พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 453 หอบรรลุเซียนหลิวโจว

ในถุงอสูรวิญญาณ อีกาไฟขยับร่างอันอ้วนพีจากฟองไข่สีดำแดงกระเถิบลงมา แล้วเดินวนไปรอบไข่สีดำ  

 

 

“ทำไม่ยังไม่ฟักออกมานะ” อีกาไฟยกปีกของมันขึ้นเท้าคาง ทั้งกังวลทั้งกลัดกลุ้ม  

 

 

“พี่หญิงอู๋เย่ว์ ลองถามนายท่านดีหรือไม่” ไม่ไกลจากที่นั่น มีเสียงเขาน้อยพูดอย่างหวาดหวั่นแว่วมา  

 

 

อีกาไฟเหลือกตาใส่หนึ่งที แล้วพูดพลางสายตาเหยียดหยาม “วิธีมัดตัว!”  

 

 

เขาน้อยส่ายหน้าอย่างน้อยใจ แล้วพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “เขาน้อยไม่ได้เสนอวิธีมัดตัวนะ แต่นายท่านฉลาดถึงเพียงนั้น อะไรก็รู้ไปเสียหมด”  

 

 

อีกาไฟแค่นเสียงเยาะ “ไร้สาระ นายท่านจะเข้าใจการฟักไข่ได้เทียบเท่ากับข้าเชียวหรือ”  

 

 

เขาน้อยแดงก่ำไปทั้งหน้า “เจ้า” มันพูดคำว่า ‘เจ้า’ ซ้ำๆ อยู่นานแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก แล้วหลบเข้ามุมอย่างหัวเสีย   

 

 

อีกาไฟจิตใจรุ่มร้อนมาแต่แรกแล้ว เห็นเขาน้อยไม่พูดอะไรอีก ดวงตาคู่เล็กนั้นก็เลื่อนผ่านไป แล้วโก่งคอร้อง “นายท่าน นายท่าน…”  

 

 

“ร้องเอะอะอะไรนักหนา!” มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว สายตากวาดมองไปยังถุงอสูรวิญญาณ  

 

 

หรือว่าไข่สีดำจะถูกอีกาไฟฟักออกมาแล้ว  

 

 

เจ้าอีกาไฟไม่ได้ส่งเสียงใดๆ มาสองปีกว่าแล้ว เสี่ยวเจียวเองก็ทำตัวว่าง่าย นางสำรวจท่าทีของอสูรวิญญาณทั้งสองบ้างบางครั้ง ก็เห็นเขาน้อยนอนหงาย ขาคู่หน้าทั้งสองโอบหัวนอนหลับสนิท อีกาไฟนั่งอยู่บนไข่สีดำนิ่งไม่ขยับ คอยโอบไข่เอาไว้ด้วยความศรัทธาเชื่อมั่น   

 

 

ในถุงอสูรวิญญาณ ปีกข้างหนึ่งของอีกาไฟโอบไข่สีดำ ปีกอีกข้างโบกแกว่งไปยังมั่วชิงเฉิน “นายท่าน ไม่ได้คุยกันมาสองปีแล้ว ไยท่านเปิดปากถุงแล้วต้องมาพูดจาทิ่มแทงข้าด้วย”  

 

 

ได้ยินเสียงอันมืดมนนั้น มั่วชิงเฉินก็สั่นเทิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว ลางสังหรณ์ในใจรุนแรงมากยิ่งขึ้น เจ้าอีกาไฟคงไม่คิดจะให้ตนฟักสามีของมันออกมาหรอกนะ   

 

 

น้ำเสียงทำทีเป็นเย็นชา แต่รอยยิ้มเหยเกบนมุมปากกับไม่อาจปิดซ่อนได้ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ อู๋เย่ว์ มีอะไรให้ข้าช่วยหรือเปล่า เจ้าพูดมาก่อนเถอะ แต่ฟักไข่ข้าทำไม่เป็นนะ”   

 

 

อีกาไฟกระพือปีก กระโดดสูงสามศอก “นายท่าน ท่านกับนักพรตลั่วหยางอยู่ร่วมเรียงเคียงข้าง จนลืมสัตว์อสูรของท่านปล่อยให้อ้างว้างเงียบเหงา ข้าฟักไข่ท่านยังมาหัวเราะเยาะอีก!”  

 

 

มั่วชิงเฉินรีบปรับสีหน้า กระแอมขึ้นสองที “แค่กๆ อู๋เย่ว์เอ๋ย ข้าผิดไปแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็บอกข้ามาเถอะว่าเจ้าเรียกข้าเพราะเรื่องอะไรกันแน่”   

 

 

อีกาไฟจึงได้สงบลง มันยื่นปีกออกมา “ขอเหล้าข้าสักไห เอ่อ ไม่สิ สองไห”  

 

 

มั่วชิงเฉินส่ายหน้าขำ แล้วโยนไหเหล้าสองไหเข้าไป  

 

 

อีกาไฟรับเอาไว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เปิดฝาไหออกแล้วกรอกเหล้าลงไปอย่างเร็ว  

 

 

เขาน้อยตาเป็นประกายขึ้นวับ แล้ววิ่งโซเซเข้ามา “พี่หญิงอู๋เย่ว์ ยังมีเขาน้อยด้วยนะ”  

 

 

อีกาไฟกระพือปีกไม่หยุด “ไป ไป เด็กน้อยจะดื่มเหล้าได้อย่างไรกัน”  

 

 

เขาน้อยทำหน้าตัดพ้อ “บอกว่าเขาน้อยเป็นเด็กอีกแล้ว น่าชังเสียจริง นู่นก็ไม่ได้นี่ก็ไม่ได้ ทุกครั้งที่นายท่านกอดกับนักพรตลั่วหยาง ท่านก็ไม่ยอมให้เขาน้อยดู แต่ท่านกลับมองดูอย่างออกรสออกชาติ…”  

 

 

“เขาน้อย!” อีกาไฟกระโดดขึ้น ใช้ปีกอุดปากเขาน้อยไว้ ปีกข้างเดียวไม่พอ ยังใช้ปีกข้างอุดไว้ด้วย  

 

 

มั่วชิงเฉินผู้ซึ่งในตอนแรกยังสนใจอยู่กับถุงอสูรวิญญาณนิ่งอึ้งไปทันใด ลมบนท้องทะเลพัดเข้ามา ทำให้นางได้สติตื่น แต่ก็เกิดความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้นางอยากกระโดดลงไปกลางทะเลเสีย   

 

 

“อู๋เย่ว์ ข้าว่า พวกเราคงต้องคุยกันสักหน่อยแล้ว” มั่วชิงเฉินขบฟัน แล้วพูดขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ   

 

 

โอสวรรค์ หรือว่าทุกครั้งที่นางและศิษย์พี่คลอเคลียกัน จะอยู่ในสายตาของเจ้านี่มาโดยตลอดหรือ   

 

 

คิดได้เช่นนั้น ทั้งหน้าก็แดงก่ำขึ้นมาทันที ราวกับจะเลือดจะหยดลงมา   

 

 

อะไรที่เรียกว่าอับอายจนแทบไม่อยากมีหน้าอยู่ต่อไป ในที่สุดนางก็ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้   

 

 

“แค่กๆ นายท่าน ข้าต้องฟักไข่แล้ว ท่านกำลังยุ่ง ท่านยุ่งอยู่จริงๆ” อีกาไฟก้าวถอย บินถลาไปยังบนไข่สีดำ แต่เพราะรีบร้อนมือเท้าพัลวันจนทำน้ำเต้าใส่เหล้าหกคว่ำ  

 

 

สุราวิญญาณในน้ำเต้าสาดกระเซ็นโดนบนไข่สีดำทันที ทันใดนั้นไข่สีดำก็ส่องแสงวาบปราดหนึ่งออกมา แล้วตั้งขึ้น  

 

 

อีกาไฟซวดเซ ล้มคว่ำกับพื้น แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ พยายามเพ่งสายตาเลื่อนไปมองยังไข่สีดำนิ่งไม่ขยับ   

 

 

มั่วชิงเฉินเดิมทีทั้งอายทั้งโกรธ อยากจะจัดการอีกาไฟให้เข็ดหลาบสักครั้ง แต่เมื่อพบเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงก็นิ่งอึ้ง มองสังเกตที่ไข่สีดำนั้นเช่นกัน  

 

 

ในสายตาเยี่ยเทียนหยวนกับหู่โถว ดูเหมือนกับนางโดนอาคมเข้า หน้าถอดสีไม่เลิก  

 

 

“ลั่วหยาง ชิงเฉินเป็นอะไร” หู่โถวเท้าคาง รู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย   

 

 

“เรียกข้าพี่เขย” เยี่ยเทียนหยวนแก้  

 

 

หู่โถวยิ้มขึ้นอย่างมีเลศนัย “พี่เขยจะเรียกง่ายๆ ได้อย่างไรกัน ยังไม่เป็นสักหน่อย”  

 

 

เยี่ยเทียนหยวนมองไปยังมั่วชิงเฉิน แววตาฉายความอ่อนโยน “เป็นมาตั้งนานแล้ว”  

 

 

ร่างกายน้อยๆ ของหู่โถวแกว่งไปมา จนแทบล้มหัวทิ่ม เจ้าตอไม้นี่ คงไม่ได้คิดว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ หรอกใช่ไหม  

 

 

เกินไปแล้ว แม้แต่เกียรติก็ไม่ให้ชิงเฉิน!  

 

 

“ฮึ ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเป็นตั้งแต่เมื่อไร พวกเจ้าแต่งงานแล้วหรือ จัดพิธีเข้าคู่กันตั้งแต่เมื่อไร” หู่โถวถามกลับอย่างไม่เกรงใจแม้สักนิด  

 

 

“ไว้กลับถึงภูเขาแล้ว พวกเราจะจัด” เยี่ยเทียนหยวนตอบอย่างจริงจัง  

 

 

หู่โถวหัวเราะคิกคัก ทำทีเป็นโกรธ “เช่นนั้นข้าก็ไม่เรียก ข้าอยู่นอกโลกีย์วิสัย”  

 

 

เยี่ยเทียนหยวนนิ่งเงียบไม่พูดอะไรต่อ…  

 

 

ไข่สีดำในถุงสัตว์อสูรกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก  

 

 

อีกาไฟขยับเดิน ทันใดนั้นก็ตบหน้าตัวเอง แล้วบ่นอู้อี้ว่า “หรือว่าจะฝันไป”  

 

 

มั่วชิงเฉินเหยียดมุมปาก หรือว่าเจ้านี่จะเป็นมารอุปสรรค  

 

 

ว่าตามตรงแล้ว นางเองก็รู้สึกสงสัยเสียจริงว่าในไข่สีดำนี้จะฟักออกมาเป็นตัวอะไรกันแน่  

 

 

ในระหว่างที่ครุ่นคิด ก็เห็นอีกาไฟเปิดฝาน้ำเต้าสุราอีกใบทันที แล้วเอาสุราวิญญาณนั้นเทรดลงไปบนไข่สีดำ   

 

 

คราวนี้ ไข่สีดำไม่ได้ส่องแสงวิญญาณออกมา มันเหวี่ยงไปมา แล้วล้มลง   

 

 

“นาย…นายท่าน มันตายแล้วหรือ” อีกาไฟกรีดร้องเสียงแหลม   

 

 

เพราะจิตนางเชื่อมต่อกับถุงสัตว์อสูร มั่วชิงเฉินจึงถูกคลื่นเสียงเล็กแหลมทำให้เจ็บโสตประสาท นางพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ก็แค่ไข่สีดำหนึ่งฟองจะตายได้อย่างไร นั่นมันแค่เมา”  

 

 

“เมาหรือ” อีกาไฟตบไข่สีดำเบาๆ แล้วพูดขึ้นอย่างพึงพอใจภายใต้สายตามองเหยียดของมั่วชิงเฉิน “นับว่าข้าไม่ได้ทุ่มเทแรงใจเปล่าๆ แม้แต่ดื่มเหล้าก็ยังเหมือนข้า ฮ่าๆๆ”  

 

 

ได้ยินเสียงอีกาไฟหัวเราะโง่งม มั่วชิงเฉินก็ตัดการเชื่อมต่อจิต  

 

 

นับแต่นี้ไป อีกาไฟก็จะคอยขอเหล้าสักเหยื่อเพื่อรดไข่อยู่เนืองๆ เพียงแต่ทุกครั้งมั่วชิงเฉินก็จะทำหน้าบึ้ง   

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินสีหน้ากลับมาปกติ เยี่ยเทียนหยวนก็ถามขึ้น “ชิงเฉิน เจ้าเป็นอะไร”  

 

 

มั่วชิงเฉินนึกถึงเรื่องที่น่าอายจนแทบอยากจะกระโดดลงทะเลน้ำขึ้นมา ใบหน้าก็แดงก่ำ ตวัดสายตาตาคมดั่งมีดไป   

 

 

เยี่ยเทียนหยวนนิ่งอึ้ง มองไปยังหู่โถวปราดหนึ่งอย่างไม่รู้เรื่อง   

 

 

หู่โถวตอบกลับเงียบๆ “เจ้าดูสิ ต้องเป็นเพราะชิงเฉินคิดว่าเจ้าไม่คิดจะรับผิดชอบ ถึงได้โกรธเจ้า”  

 

 

น่าสงสาร เยี่ยเทียนหยวนเพิ่งจะรู้จักกับเรื่องราวระหว่างชายหญิง ความสามารถในการหยั่งใจหญิงนั้นเป็นศูนย์ ฟังคำพูดของหู่โถวก็คิดว่ามีเหตุผลอย่างมาก ทันใดนั้นก็ก้าวเข้าไปหนึ่งก้าวคว้ามือมั่วชิงเฉินขึ้นกุม แล้วพูดขึ้นอย่างตั้งใจ “ศิษย์น้อง เจ้าอย่าโกรธไปเลย ข้า…ข้าจะรับผิดชอบแน่นอน”   

 

 

มั่วชิงเฉินได้ฟังก็นิ่งอึ้ง จนลืมแม้แต่จะพูด   

 

 

เห็นเยี่ยเทียนหยวนแดงก่ำไปถึงใบหู พลางพูดขึ้นว่า “ศิษย์น้อง ไม่เช่นนั้น ให้เจ้ารับผิดชอบก็ได้…”  

 

 

“เยี่ยเทียนหยวน!” มั่วชิงเฉินร้องขึ้นหนึ่งทีด้วยความโกรธ เห็นหู่โถวมองมาด้วยใบหน้าใคร่รู้ใคร่เห็น ก็รีบร้อนปรับน้ำเสียง “ท่านจะรับผิดชอบอะไรกัน อยู่ดีๆ จู่ๆ พูดเรื่องอะไรไม่รู้ขึ้นมา!”  

 

 

เยี่ยเทียนหยวนประหลาดใจ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล “ศิษย์น้อง เจ้าไม่ให้ข้ารับผิดชอบ และไม่รับผิดชอบข้า เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไรกัน”  

 

 

มั่วชิงเฉินอยากจะทุบเจ้าทึ่มนี้ให้สลบ มาพูดเรื่องรับผิดชอบไม่รับผิดชอบอะไรไม่รู้เรื่อง ปัญหาตอนนี้อยู่ที่ว่าไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ถูกอีกาไฟเห็นหมดแล้วต่างหาก   

 

 

อดทนอยู่นาน ในที่สุดก็ไม่ได้เอาเรื่องอีกาไฟพูดออกมา นางดูแลอสูรวิญญาณไม่ดีเอง ยิ่งพูดยิ่งน่าอาย  

 

 

เห็นทั้งสองคนทะเลาะกัน หู่โถวก็ถอนหายใจอย่างพึงพอใจ สายตามองทอดออกไปไกล  

 

 

“อ๊ะ พวกเจ้าดูสิ มีแผ่นดิน ถึงหลิวโจวแล้วหรือ”  

 

 

พวกมั่วชิงเฉินทั้งสองหยุดบทสนทนาความสามารถในการหยั่งใจเป็นศูนย์ลง แล้วมองออกไปไกลพร้อมกัน   

 

 

ไกลออกไปนั้นสามารถเห็นแผ่นดินค่อยๆ ใกล้เข้ามา เพียงแต่ไม่เห็นร่องรอยผู้คนและควันไฟ เห็นได้ชัดว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่ท่าเรือ   

 

 

ต่อให้เป็นเช่นนั้น ทั้งสามก็ยังขึ้นฝั่งด้วยใบหน้าปีติยินดี   

 

 

เรื่องแรกที่มั่วชิงเฉินทำ ก็คือหาตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซื้อแผนที่สักฉบับ ดูสักหน่อยว่าเมืองหลิวเยียนอยู่ที่ไหน   

 

 

ดูจากเส้นทางเดินเรือตามปกติ ท่าเรือจากเสวียนโจวถึงหลิวโจวก็คือเมืองหลิวเยียน แต่ตอนนั้นนางกับถังมู่เฉินสัญญากัน ว่าในวันที่ย่ำสู่เมืองหลิวเยียน ก็จะไปหอน้ำชาที่ขึ้นชื่อที่สุดกลางเมือง  

 

 

ถังมู่เฉินจะทิ้งข้อมูลบางอย่างของตนไว้ที่นั่น   

 

 

เมืองหลิวเยียนเป็นเมืองปราการที่ใหญ่มากแห่งหนึ่ง พวกมั่วชิงเฉินทั้งสามเดินทางผ่านตำบลเล็กมาสองสามแห่ง ในที่สุดก็ถึงที่แห่งนั้นอย่างราบรื่น ลองสอบถามดู จึงได้รู้ว่าหอน้ำชาที่ขึ้นชื่อที่สุดแห่งนี้ก็คือหอบรรลุเซียน  

 

 

แม้ว่าจะสมถะอย่างมาก ทว่าในยามที่ผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณสองคนและเณรน้อยอีกรูปปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน ก็ยังคงดึงดูดสายตาของแขกร้านชาอยู่ไม่น้อย เพียงแต่เป็นเพราะว่าถูกระดับพลังทำให้แตกตื่น พวกเขาจึงไม่กล้ามองตรงๆ อย่างองอาจ ได้แต่เพียงใช้หางตาชำเลืองมองแล้วมองอีก   

 

 

“ขอห้องพวกเราหนึ่งห้อง” เยี่ยเทียนหยวนน้ำเสียงเยือกเย็น แต่ก็ไม่ได้ฟังหยิ่งยโสกดขี่  

 

 

“ได้ขอรับ เชิญทั้งสามท่านชั้นบนเลย” พนักงานโค้งตัวด้วยความเคารพ นำทางทั้งสามคนขึ้นไป   

 

 

“ทั้งสามท่านจะสั่งอะไรหรือไม่ ชาที่ดีที่สุดในหอบรรลุเซียนของพวกเราคือชาเกล็ดหิมะโปรย น้ำที่ใช้ชงชาได้มาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์เกาะราชันย์พำนัก แขกผู้ทรงเกียรติที่มายังหอบรรลุเซียน ล้วนแต่ต้องลิ้มรส” เสี่ยวเอ้อร์แนะนำอย่างตั้งใจ  

 

 

มั่วชิงเฉินได้ฟังเสี่ยวเอ้อร์เน้นคำว่า ‘แขกผู้ทรงเกียรติ’ ก็เข้าใจได้ว่าราคาของชานี้ต้องไม่ถูกเป็นแน่ จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “รบกวนน้องชายจัดชาให้พวกเราสักสามจอกนะ”  

 

 

“ได้ขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์พูดพลางก้าวเท้าเตรียมถอยออก ก็ได้ยินเสียงมั่วชิงเฉินพูดขึ้นว่า “เถ้าแก่ของพวกเจ้าอยู่หรือไม่”   

 

 

เสี่ยวเอ้อร์นิ่งอึ้ง แล้วรีบตอบกลับโดยเร็ว “อยู่ขอรับ”  

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มบาง “ถ้าเช่นนั้นก็ขอเป็นสี่จอกแล้วกัน รบกวนน้องชายบอกเถ้าแก่ของพวกเจ้าสักหน่อย ว่าพวกเราเชิญเขาดื่มชา”  

 

 

“เอ่อ ได้…ได้ขอรับ” แม้จะรู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง เสี่ยวเอ้อร์ผู้สีหน้าปรับเปลี่ยนได้อย่างว่องไวก็ขานรับ  

 

 

ได้ยินว่าผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณสองคนเชิญ เถ้าแก่แห่งหอบรรลุเซียนก็ไม่อาจนิ่งดูดาย แล้วยกชาสี่จอกขึ้นชั้นบน โดยไม่ได้ให้เสี่ยวเอ้อร์ตามไป   

 

 

“ต้องให้แขกผู้มีเกียรติทั้งสามท่านรอนานแล้ว ข้าน้อยรู้สึกหวั่นเกรงยิ่ง”  

 

 

ตัวยังไม่มาเสียงก็มาถึงแล้ว มั่วชิงเฉินช้อนตาขึ้น ก็เห็นสตรีอายุราวสามสิบกว่าปีเดินเข้ามา  

 

 

สตรีผู้นี้ร่างกายอวบท้วม ท่วงท่าการเดินดูอ่อนช้อย ชุดกระโปรงยาวสีแดงทั้งตัวสะบัดพลิ้ว ชาดสีแดงทาอยู่บนนิ้วอันขาวผ่องดั่งเนื้อหยก ยกถาดนิ่ง กลิ่นหอมของชาที่ดูพิเศษไม่ธรรมดาลอยเข้ามา   

 

 

มั่วชิงเฉินแอบชมอยู่ในใจ ชาหอมคนงาม นึกไม่ถึงว่าเถ้าแก่หอบรรลุเซียน จะมีภรรยาโฉมสะคราญเช่นนี้  

 

 

เมื่อเห็นหน้ามั่วชิงเฉิน แววตาของสตรีก็ฉายแววประหลาดใจ ครั้นแล้วก็มองไปยังเยี่ยเทียนหยวน กลับนิ่งอึ้งไปเสีย   

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset