้อยแปดสิบองศา มือขวายกขึ้นเขวี้ยงกริชฟันปลาในมือออกไป

 

 

กริชฟันปลาพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ภูติปีศาจที่คุ้นชินกับการหลบหลีกของฝ่ายตรงข้ามกลับหลบไม่ทัน กริชฟันปลาปักเข้าไปในปากของมันเข้าอย่างจัง

 

 

เสียงร้องโหยหวนลอยออกมา ร่างกายกลิ้งกลมของภูติปีศาจสั่นอยู่สองสามที จู่ๆ ปากก็พ่นของเหลวสีม่วงอมเขียวเหนียวหนืดออกมาระลอกหนึ่ง จากนั้นก็กลายเป็นผิวชั้นบาง นอนแน่นิ่งไปบนพื้น

 

 

มั่วชิงเฉินเคยเห็นอสูรปีศาจมามากพอแล้ว แต่ที่น่ารังเกียจเช่นนี้ยังเป็นครั้งแรก

 

 

ปัดความรังเกียจขยะแขยงในใจ มั่วชิงเฉินหันไปมองพวกเยี่ยเทียนหยวนทั้งสองคน

 

 

เยี่ยเทียนหยวนทำสองอย่างในเวลาเดียวกัน ควบคุมร่มไร้กังวลไปพลาง พลางต่อสู้พัวพันกับภูติปีศาจ และภูติปีศาจที่ล้มโจมตีเขากลับมีถึงสองตัว

 

 

ภูติปีศาจพ่นศรน้ำออกมา เยี่ยเทียนหยวนเองก็ยิงลูกไฟสีม่วงอมแดงออกไปรับ

 

 

ลิ้นไฟกลืนกินศรน้ำลงไป บริเวณรอบนอกของศรน้ำมีเปลวไฟคลุมเอาไว้ ภายในยังคงเป็นสภาพศรน้ำเหมือนเดิม เพียงแต่มันชนซ้ายดิ้นขวาก็ยังหาทางออกไม่ได้ ในที่สุดภายใต้การเผาไหม้ของเพลิงวาสนาตะวันก็กลายเป็นควันเขียวกลุ่มหนึ่ง ค่อยๆ สลายหายไป

 

 

ศิษย์พี่ลั่วหยางรับมือกับภูติปีศาจเหล่านี้ย่อมไม่เป็นปัญหา มั่วชิงเฉินหันกลับไปมองหู่โถว

 

 

เห็นว่าบริเวณด้านหน้าของเขาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่มีโล่ปรากฏขึ้นมาอันหนึ่ง รูปทรงวงรี สีเขียวเข้มออกมืด บนนั้นยังสะท้อนลวดลายที่เป็นขดเป็นต่อกันให้เห็น

 

 

มั่วชิงเฉินเบิกตากว้าง ของวิเศษในการป้องกันของหู่โถวเป็นถึงกระดองเต่าอันหนึ่ง!

 

 

หู่โถวที่กำลังรับมือกับภูติปีศาจไม่ได้รู้สึกลำบากในการใช้กระดองเต่ามาเป็นของวิเศษ เขาควบคุมกระดองเต่าได้อย่างคล่องมือดั่งใจคิด กระดองเต่าปักหลักป้องกันอยู่หน้าตัวเขาอย่างมั่นคง ปัดป้องศรน้ำเอาไว้ด้านนอก

 

 

แม้เขาจะไม่ได้โจมตี แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ ภูติปีศาจตัวนั้นกลับไม่มีทางทำอะไรเขาได้ จนถึงสุดท้ายปากที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวบนร่างบอลกลมกลับเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบ เหมือนกำลังหอบหายใจด้วยความโมโห

 

 

จู่ๆ ในใจของมั่วชิงเฉินก็เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา  หู่โถวเอ๋ย เจ้าบอกว่าไม่ฆ่าสิ่งมีชีวิต คงจะไม่ใช้ว่าใช่กระดองเต่านี้ป้องกันตลอดไป ทำให้เจ้าภูติปีศาจนี้เสียแรงจนตายหรืออย่างไร

 

 

สิ่งที่นางเดานั้นไม่ผิด เจ้าภูติปีศาจตัวนั้นไม่รู้ว่าพ่นศรน้ำออกมามากเท่าไรก็ไม่สามารถทำอะไรเจ้านักบวชหัวล้านนั้นได้ ในที่สุดก็โมโหอย่างมาก ทั่วทั้งร่างขยายใหญ่ขึ้น จากนั้นก็พ่นศรน้ำขนาดหนาใหญ่และแข็งแกร่งออกมา ในเสี้ยววินาทีที่นักบวชฝั่งตรงข้ามยิ้มแย้มใช้กระดองเต่าในมือบังเอาไว้ ภูติปีศาจตัวสั่น พ่นของเหลวสีม่วงอมเขียวออกมาระลอกหนึ่งจากปากจากนั้นก็กลายเป็นผิวชั้นบาง นอนแน่นิ่งไปบนพื้น

 

 

ทั้งสามคนจัดการกับภูติปีศาจ เดินต่อไปข้างหน้าไม่กี่ลี้ ก็มีภูติปีศาจกลุ่มใหม่พุ่งเข้ามาอีก

 

 

แต่ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงไม่กี่ตัวเหมือนเดิมอีกต่อไป แต่กลับมีมากมายกว่าร้อยตัว

 

 

สีหน้าของมั่วชิงเฉินเรียบนิ่ง ดวงตามีความเย็นเยียบให้เห็น ในเสี้ยววินาทีที่หู่โถวนำกระดองเต่าออกมา นางก็กระโจนตัวขึ้นเหยียบลงไปบนไหล่ของเขา จากนั้นคันธนูชิงอิ่นปรากฏขึ้น แสดงวิชาเคล็ดกระบี่ไม้นานาพันธุ์ขั้นสี่ วิญญาณบุปผาจรัสแสง

 

 

แสงกระบี่กว่าร้อยลำแสงปรากฏขึ้น ทิ่มแทงลงไปในร่างภูติปีศาจที่หนาแน่นเหล่านั้น

 

 

แต่ในวินาทีที่ร่างของภูติปีศาจสัมผัสเข้ากับแสงกระบี่ เพียงแต่เฉียดเข้าไปข้างในเล็กน้อย จากนั้นก็กระเด็นกลับมา

 

 

แท้จริงแล้วปราณกระบี่กลับไม่อาจทำอะไรภูติปีศาจเหล่านี้ได้เลยแม้แต่น้อย

 

 

เห็นเช่นนี้แล้วสิ่งที่พวกกลัวก็คือกริชฟันปลาที่เป็นการโจมตีที่จับต้องได้แบบนั้น

 

 

มั่วชิงเฉินเกิดความคิดขึ้น จึงกระโดดลงมาจากไหล่ของหู่โถว ข้ามผ่านกระดองเต่าที่เป็นโล่ป้องกันเข้าไปกลางกลุ่มภูติปีศาจ

 

 

ในเวลานี้เองเสียงเย็นใสดังขึ้นมา “ศิษย์น้อง ข้าเอง!”

 

 

มั่วชิงเฉินคุมร่างกายให้นิ่ง ร่อนตัวลงข้างกายหู่โถว

 

 

รอบกายเยี่ยเทียนหยวนเหมือนประกายแสงสีม่วงแกมแดงออกมา ในมือของเขามีดาบยาวที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน บุกเข้าไปกลางกลุ่มภูติปีศาจ

 

 

ภูติปีศาจเหมือนกับระแวงอะไรบางอย่าง ยึดพื้นที่ที่เยี่ยเทียนหยวนพัดเท้าเป็นจุดศูนย์กลาง แล้วถอยลงไปข้างหลัง กลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า

 

 

เยี่ยเทียนหยวนไม่สนใจแม้แต่น้อย มือชูขึ้นสูงปักมีดลงไป กรีดชั้นอากาศให้เป็นเส้นโค้งที่สวยงาม ลูกไฟลูกหนึ่งปรากฏขึ้นตามเส้นโค้งนั้น

 

 

ภูติปีศาจแต่ละตัวกลับถูกผ่าเป็นสองส่วนเหมือนกับหั่นแตงโม ของเหลวในร่างกายพ่นออกมา ร่างของเยี่ยเทียนหยวนกลับหายไปจากที่เดิมอย่างกะทันหัน จากนั้นก็ปรากฏขึ้นบนบริเวณที่ห่างออกไปไม่ไกล ดายาวสะบัดลงมาอย่างไม่ปราณี ผ่าแตงโมอีกหลายลูกนับไม่ถ้วน

 

 

มั่วชิงเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย ดาบยาวเล่มนั้นแต่เดิมเกิดขึ้นจากเปลวไฟที่แข็งตัวรวมกัน แต่ดาบยาวของเขาเล่มนี้ไม่ได้เหมือนกับไฟจริงที่รวมตัวกันเป็นรูปร่างต่างๆ ของตนเอง น่าจะเป็นการรวมตัวของไฟจริงผสมกับวัตถุดิบพิเศษบางอย่าง มิเช่นนั้นก็ไม่น่าจะมีพลังอำนาจเช่นนี้

 

 

นี้ยังไม่ใช่เรื่อสำคัญสุด ที่สำคัญก็คือวิชาลับที่ศิษย์พี่ใช้เมื่อครู่นี้คืออะไร หากมองไม่ผิดเหมือนจะเป็นวิชาเคลื่อนย้ายในฉับพลันที่เล่าขานกันมา!

 

 

แต่…นี่จะเป็นไปได้อย่างไร ตามที่กล่าวขานกันมา วิชาเคลื่อนย้ายในฉับพลันจะต้องเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับสู่มหายานชั้นแตกหน่อถึงจะเรียนรู้ได้!

 

 

มั่วชิงเฉินเกิดความสั่นสะท้านในใจอย่างแรง ในเสี้ยววินาทีที่เหม่อลอยนั่นเอง เยี่ยเทียนหยวนก็จัดการกับภูติปีศาจเหล่านั้นจนกลับมาอยู่ข้างกายนาง ตะโกนว่า “ศิษย์น้อง”

 

 

“ศิษย์พี่ เมื่อครู่นี้ท่าน…”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนรู้ความคิดในใจของนาง อมยิ้มยื่นมือออกมา ลูกผมของนาง “ไม่ใช่การเคลื่อนย้ายในฉับพลัน เพียงแต่ใกล้เคียงกับวิชาลับเคลื่อนย้ายในฉับพลันเท่านั้นเอง ระยะทางสั้นอย่างมาก”

 

 

ทั้งสามคนพักผ่อนอยู่ที่เดิม รอจนพลังวิญญาณฟื้นฟูแล้วเพิ่งจะเดินไปได้ไม่ไกล ไออากาศสีม่วงอมเขียวจู่ๆ ก็โบกพัดประหนึ่งพายุคลั่ง ซัดสาดไม่หยุด

 

 

จากนั้นในขณะที่ทั้งสามคนตั้งสมาธิระแวงรอบข้าง เสียงร่ำไห้ครวญครางของหญิงสาวที่ขาดๆ หายๆ ดังออกมาให้ได้ยิน

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset