พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 449 ค่ายสามด่านคุมศพ

ข้างถนนหินเขียวมีแท่นหินอยู่พอดี คนผู้หนึ่งยืนพิงอยู่ตรงนั้น บริเวณหน้าอกมีรูเลือดอยู่รูหนึ่ง เลือดสดไหลทะลักออกมา ทำให้ทั้งร่างของเขาอาบอยู่ในกองเลือด

 

 

ห่างไปไม่ไกลเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่มาด้วยกัน เขามีสีหน้าซีดขาวนอนอยู่บนพื้น หอบหายใจน้อยๆ ทิศทางที่นิ้วชี้ไปคือร่างเงาของคนผู้หนึ่งที่กำลังวิ่งหนีออกไป

 

 

ในมือของเขาถือธงลมเอาไว้ผืนหนึ่ง แทบจะในเสี้ยววินาทีสั้นๆ ก็สามารถขับเคลื่อนค่ายพลังสำเร็จ ผืนธงสีเขียวลอยตามคนที่วิ่งหนีออกไปเหมือนดาวตก

 

 

ระเบิดพุ่งกลางอากาศธงสีเขียวผืนใหญ่ขวางเอาไว้ตรงหน้าร่างเงาในทันใด ผืนธงที่สั่นสะท้านส่องแสงประกายสีเขียวออกมา ถักทอหลายเป็นกำแพงลมด้านหนึ่ง ร่างเงาที่วิ่งหนีกลั้นลมหายใจตามสัญชาตญาณ

 

 

และในขณะเดียวกันวิชาเคลื่อนย้ายในฉับพลันถูกนำออกมาใช้ เยี่ยเทียนหยวนยกมือขึ้นเรียกเอาธงสีม่วงที่ตกอยู่บนพื้นของนักบำเพ็ญเพียรที่บาดเจ็บ เคล็ดวิญาณหายเข้าไปในผืนธงสีม่วง ธงสีม่วงเองก็ลอยออกไปตกอยู่ในอีกทิศทางหนึ่งด้วยความเร็วเช่นเดียวกัน

 

 

หนึ่งคนคุมสองธง!

 

 

ตั้งแต่ตอนที่เยี่ยเทียนหยวนเอาธงผืนแรกออกมา นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทุกคนที่รีบตามมาก็ได้สติ ต่างพากันเอาค่ายธงที่อยู่ในมือโยนออกไปตามทิศต่างๆ

 

 

ในตอนนั้นพวกเข้าล้วนแสดงปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณ แต่ตอนที่ธงลอยออกไปถึงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตอนนี้เหลือเพียงแปดคนเท่านั้น มิอาจสร้างเป็นค่ายสามด่านได้ ควบคุมศพพาหะเอาไว้ไม่อยู่ก็แล้วไป หากว่าทำให้ศพพาหะโมโห ชีวิตย่อมตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่

 

 

ในเวลาเสี้ยววินาทีพบว่าเยี่ยเทียนหยวนขับเคลื่อนธงอีกผืนหนึ่ง ในใจต่างพากันตื่นตะลึง

 

 

ในกลุ่มแปดคนมีนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายสองคน เยี่ยเทียนหยวนคือหนึ่งในนั้น แต่เขาคนเดียวคุมสองธง จิตใจที่ลอยเคว้งของทุกคนกลับไม่ได้สบายใจลง เรื่องมาถึงตอนนี้ก็ทำได้เพียงพุ่งชนต่อไปข้างหน้า

 

 

ในมือของมั่วชิงเฉินคือธงฝนผืนหนึ่ง ลม ฝน สายฟ้า สามผืนรวมเป็นหนึ่งด่าน และนางก็เป็นคนที่ร่วมมือเข้าขากับเยี่ยเทียนหยวนมากที่สุด ฉะนั้นธงฝนผืนนี้จะต้องถูกนำออกมาก่อน

 

 

แสงสีเขียว ม่วง ฟ้าทั้งสามีประกายตัดกันไปมา ไม่นานก็รวมตัวกลายเป็นวงแหวนทรงกลมสามสี คุมศพพาหะเอาไว้ตรงกลาง

 

 

จนมาถึงตอนนี้มั่วชิงเฉินถึงได้เห็นลักษณะของศพพาหะอย่างชัดเจน

 

 

ศพพาหะร่างนั้นไม่ว่าจะดูจากส่วนสูงหรือว่ารูปร่างก็ไม่ได้แตกต่างจากคนทั่วไป สวมชุดหลวมโพรก ผิวหนังที่โผล่ออกมาข้างนอกเป็นสีขาวแกมเขียว ด้วยการปิดบังจากความมืด หากไม่ใช่เพราะวงแหวนหยุดศพบนข้อมือของทุกคนส่องแสงจ้าจนน่ากลัวก็ยากที่จะรู้ว่าเขาไม่ใช่มนุษย์

 

 

เพียงแต่ตอนนี้ศพพาหะถูกคุมเอาไว้ในค่ายธง มันกวาดตามองรอบด้าน มุมปากแสยะยิ้ม ปรากฏเขี้ยวแหลมคู่หนึ่งออกมาให้เห็น

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกแปลกประหลาด  เหตุใดนางถึงรู้สึกว่าศพหาหะตัวนี้ถึงได้คล้ายกับบทบาทผีดูดเลือดที่เคยเห็นบ่อยๆ ในนิยายหรือภาพยนต์ในโลกก่อน

 

 

จู่ๆ ศพพาหะขยับตัว พุ่งเข้ามายังด้านมั่วชิงเฉินด้วยความคล่องแคล่วผิดปกติ แขนทั้งสองข้างจับลำแสงเอาไว้ ดึงออกข้างนอกอย่างแรง

 

 

ลำแสงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ธงที่ลอยอยู่กลางอากาศเริ่มสั่นไปมา

 

 

เรื่องเหล่านี้จะพูดไปก็ยืดยาวแต่ในความเป็นจริงกลับเกิดในเสี้ยววินาที ลำแสงแตกกระจายอย่างรวดเร็ว มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าศีรษะสั่นคลอน ก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

 

 

ในเวลานี้เองลำแสงอีกสองสายก็เข้ามาสมทบล้อมร่างศพพาหะเอาไว้อีกครั้ง

 

 

ค่ายสามด่านจำต้องใช้ธงเก้าผืนรวมกันเป็นด้านนอก กลาง และในสามด่าน ล้อมวงคุมศพพาหะเอาไว้พร้อมกัน ถึงจะมั่นคงยากทำลาย วงแหวนด้านในแตกละเอียดศพพาหะย่อมรู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการหลุดจากวงล้อม มันไม่ลังเลที่จะพุ่งตัวไปยังลำแสง

 

 

ในขณะที่เยี่ยเทียนหยวนและมั่วชิงเฉินถอยหลัง วงแหวนส่วนกลางถูกทำลายลงแล้ว ร่างของศพพาหะพุ่งไปยังวงแหวนส่วนนอก

 

 

เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าไร้ความรู้สึก เคล็ดวิญญาณสองกระแสถูกยิงออกมาพร้อมกัน ต่างหายเข้าไปในธงผืนหนึ่ง ลำแสงประกายจ้าที่สอดประสานพันกันทำให้ธงฝนที่มั่วชิงเฉินควบคุมสะท้อนแสงสีน้ำเงินผสานกับเข้าไปด้วย

 

 

ลำแสงสามสีครอบลงไปด้านนอกของวงแหวนส่วนนอกใหม่อีกครั้ง กลายเป็นวงแหวนส่วนกลาง

 

 

ส่วนกลาง และส่วนนอกทั้งสองวงแหวนถูกสร้างขึ้น วงแหวนในถูกทำลาย ไม่นานวงทั้งหวนส่วนกลางและนอกก็ถูกโจมตี

 

 

“ อั่ก !” นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นผู้หนึ่งร่างกายโซเซ กระอักเลือดออกมา “ไม่ไหวแล้ว พวกเรารับมือไม่ไหวแล้ว”

 

 

ศพพาหะถูกกระตุ้นให้ดุร้ายมากขึ้น หากว่ามีคนเริ่มรับไม่ไหวถูกโจมตีจากหลากหลายฝ่าย เช่นนั้นจุดจบก็มีเพียงแต่ความตายเท่านั้น

 

 

บังเอิญว่ามั่วชิงเฉินอยู่ใกล้กับเขาพอดี ได้ยินเช่นนั้นก็ยิงไม่มุกลูกหนึ่งออกไป “รับไว้!”

 

 

นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นรับไข่มุกเอาไว้ตามสัญชาตญาณ รู้สึกว่าพลังวิญญาณถาโถมเข้ามาอย่างหนัก ในขณะที่แววตาแสดงความตื่นตระหนก ก็ยิงเคล็ดวิญญาณขับเคลื่อนธงไม่หยุด

 

 

ในตอนนี้เองที่ได้ยินเสียงตะโกนดัง ในมือของหญิงบำเพ็ญที่เงียบสงบผิดปกติผู้นั้นมีเชือกสีรุ้งเส้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมาในทันใด เกี่ยวพันข้อเท้าของศพพาหะเอาไว้เหมือนงูวิญญาณ

 

 

หัวของศพพาหะก้มลงมอง ยกเท้าขวาที่เหมือนจะระเบิดออกขึ้นมาเหยียบลงไปบนเชือกสีรุ้งอย่างแรง

 

 

เสียงร้องคำรามต่ำ ร่างของหญิงบำเพ็ญถูกยกขึ้นทั้งร่าง ลอยไปตามเชือกสีรุ้งกลางอากาศพุ่งเข้าหาศพพาหะ

 

 

ในเวลานี้เองลำแสงสามวงส่วนใน กลาง และนอกในที่สุดก็สำเร็จ แสงจ้าพุ่งสู่ท้องฟ้าส่องแสงให้ท้องฟ้าสว่างไปกว่าครึ่งในชั่วพริบตา เสมือนกระบองทองที่กักขังล้อมรอบศพพาหะเอาไว้ตรงหลาง

 

 

มือหญิงบำเพ็ญผ่อนแรงมือลง ร่างกายที่อยู่กลางอากาศบิดตัวกลับลงมาที่เดิม เหลือเพียงเชือกสีรุ้งที่ถูกแสงจ้าอาบจนโปร่งแสง ด้วยการโจมตีของแสงวิญญาณลอยไปมาสองสามทีก็ตกลงมาบนพื้น

 

 

ศพพาหะเหมือนจะรู้สึกได้ถึงภัยอันตราย ดวงตาทั้งสองข้างกรอกมองเล็กน้อย ส่งแสงประกายหนาวเหน็บออกมา สายตาทอดมองไปยังทางเยี่ยเทียนหยวน

 

 

ธงเก้าผืน มีเพียงตำแหน่งตรงเขาที่อยู่กลางธงสองผืน ควบคุมธงสองผืนในเวลาเดียวกัน

 

 

“ศิษย์พี่ ระวัง!” มั่วชิงเฉินรับรู้ถึงความคิดของศพพาหะในทันใด รีบเอ่ยเสียงเตือน

 

 

คันธนูชิงอิ่นปรากฏขึ้นในมือ กิ่งไม้ท้ออายุหมื่นปีเสียดสีไปกับแหวนหยกเขียวอร่ามวงใหญ่ ก่อให้เกิดพลังที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนพุ่งตรงไปยังหว่างคิ้วของศพพาหะอย่างรวดเร็ว

 

 

ศพหาหะขยับตัวอย่างรวดเร็ว กำปั้นพุ่งขึ้นบนท้องฟ้าทำให้เกิดลมจากกำปั้นที่ผสมไปด้วยกลิ่นศพพิเศษพุ่งเข้าเยี่ยเทียนหยวน

 

 

จากนั้นก็รู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวจากด้านหลัง หมุนบิดร่างกายอีกกำปั้นหนึ่งพุ่งออกไป

 

 

ไอดำที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าพุ่งเข้ารับศรไม้ท้อ ศรไม้ท้ออายุกว่าหมื่นปีพุ่งทะลุตรงเข้าไปในไอดำ หัวศรเสียวดสีเข้ากับไอดำ เพราะว่าเสียดสีรุนแรงเกินไป เสียงประกายไฟสีดำจัดจ้าดังขึ้น ไอดำข้างศรไม้ท้อทั้งสองด้านกลายเป็นสองแฉก พุ่งสวนไปพร้อมกับศรคลั่ง

 

 

ฝ่ามือของเยี่ยเทียนหยวนมีมีดเพลิงสีม่วงสดปรากฏขึ้น ผ่าลงไปกลางลมกำปั้นอย่างรุนแรง พูดเสียงเย็นว่า “สั่งลม!”

 

 

ค่ายสามด่าน ทุกด่านเกิดขึ้นจากธงลม ฝน และสายฟ้าสามผืนรวมตัวกัน และธงลมในส่วนใน กลาง และนอกก็มีเคล็ดวิญญาณในการขับเคลื่อนที่แตกต่างกันไป ทำให้เกิดพลังอำนาจใหม่

 

 

ได้ยินเสียงตะโกนของเยี่ยเทียนยหวน คนที่ถือธงลมอีกสองคนก็ได้สติในทันใด ขับเคลื่อนธงลมในมือพร้อมกัน

 

 

เสียงลมกรรโชกแรงดังให้ได้ยิน ลำแสงสีเขียวสามสายรวมตัวหลายเป็นพายุหมุนแรงกระแสหนึ่ง พุ่งพัดไปยังศพพาหะ

 

 

ในเวลานี้เองในที่สุดศรไม้ท้อก็ไม่อาจรับการทัดทานจากไอดำได้อีกต่อไป แสงสว่างจ้าอยกลับไปยังจุดตันเถียนของมั่วชิงเฉิน

 

 

ศพพาหะกลับใกล้ถูกพายุหมุนดูดกระชากเข้าไปแล้ว

 

 

โฮก!  ศพพาหะคำรามก้อง ท่ามกลางพายุสีเขียวยังพอได้เห็นมือไม้ที่โบกไปมาอย่างบ้าคลั่งของมัน พายุหมุนลูกนั้นค่อยๆ มีท่าทีอ่อนลง

 

 

“ฝนตก!” อีกคนหึ่งตะโกนก้อง

 

 

ธงฝนเริ่มทำงาน ทั้งสามคนรวมเป็นหนึ่ง บนพายุหมุนเกิดมีเมฆดำรวมตัวกันในทันใด ฝนเม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วตกลงมา

 

 

เม็ดฝนเหล่านี้ล้วนโปร่งแสง ประกายแสงสีขาวบริสุทธิ์ออกมา เพราะแรงบีบรัดจากพายุหมุนทำให้กลายเป็นละเอียดมากขึ้น ตกลงบนศพพาหะอย่างมิอาจหลีกหนี

 

 

เสียเสียดสีดังขึ้นมาให้ได้ยิน บนบริเวณร่างศพพาะหะที่ถูกเม็ดฝนตกลงไปนั้นเกิดเป็นควันขาวลอยขึ้นมา จากนั้นก็เห็นว่าบริเวรนั้นกลายเป็นหลุมเล็กหลุมหนึ่ง

 

 

เสียงดัง ปัง  ขาขวาของศพพาหะยกขึ้น เตะไปทางพายุหมุนอย่างแรง เห็นว่าพายุหมุนสั่นสะเทือนไปครู่หนึ่ง แลดูจะสลายหายไปไร้รูปร่าง

 

 

“ฟ้าร้อง!”

 

 

เมฆดำลอยขยับ บริเวณสุดขอบเหมือนมีแสงสีทองชุบอยู่ชั้นหนึ่ง จากนั้นเสียงดังสนั่นก็ดังให้ได้ยิน สายฟ้าสายหนึ่งกรีดผ่านเมฆดำลงมาประหนึ่งกระบี่คมที่แทงลงบนพายุหมุน

 

 

กระแสไฟหลายสายนับไม่ถ้วนวิ่งไปมาอยู่ท่ามกลางสายฝน เสมือนแหใหญ่ส่องแสงวิญญาณระยิบระยับปากหนึ่ง และก็เหมือนกับถ้วยใหญ่ฉลุลายที่คว่ำลงใบหนึ่ง กักขังศพพาหะเอาไว้ตรงกลาง

 

 

ศพพาหะส่งเสียงกรีดร้องเหมือนสัตว์อสูร จากนั้นก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ ปรากกดวงตาแดงก่ำคู่หนึ่งให้ได้เห็น

 

 

หัวใจทุกคนเกิดครั่นคร้าม

 

 

ลำแสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของศพพาหะในทันใด รวมตัวกลายเป็นแหไฟที่ตัดผ่านลำสายหนึ่ง

 

 

ค่ายธงที่ถูกขับเคลื่อนกินพลังวิญญาณของทุกคนไปมาก มีคนเริ่มรู้สึกว่าพละกำลังไม่สู้แรงใจ

 

 

เสียงเสียดสีของแหไฟตัดผ่านดังขึ้นมา ท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงบ เสียงเช่นนี้เป็นเหมือนกับคว้านงอของเทพแห่งความตาย เหมือนว่าในเสี้ยววินาทีถัดไปจะสับขาดแหไฟ ตัดลงมาบนคอของใครบางคน

 

 

เปาะแปะ มีเหงื่อไคลของคนเริ่มตกลงบนพื้น เสียงกังวาลผิดปกติ

 

 

“ท่านเจ้าเมืองเว่ย…เหตุใดถึงยังไม่มา…” เสียงของคนผู้หนึ่งเห็นชัดว่าเริ่มไม่สงบ

 

 

ความไม่สงบเช่นนี้ดูเหมือนจะเป็นโรคติดต่อ มือของสองคนสั่นเทิ้มพร้อมกัน ธงที่พวกเขาควบคุมเริ่มสั่นไปมา เสียงเสียดสี แหๆฟถูกตัดขาดเป็นบริเวณใหญ่

 

 

“อย่าไปคิดมาก!” เสียงของเยี่ยเทียนหยวนเย็นสงบดุจน้ำแข็ง แต่กลับทำให้ทุกคนมีสติที่แจ่มแจ้ง

 

 

“สหายทุกท่านลำบากแล้ว!” ลมกระแสหนึ่งพัดพามา ร่างสวมชุดสีดำร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางค่ายพลัง

 

 

เห็นว่าเจ้าเมืองเว่ยดีดนิ้ว แหใหญ่ที่เกิดจากธงลม ฝน และสายฟ้ารวมตัวกันลอยขึ้นในทันใด กลายเป็นแท่งไม้หลากหลายแท่งตกลงบนบริเวณรอบด้านเสมือนนางฟ้าโปรยดอกไม้ ล้อมรอบกลายเป็นรั้วกั้นหนึ่งวง

 

 

กลางรั้วกั้นเจ้าเมืองเว่ยและศพพาหะยืนอยู่ตรงข้ามกัน

 

 

ทุกคนพากันลอบถอนหายใจ

 

 

เจ้าเมืองเว่ยมองศพพาหะ ในใจเกิดความพึงพอใจขึ้นมา คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าวันนี้นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเหล่านั้นจะค้นพบศพพาหะ มันในช่วงเวลานี้มีความสามารถน้อยกว่าวันพระจันทร์เต็มดวงอยู่มากนัก

 

 

“เจ้ายังคิดหนี?” เจ้าเมืองเว่ยแค่นหัวเราะ

 

 

ดวงตาของศพพาหะแดงก่ำ จู่ๆ ก็ยื่นกำปั้นออกมาทุบลงบนหน้าอกของตนเองทีหนึ่ง เลือดขุ่นกระอักออกมา

 

 

ทุกคนที่อยู่นอกรั้วกั้นจู่ๆ ก็รู้สึกว่าร่างกายเย็นเยียบ ขาทั้งสองข้างเหมือนถูกตรึงอยู่กับที่

 

 

หลังจากนั้นก็เป็นการต่อสู้อย่างรุนแรงระหว่างเจ้าเมืองเว่ยและศพพาหะ

 

 

แต่เลือดขุ่นที่ศพพาหะกระอักออกมานั้นรวมตัวกลายเป็นไอดำ ต่อให้ทุกคนใช้สายตาการมองของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ก็ยังมองเห็นได้เพียงร่างเงาสองร่างกระแทกพุ่งเข้าหากันเป็นครั้งราว แยกออกจากกันเป็นครั้งคราว จนถึงสุดท้ายก็มองเห็นเพียงแสงสีมองหลายสายแฝงสะท้อนผ่านไอดำ และต่อจากนั้นก็มองไม่เห็นอะไรอีกต่อไป มีเพียงไอดำกลุ่มนั้นที่ลอยพลิกไปมา ทำให้คนยิ่งรู้สึกว่าบรรยากาศกดดันมากยิ่งขึ้น

 

 

ทุกคนต่างรวบรวมสมาธิจดจ่อ ต่อให้จะมองไม่เห็นอะไร แต่ดวงตาก็ยังจ้องเขม็งไปที่ไอดำตรงหน้าไม่ขยับไปไหน

 

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด จู่ๆ ก็เห็นว่าไอดำเกิดสั่นสะท้านขึ้นมาพักหนึ่ง จากนั้นรั้วกั้นเหล่านั้นก็กลายมาเป็นแสงสว่างใหม่อีกครั้ง พุ่งทิ่มเข้าไปในไอดำ

 

 

เสียงทั้งหมดดูเหมือนจะถูกจองจำอยู่ในไอดำ ทุกคนไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น แต่ไม่นานไอดำก็สลายหายไป ปรากฏร่างเงาสีดำให้ได้เห็น

 

 

ศพพาหะยังคงยืนตรงข้ามกับเจ้าเมืองเว่ย เพียงแต่บนร่างมีศรเล็กที่เกิดจากแสงจ้าหลายสายนับไม่ถ้วนทิ่มแทง

 

 

เจ้าเมืองเว่ยยื่นมือทั้งสองข้างออกไปช้าๆ ปรบมือสองสามที ลำแสงจ้าบนร่างศพพาหะหายไปในทันใด จากนั้นศรเลือดหลายดอกนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมา

 

 

ร่างของเจ้าเมืองเว่ยลอยขึ้นไปด้านข้าง ชุดสีดำสะบัดพัดเป็นมุมสง่างาม จากนั้นก็ค่อยๆ ร่อนตัวลง มือสะบัดจัดการเก็บศพพาหะเจ้าไปในถุงเก็บวัตถุ และยกมือจัดการนำตัวนักบำเพ็ญเพียรที่บาดเจ็บในตอนแรกยกขึ้น กวาดตามองทุกคนพลางส่งยิ้มให้ “สหายทุกท่าน เชิญตามตัวข้าสกุลเว่ยกลับจวนเถิด”

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset