พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 447 ความน่ากลัวของศพพาหะ

“ศพพาหะ?” ในสายตาของทุกคนปรากฏแววสงสัย

 

 

สำหรับเรื่องนี้มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนเข้าใจน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แต่กลับนั่งฟังด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

 

 

ในตอนนี้เองที่ได้ยินเสียงของกระทบดัง ทุกคนหันไปมอง พบว่าเป็นหญิงบำเพ็ญเพียรที่นิ่งเงียบมาตลอด แก้วชาในมือกระแทกลงบนหน้าโต๊ะ สีหน้าซีดขาว

 

 

เจ้าเมืองเว่ยส่งสายตาที่แอบแฝงอะไรบางอย่างมองไปยังหญิงบำเพ็ญ เอ่ยปากพูดว่า “ดูท่าสหายท่านนี้จะพอเข้าใจเรื่องศพพาหะอยู่บ้างกระมัง”

 

 

แม้จะสงสัย แต่น้ำเสียงมั่นใจเช่นนั้นทำให้สายตาของทุกคนไม่อาจหนีออกจากหญิงสาว

 

 

หญิงสาวยืดหลังตรงอกผ่ายไหล่ผึ่ง พยักหน้า “เคยได้ยินมาก่อนบ้าง”

 

 

พูดจบก็เม้มปากแน่นอีกครั้ง ไม่คิดจะพูดอะไรไปมากกว่านี้

 

 

สายตาของเจ้าเมืองเว่ยมีประกายแสงให้เห็น จากนั้นก็หายไปแอบซ่อนอยู่ในแววตาที่ลึกล้ำ เอ่ยชมว่า “สหายน้อยช่างหูตากว้างไกลนัก แม้แต่สกุลเว่ยของข้าก็ยังมีน้อยคนที่รู้เรื่องศพพาหะ ศพพาหะถือเป็นซากศพประเภทพิเศษอย่างมาก ไม่ได้มีการแบ่งขั้นลำดับเป็นศพเหล็ก ศพทองแดง แต่ว่าพวกมันน่ากลัวว่าซากศพเหล่านั้นอยู่มาก ความสามารถแทบจะเทียบได้กับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด”

 

 

พูดถึงตรงนี้ เจ้าเมืองเว่ยก็กวาดตาพิจารณาท่าทีของทุกคน

 

 

ทุกคนมีท่าทีเปลี่ยนไป มีผู้หนึ่งพูดออกมาอย่างทนไม่ได้ “เจ้าเมืองเว่ย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ศพพาหะจะเป็นสิ่งที่พวกเรานักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณรับมือได้อย่างไร”

 

 

เจ้าเมืองเว่ยโบกมือ “สหายน้อยฟังข้าพูดให้จบก่อน ที่ตัวข้าสกุลเว่ยเชิญทุกท่านมาช่วยเหลือ ไม่ใช่เพราะจะให้พวกท่านกำจัดศพพาหะ แต่เชิญพวกท่านมาใช้ค่ายกลที่ข้าหลอมประดิษฐ์ขึ้นมาจัดการควบคุมศพพาหะ แล้วตัวข้าสกุลเว่ยจะรีบฆ่ากำจัด”

 

 

“แล้วนี่จะทำไปเพื่ออะไร” ทุกคนยิ่งไม่เข้าใจมากกว่าเดิม

 

 

เจ้าเมืองเว่ยยิ้มอย่างจนปัญญา “ศพพาหะเจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอก มันสามารถรับรู้ได้ถึงตบะบำเพ็ญของคนที่ไล่ตาม หากตัวข้าสกุลเว่ยออกโรงเลยมันจะต้องหลบซ่อนเป็นแน่ เช่นนั้นคิดจะหามันให้พบก็ยากเหมือนกับพิชิตสวรรค์ แต่เพราะตอนนี้มีเวลาไม่มากนัก สี่วันหลังจากนี้จะถือเป็นวันที่เจ็ดที่ศพพาหะหนีออกไปแล้ว แล้วยังเป็นวันพระจันทร์เต็มดวง เมื่อถึงวันนั้นศพพาหะจะต้องเป็นเหมือนชื่อของมัน เดินไปที่ไหนก็จะแพร่พิษให้กับคนทั่วไป คนปกติเหล่านั้นก็จะสลัดเปลือกออกเป็นศพพาหะตัวใหม่ในเวลาอันสั้น”

 

 

พูดถึงตรงนี้เจ้าเมืองเว่ยก็มีท่าทีเคร่งขรึมขึ้นมา “ถึงเวลานั้นเมืองเสวียนอู้จะต้องกลายเป็นเมืองแห่งความตาย แล้วอาจจะส่งผลกระทบทั่วทั้งเสวียนโจวไปจนถึงดินแดนรอบนอกทั้งห้า!”

 

 

ทุกคนสีหน้าซีดเผือด “ท่านเจ้าเมืองเว่ย นี่คือเรื่องจริงหรือ? ศพพาหะร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

 

 

บรรยากาศเย็นกดดัน เจ้าเมืองเว่ยสีหน้าดำคล้ำ “ตัวข้าสกุลเว่ยเป็นถึงนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดชั้นปลาย ยังจะพูดเรื่องโกหกได้อีกหรือ”

 

 

นักบำเพ็ญเพียรที่เอ่ยปากถามเงียบไปในทันใด

 

 

ในเวลานี้เองก็ได้ยินเสียงเย็นชาเหมือนเศษหยกซากน้ำแข็งดังขึ้น “ศพพาหะเป็นเช่นนั้นจริง”

 

 

มั่วชิงเฉินหันมองตามเสียง พบว่าคนที่ส่งเสียงคือหญิงบำเพ็ญหน้าตาไร้ความรู้สึกที่นิ่งเงียบมาตลอด ในตอนนี้นางมีสีหน้าซีดเผือด พอพูดประโยคนี้จบก็หลุบตาลงต่ำ เหมือนว่าละทิ้งโลกใบนี้ไปใช้ชีวิตโดยลำพัง

 

 

“สหายทุกท่านยินยอมรับปากหรือไม่” เจ้าเมืองเว่ยพูดขึ้นช้าๆ

 

 

มั่วชิงเฉินหลุบตาลง มุมปากยกขึ้นน้อยๆ คำเชื้อเชิญที่ออกมาจากนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดชั้นปลายจะยังมีโอกาสให้พวกเขาได้ปฏิเสธหรือ อีกทั้งหากสถานการณ์มีผลที่จะตามมาอย่างรุนแรงเช่นนั้นจริง ถึงเวลานั้นชาวบ้านตกอยู่ในความทุกขเวทนา ในขณะที่เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองก็ไม่ใช่สิ่งที่นางอยากเห็น

 

 

นางไม่คิดอยากจะเป็นพระโพธิสัตว์ แต่บางครั้งมีบางเรื่องที่ไม่อาจเอ่ยปฏิเสธได้

 

 

มนุษย์มีชีวิตอยู่ในโลกย่อมต้องมีเรื่องต้องกระทำ และเรื่องไม่ควรทำ

 

 

พละกำลัง ไม่เพียงแต่ทำลายล้าง ยังมี…การปกป้อง

 

 

แต่ก่อนที่จะรับปากมีบางเรื่องที่ต้องถามให้ชัดเจนเสียก่อน การที่จะต้องไปต่อสู้เพื่อเพื่อนพ้องมีชีวิตกว่าหมื่นพันชีวิตนางไม่เสียใจ แต่หากถูกคนตลบหลัง ยกก้อนหินทับเท้าตนเอง นางไม่ยอม!

 

 

เห็นชัดว่านักบำเพ็ญเพียรที่อุตสาหะฝึกฝนมาจนถึงระดับก่อแก่นปราณล้วนไม่ใช่คนโง่ ไม่นานก็มีชายบำเพ็ญผู้หนึ่งถามขึ้นมา “ท่านเจ้าเมืองเว่ย ได้โปรดให้อภัยที่ข้าน้อยพูดตรง ตระกูลเว่ยในเมืองเสวียนโจวถือเป็นตระกูลใหญ่อันดับต้นๆ ในตระกูลเองก็มีผู้มากความสามารถมากมาย นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็มีจำนวนไม่น้อย เหตุใดถึงต้องให้พวกเราคนนอกเหล่านี้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย”

 

 

คำพูดนี้ถูกเอ่ยออกมา ทุกคนต่างพากันกลั้นลมหายใจตั้งใจฟัง รอคำตอบของเจ้าเมืองเว่ย เห็นชัดว่าคนผู้นี้ถามข้อสงสัยที่อยู่ในใจของทุกคนออกมา

 

 

เจ้าเมืองเว่ยคิดไว้อยู่แล้วว่าต้องถูกถามเช่นนี้ ท่าทีนิ่งเฉยตอบว่า “ตัวข้าสกุลเว่ยเคยพูดแล้วว่าศพพาหะเจ้าเล่ห์ดุจจิ้งจอก เพราะเกิดจากการหลอมของท่านอาวุโสในตระกูล ไม่ว่าจะเป็นนักบำเพ็ญเพียรที่มีวิชาในตระกูลของข้าทั้งหมด พวกมันล้วนแยกแยะออก และจะหนีออกไปไกลตามสัญชาตญาณ ฉะนั้นถึงได้บีบบังคับเชิญสหายทุกท่านให้ช่วยเหลือ ถือเป็นวิธีที่ไร้ปัญญาจะจัดการแล้ว”

 

 

‘เป็นเช่นนี้จริงหรือ?’

 

 

ทุกคนต่างพาหันไปมองหญิงสาวผู้นั้น

 

 

หญิงสาวมีท่าทีนิ่งเฉย แต่เดิมไม่คิดจะตอบคำถาม แต่สายตาเหล่านั้นทำให้นางรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง พยักหน้าอย่างรวดเร็ว

 

 

มั่วชิงเฉินเองก็รู้สึกประหลาดใจ เส้นทางการหลอมศพ ควบคุมศพยังมีเรื่องแปลกประหลาดมากมายเช่นนี้ ช่างไม่เคยได้พบได้เห็นมาก่อนเลยจริงๆ

 

 

การเดินทางในเสวียนโจวหากว่าได้เรียนรู้เปิดหูเปิดตาสักครั้งก็ถือไม่เลว

 

 

ทุกคนล้วนรู้สึกว่าในเมื่อเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว เหมือนจะไม่มีช่องว่างให้ได้เอ่ยปฏิเสธ จึงพากันพยักหน้าตอบตกลง

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้พวกมั่วชิงเฉินทั้งสามคนที่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาก็แลดูโดดเด่นขึ้นมา แน่นอนว่าหู่โถวถูกทุกคนมองข้ามไม่นับไปโดยปริยาย

 

 

สายตาของเจ้าเมืองเว่ยทอดมองมา พิจารณามั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนอีกครั้ง

 

 

เขาเป็นถึงนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดชั้นปลายแล้ว ดวงตาทั้งสองข้างร้ายกาจเพียงใด เกรงว่าไม่ต้องใช้วิชาลูบกระดูก อาศัยเพียงแค่การสังเกตลักษณะและรูปลักษณ์ภายนอกก็ดูออกแล้วว่าทั้งสองคนนี้อายุน้อยนัก

 

 

อายุน้อย ตบะบำเพ็ญสูง นักบำเพ็ญเพียรเช่นนี้มีความเป็นไปได้สูงมากที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลใหญ่

 

 

น้ำเสียงของเจ้าเมืองเว่ยอบอุ่นขึ้นมา “สหายทั้งสองท่านพิจารณาว่าอย่างไรหรือ?”

 

 

เมื่ออยู่ต่อหน้านักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดชั้นปลาย ทั้งสองคนไม่อาจใช้กระแสจิตส่งเสียงปรึกษากัน มั่วชิงเฉินลุกขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว ยิ้มแจ่มใส “ท่านเจ้าเมืองเว่ย ข้าน้อยยังมีอีกคำถามหนึ่ง แต่เพียงว่าหากพูดออกมากลัวว่าท่านเจ้าเมืองเว่ยจะโมโห แต่หากไม่พูดก็ไม่อาจตัดสินใจได้รับปากเรื่องนี้ได้ในทันที”

 

 

“พูดออกมาเถิด” สายตาของเจ้าเมืองเว่ยกวาดผ่านใบหน้าของมั่วชิงเฉินไป

 

 

จู่ๆ เขาก็นึกแปลกใจว่าตุ๊กตาน้อยตัวนี้จะพูดอะไร หรือว่าข้อสงสัยของคนเหล่านั้นก่อนหน้านี้จะยังไม่พอเช่นนั้นหรือ

 

 

มั่วชิงเฉินลอบกำหมัดหลวม ให้กำลังใจตนเอง เพราะคำพูดตรงไปตรงมาต่อจากนี้จะต้องใช้ความกล้าหาญ “ท่านเจ้าเมืองเว่ย ท่านพูดว่าขอเพียงให้พวกเราคบคุมศพพาหะตัวนั้นให้อยู่ ถึงเวลานั้นท่านจะรีบมาจัดการกำจัดด้วยตนเอง แต่หากถึงเวลานั้นท่านมาไม่ทันเวลาเล่า”

 

 

ดวงตาของทุกคนอดไม่ได้ที่จะเบิกโต ถึงขั้นที่มีคนสูดลมหายใจเข้าลึกอีกด้วย

 

 

หญิงบำเพ็ญช่างหาญกล้ายิ่งนัก คำพูดของนางหมายความว่าหากเจ้าเมืองเว่ยมาไม่ทัน ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นการบอกว่า หากถึงเวลานั้นเจ้าเมืองเว่ยไม่มาจะทำเช่นไร

 

 

เพราะอยู่ในพื้นที่ของเมืองเสวียนอู้ จะมีพื้นที่ใดที่เจ้าผู้ครองเมืองจะยังมาไม่ทัน

 

 

ความกดดันแสะใหญ่ถาโถมเข้ามา ร่างของมั่วชิงเฉินเซไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยืดตัวขึ้นตรง

 

 

เยี่ยเทียนหยวนลุกขึ้นในทันใด ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับมั่วชิงเฉิน มองตรงไปยังเจ้าเมืองเว่ยพูดว่า “ท่านเจ้าเมืองเว่ย ศิษย์น้องของข้าน้อยพูดตามที่ใจคิดจนเคยตัว อย่าได้ถือสากล่าวโทษเลย แต่สิ่งที่ศิษย์น้องของข้าน้อยถามเกรงว่าคงจะเป็นสิ่งที่สหายเต๋าทุกท่านก็อยากทราบเหมือนกัน เหตุใดท่านเจ้าเมืองเว่ยถึงไม่อธิบายให้พวกเราได้เข้าใจเล่า พวกเราจะได้ทุ่มเทสุดกำลังเช่นกัน”

 

 

จู่ๆ ร่างกายก็รู้สึกเบาสบาย ความกดดันมหาศาลถูกเก็บกลับไป

 

 

สายตาของเจ้าเมืองเว่ยร้อนแรง จับจ้องไปที่พวกมั่วชิงเฉินทั้งสองคน “สหายทั้งสองช่างหาญกล้านัก”

 

 

บนใบหน้าของมั่วชิงเฉินแลดูสงบนิ่ง แต่ในใจกลับแค่นหัวเราะ คนที่นั่งอยู่ล้วนเป็นคนเสวียนโจว ความหวาดกลัวเคารพนบน้อมที่มีต่อตระกูลเว่ยย่อมลึกล้ำเข้าไปในใจ คำถามเช่นนี้คิดว่าคงจะไม่กล้าเอ่ยถามขึ้นมาเป็นแน่ นางเองก็กลัวจะทำให้นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดชั้นปลายโมโหเช่นเดียวกัน แต่ตอนนี้เพียงแต่ต้องการความกล้า หากไม่ถามถึงเวลาสิ่งที่ต้องเสียไปเป็นถึงชีวิต รู้จักหนักเบา นางเองแบ่งแยกชัดเจน

 

 

ภายในห้องโถงใหญ่เงียบสงัดไร้ซึ่งเสียง หากเข็มตกก็คงได้ยิน

 

 

คำถามที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากถามเมื่อถูกพูดออกมาต่อหน้าทุกคน ในใจของทุกคนย่อมเกิดความประหลาดใจ ล้วนหันไปมองเจ้าเมืองเว่ยเป็นตาเดียว แม้ท่าทีจะไม่กล้าแสดงออกมามากนัก แต่ก็คาดหวังว่าเขาจะพูดให้เข้าใจ

 

 

เจ้าเมืองเว่ยหรี่ตาลง  ดีเหลือเกิน นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณตัวเล็กๆ กล้าที่จะใช้ทุกคนในการสร้างกระแส บีบบังคับตนเองให้เดินถึงขั้นนี้ ช่างทำให้เขาต้องเปลี่ยนแปลงมุมมองใหม่แล้ว

 

 

ค่อยกวาดสายตามองทุกคนทีหนึ่ง ชุดดำที่ไม่มีเครื่องประดับใดๆ ของเจ้าเมืองเว่ยสะบัดโดยไร้ลม จู่ๆ ก็เหมือนปล่อยแสงสูงส่งออกมาทั้งร่าง “ตัวข้าสกุลเว่ยขอให้คำสัญญา ณ ที่แห่งนี้ คำพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น ไม่มีคำโกหกหลอกลวงใดๆ เช่นนี้เป็นอย่างไร จะต้องให้ตัวข้าสกุลเว่ยสาบานด้วยหรือไม่”

 

 

มั่วชิงเฉินย่อมรู้หลักการทำแค่พอเหมาะพอควรก็หยุด หากบีบบังคับให้นักบำเพ็ญเพียรระกับก่อกำเนิดชั้นปลายผู้หนึ่งมาสาบาน ปมปัญหานี้ก็ถูกก่อขึ้นแล้ว รอจนธุระจบลงก็คงถึงคราวมาจัดการตนเองกระมัง

 

 

ตนเองโชคร้ายแล้วทำให้คนอื่นได้เปรียบ เรื่องเช่นนี้นางไม่ทำเป็นแน่ ในตอนนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างโอนอ่อนผ่อนตาม ลักยิ้มคู่หนึ่งปรากฏให้เห็นข้างริมฝีปาก แสดงความน่ารักบริสุทธิ์ออกมา “ท่านเจ้าเมืองเว่ยพูดคำไหนคำนั้น พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องยินยอมทำสุดความสามารถ สิ่งที่พูดไปก่อนหน้านี้ ต้องขอให้ท่านอาวุโสอย่าได้โมโหไป ข้าน้อยรู้สึกว่าพูดเรื่องราวทั้งหมดให้เข้าใจก่อน ถึงจะช่วยทำให้ทุกคนสมัครสามัคคีร่วมกันกำจัดศพพาหะ”

 

 

เจ้าเมืองเว่ยเดินมาถึงขั้นก่อกำเนิดชั้นปลาย ย่อมไม่ได้เป็นคนใจแคบ แล้วจะเอาเรื่องเอาความกับเด็กสาวคนหนึ่งจริงๆ ได้อย่างไร ยิ้มบางๆ พูดว่า “เช่นนั้นก็ต้องรบกวนสหายน้อยผู้นี้แล้ว สหายทุกท่าน ขอให้ตามตัวข้าสกุลเว่ยมาเถิด”

 

 

เจ้าเมืองเว่ยเดินนำออกไปก่อน ชุดดำยาวระพื้น สง่างามไม่มีที่เปรียบ

 

 

ทุกคนเกิดความสงสัยในใจ ไม่รู้ว่าเจ้าเมืองเว่ยยังมีแผนการอะไรอีก รีบเดินตามกันไป

 

 

ออกมาจากโถงใหญ่เดินไปตามระเบียงยาว เดินผ่านสวนแห่งหนึ่งมาไม่นานก็มาถึงหออาคารหลังหนึ่ง ปลายนิ้วเจ้าเมืองเว่ยประกบเข้าหากันพลางยิงเคล็ดวิญญาณออกมา ประตูใหญ่ของหออาคารเปิดออกช้าๆ

 

 

“สหายน้อยทุกท่านเชิญดู สิ่งของในหอสมบัติชั้นหนึ่งพวกท่านสามารถเลือกได้ตามใจชอบคนละหนึ่งชิ้น ถือว่าเป็นของมัดจำของภารกิจครั้งนี้ หลังจากที่ภารกิจจบลงตัวข้าสกุลเว่ยจะนำทุกท่านไปยังชั้นสอง ถึงเวลานั้นทุกท่านสามารถเลือกของได้อีกหนึ่งชิ้นเป็นของกำนัล”

 

 

เจ้าเมืองเว่ยยื่นแขนเสื้อออกไป แสงวิญญาณสีรุ้งทั่วห้องส่องแสงสว่างให้ทุกคน

 

 

มั่วชิงเฉินลอบตะลึงพรึงเพริด หออาคารชั้นหนึ่งแห่งนี้จัดวางชั้นวางของยาวเรียงเป็นแถบ ของวิเศษ โอสถวิเศษ วัตถุดิบมีพร้อมสรรพทุกอย่าง วางกองอยู่บนชั้นวางเต็มไปหมด ถือเป็นห้องเก็บสมบัติล้ำค่าเลยทีเดียว

 

 

ราคาค่าตัวของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดชั้นหลายช่างอุดมสมบูรณ์จริงเชียว

 

 

กวาดสายตามองอาการของทุกคนเอาไว้ เจ้าเมืองเว่ยพอจะประเมิณชาติกำเนิดของทุกคนได้แล้วบ้าง และยิ่งมั่นใจว่าพวกมั่วชิงเฉินทั้งสองจะต้องมาจากตระกูลใหญ่ และหญิงสาวอีกคนหนึ่งเองก็ทำให้เขาสนใจมากเช่นเดียวกัน

 

 

รู้จักศพพาหะ ในเสวียนโจวเองมีไม่มากนัก

 

 

“ขอให้สหายทุกท่านได้โปรดเลือกสรรโดยเร็ว เรื่องนี้ไม่อาจล่าช้าได้อีก ต่อจากนี้ทุกท่านยังต้องทำความเคยชินกับค่ายพลังอีก” เจ้าเมืองเว่ยเอ่ยเตือน

 

 

ทุกคนล้วนเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ เห็นสมบัติล้ำค่าเต็มห้องแม้จะเกิดความหลงใหลไปชั่วขณะ แต่ก็ไม่มีข้อยกเว้น พวกเขาได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว ประสานมือทำความเคารพส่งเสียงรับคำเจ้าเมืองเว่ย ก้าวเข้าไปในหอเก็บสมบัติ

 

 

มั่วชิงเฉินเดินเข้าไปในหอเก็บสมบัติช้าๆ ค่อยๆ กวาดตาชมสมบัติล้ำค่าบนชั้นวาง

 

 

พูดตามจริง หากพูดถึงโอสถวิเศษ ตัวนางเองก็ถือเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวงการหลอมยา เพราะผลข้างเคียงของเพลิงแก้วใจกระจ่าง โอสถวิเศษขั้นสูงหรือขั้นสูงสุดก็สามารถหลอมออกมาได้ สำหรับหญ้าวิญญาณ ตอนนี้เองก็ไม่ได้ขาดแคลน

 

 

ในด้านของวิเศษ ไม่ว่าจะเป็นสมบัติวิเศษเจ้าชะตาโจมตีระยะไกลอย่างคันธนูชิงอิ่น ของวิเศษในการป้องกันอย่างไหมเกล็ดน้ำแข็ง หรือจะเป็นสมบัติเศษโจมตีระยะใกล้อย่างกริชฟันปลา นางเองก็ใช้ได้อย่างคุ้นมือ

 

 

ของวิเศษมีค่าที่ความประณีตไม่ได้มีค่าที่จำนวน นางไม่คิดว่าตนเองมีความต้องการเพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย

 

 

ดูไปดูมาก็รู้สึกว่าไม่มีสิ่งที่ต้องการเป็นพิเศษ

 

 

เดินมาถึงบริเวณมุมห้องที่ลับตา บนชั้นวางนั้นมีของระเกะระกะวางกองอยู่เต็มไปหมด ดูแล้วธรรมดาทั่วไปอย่างมาก ถึงขั้นที่มีใยแมงมุมเกาะ

 

 

มั่วชิงเฉินกวาดตามองอย่างไม่ใส่ใจ ก้าวขาคิดจะเดินจากไป แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอีกาไฟร้องอย่างตื่นเต้น “นายท่านๆ ข้าต้องการสิ่งนั้น!”

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset