พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 533 ตกลงไปในรังแมงมุม

ระยะทางร้อยลี้ สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ใช้เวลาเพียงพริบตา ตอนเซี่ยหรันกับเวยเซิงลิ่วรุดมาถึง มั่วชิงเฉินกำลังถอยหลังหลบอย่างรวดเร็วพอดี  

 

 

ปราณวิญญาณปะปนอยู่กับเศษหินที่แตกกระจาย ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า เศษหินทุกก้อนจึงกลายเป็นมีดวิญญาณที่คมกริบสุดจะเปรียบ  

 

 

ปราณวิญญาณระเบิดในทันที จึงเกิดฝุ่นควันมหาศาลลอยฟุ้งในอากาศ ทำให้บรรยากาศทั่วทั้งบริเวณกลายเป็นสีเทาหม่น  

 

 

“แค่กๆ สหายมั่ว เกิดอะไรขึ้น” เวยเซิงลิ่วถามพลางโบกมือไปมาอยู่หน้าจมูก  

 

 

มั่วชิงเฉินชี้ไปยังจุดระเบิด “ข้าพบตาวิญญาณตรงนั้น”  

 

 

“ตาวิญญาณหรือ” เวยเซิงลิ่วขึ้นเสียงสูง ท่าทีดีใจ  

 

 

เซี่ยหรันมองไปยังจุดที่ปราณวิญญาณแปรปรวน พลางพูดเสียงขรึม “สหายมั่วฝีมือดี”  

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะ “สหายเซี่ยชมเกินไปแล้ว ที่นี่แม้มีตาวิญญาณ แต่ด้านในเป็นอย่างไรนั้น ยังมิรู้ได้”  

 

 

ปราณวิญญาณรุนแรงระเบิดออกกลายเป็นหมอกหนาสายแล้วสายเล่า คุกรุ่นขึ้นไปรวมอยู่กับเมฆด้านบน ทั่วทั้งท้องฟ้าจึงมืดมัวลง ฉากหลังของหมอกหนาคืออะไรกันแน่ แม้จิตสำนึกก็ยังคาดเดาไม่ออก  

 

 

“เห็นทีเราต้องรอให้หมอกหนาจางลงก่อนค่อยว่ากัน” เซี่ยหรันนั่งขัดสมาธิบนสมบัติวิเศษเหินหาว  

 

 

ปราณวิญญาณที่ระเบิดจนกลายเป็นเมฆฝุ่นเช่นนี้ กว่าจะจางลงได้ ต้องใช้เวลาร่วมสิบวันถึงครึ่งเดือน และการอยู่ภายใต้หมอกหนากั้นขวาง ขืนผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณผลีผลามเข้าไป ก็ล้วนไม่ใช่ความคิดที่ดีอะไร  

 

 

ทว่าเวยเซิงลิ่วกลับก้าวเข้าใกล้ ก่อนพูดกับคนทั้งสอง “อยากให้หมอกหนาจางหาย ง่ายมาก”  

 

 

พอเห็นทั้งสองหันมามอง เขาก็ฉีกยิ้ม จากนั้นก็หันไปทางนั้น แล้วออกแรงดูดเต็มที่  

 

 

หมอกหนาเต็มท้องฟ้าไหลเข้าปากของเวยเซิงลิ่ว  

 

 

ขั้นตอนในการกลืนเมฆคายหมอกยาวนานต่อเนื่องกว่าหนึ่งชั่วยาม ค่อยเห็นหมอกหนาเบาบางลงช้าๆ สุดท้ายกลายเป็นควันสีเขียวสายหนึ่ง โดยมิได้ไหลเข้าปากเวยเซิงลิ่ว  

 

 

แก้มของเวยเซิงลิ่วป่องออก แล้วกลับคืนดังเดิม จากนั้นก็ค่อยๆ สำรอกควันพิษออกมา พอเขาเห็นสายตาของพวกมั่วชิงเฉินมองมา ก็รู้สึกภาคภูมิใจ “เป็นอย่างไร”  

 

 

ใครจะรู้เล่าว่า ทั้งสองกลับเหาะไปยังภูผาพร้อมกัน  

 

 

“พวกมนุษย์เจ้าเล่ห์!” เวยเซิงลิ่วโกรธ ก่อนรีบตามขึ้นไป  

 

 

ภูผาส่วนที่ระเบิดออก คือส่วนที่ก่อนหน้านี้มั่วชิงเฉินพบเห็นลายหินบรรจบกัน ตอนนี้ได้กลายเป็นถ้ำที่ลึกจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด อีกทั้งด้านในยังมีปราณวิญญาณสีแดงปะทุออกไม่หยุด  

 

 

ทั้งสามเตรียมระวังตัวพร้อม ค่อยเดินเข้าไป  

 

 

มีคลื่นความร้อนจู่โจมเข้ามา ยิ่งเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ อุณหภูมิก็ยิ่งสูงขึ้น  

 

 

หินงอกหินย้อยบนเพดานถ้ำถูกเผาจนเป็นสีแดงเพลิง ละลายจนเหมือนจะตกมิตกแหล่ เห็นชัดว่าโปร่งแสงไปครึ่งหนึ่ง ถ้าเผาถูกร่างกายคน เนื้อหนังมังสาต้องร้อนจนสุกแน่  

 

 

ขณะทั้งสามกำลังเดินไปข้างหน้า ลมร้อนสายหนึ่งพลันพัดเข้ามา  

 

 

ในมือเซี่ยหรันมียันต์เพิ่มขึ้นมาหนึ่งแผ่น เขาแปะมันลงบนกระหม่อมตัวเอง ตลอดทั้งร่างจึงถูกน้ำแข็งบางๆ ชั้นหนึ่งล้อมรอบ พอลมร้อนหมุนผ่าน น้ำแข็งก็กลายเป็นน้ำ ขับเคลื่อนพลังวิญญาณมาระเหยน้ำ ดูไปแล้วปลอดภัยหายห่วง  

 

 

มั่วชิงเฉินสะบัดแขนเสื้อ ร่มไม้ไผ่คันหนึ่งหมุนออกมา พอร่มออกจากแขนเสื้อ ก็กางออกด้านหน้า บังร่างนางไว้อย่างมิดชิด  

 

 

พอลมร้อนพัดถูกร่มไผ่เหมันต์ ร่มก็เปล่งแสงวาบ เผชิญหน้ากับลมร้อนขึ้นมา แล้วลมร้อนก็กลายเป็นควันสีเขียวลอยหายไปอย่างไร้ร่องรอย  

 

 

มีเพียงเวยเซิงลิ่วที่น่าสงสารหน่อย พอลมร้อนพัดมา สองมือก็ถูกลวกสุกไปครึ่งหนึ่ง เขาร้องลั่นถ้ำ  

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มน้อยๆ ร่างกายของเผ่าปีศาจบำเพ็ญเพียรมีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งจริงๆ  

 

 

ระหว่างคนทั้งสาม มั่วชิงเฉินดูไปแล้วเพลิดเพลินสุด มือถือร่มไม้ไผ่ เหมือนไม่ได้มาเสี่ยงอันตราย มีลักษณะแบบสุภาพสตรีออกเที่ยวชมธรรมชาติมากกว่า  

 

 

พอได้ยินนางหัวเราะ และเทียบกับสภาพที่น่าอนาถของตน เวยเซิงลิ่วก็ขนตั้งอีกครั้ง พลางคำราม  “หัวเราะอะไร!”  

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปาก ก่อนกางร่มไม้ไผ่เดินตัวเบาเข้าไป  

 

 

“สหายมั่ว” เซี่ยหรันตะโกน “ขออาศัยร่มของเจ้ากำบังด้วยได้หรือไม่”  

 

 

ในเมื่อทั้งสามร่วมมือกันแล้ว และสิ่งที่เขาขอก็ไม่ถือว่าเกินเลย เพียงแต่พอเห็นเวยเซิงลิ่วมองมาด้วยสายตาเคืองๆ มั่วชิงเฉินจึงว่า “ได้สิ แต่สหายเวยเซิงพลังแข็งแกร่ง คิดว่าคงไม่ต้องใช้มันหรอก”  

 

 

เวยเซิงลิ่วถลึงตามอง สำลักจนพูดไม่ออก พอเห็นเซี่ยหรันวิ่งเข้าใต้เขตกำบังของร่มไผ่เหมันต์ดื้อๆ ก็ร้อนใจอย่างอดไม่ได้ “ใครบอกว่าข้าไม่ต้องใช้”  

 

 

มั่วชิงเฉินกะพริบตา “สหายเวยเซินก็คิดยืมใช้หรือ เพียงแต่ข้าน้อยชินกับการทำอะไรตามใจตัวเอง อยากร้องไห้ก็ร้องออกมา อยากหัวเราะก็หัวเราะออกมา ถ้าคนข้างๆ เกิดไม่พอใจ จะมีผลต่อการใช้งานสมบัติวิเศษเอา”  

 

 

เวยเซิงลิ่วโมโหจนแก้มป่อง แต่มือคู่นี้ (จริงๆ แล้วคืออุ้งมือคู่นี้) ถูกลวกจนสาหัส จึงได้แต่แบกหน้าเดินเข้ามาด้วยท่าทางแปลกๆ ก่อนพึมพำ “ไม่ว่าปีศาจสาวหรือมนุษย์สาว ก็ล้วนแล้วแต่ขี้ระแวง!”  

 

 

มั่วชิงเฉินยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนกระตุ้นให้ร่มไผ่เหมันต์เดินไปข้างหน้า  

 

 

การร่วมทางกับผู้บำเพ็ญเพียรแปลกหน้า บุคลิกสำคัญมาก ถ้าท่านอ่อนแอหนึ่งส่วน คนอื่นก็จะกดท่านหนึ่งส่วน แต่ถ้าท่านแข็งแกร่งหน่อย คนอื่นอยากคิดร้าย ก็ต้องชั่งใจมากขึ้น  

 

 

แต่บางครั้ง เมื่อเรื่องเดือนร้อนจวนตัว ก็ต้องแสดงความอ่อนแออย่างเกินเลยให้เห็น  

 

 

แต่ไหนแต่ไรมามั่วชิงเฉินไม่ชอบแต่งตัวเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือ การแสดงความอ่อนแอให้ศัตรูเห็นในเวลาที่เหมาะสมเป็นยุทธวิธี แต่ถ้าแกล้งอ่อนแอบ่อยๆ ก็จะทำให้คนมารังแกไม่ยั้ง เช่นนี้ก็ไม่ต้องพูดถึงท่าทีและทัศนคติของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงแล้ว  

 

 

ต้องรู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทุกคน ล้วนเป็นผู้ที่โดดเด่นในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรเป็นพันเป็นหมื่น การเคารพตนเอง นับถือตนเอง เป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ในการบำเพ็ญจิต อาจมีคนไม่เห็นด้วย แต่อย่างน้อยทางที่นางอยากเดิน เป็นเช่นนี้  

 

 

เมื่อมีร่มไผ่เหมันต์ที่ใช้กำราบความร้อนโดยเฉพาะปกป้องอยู่ ความกดดันในการเดินไปข้างหน้าก็ลดลง ทั้งสามใช้เวลาสองวันก็เห็นทางออกในที่สุด  

 

 

เซี่ยหรันเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง โบกมือให้ปราณมารกลายเป็นลูกธนูแหลมคมดอกหนึ่ง พุ่งออกไป  

 

 

แต่แล้วเขาก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ปราณมารนั่นพอไปถึงปากถ้ำ ก็ปรากฏแสงสีแดงวาบ ก่อนถูกดีดสะท้อนกลับ  

 

 

ตอนนี้ทั้งสามค่อยเห็นว่า ด้านนอกของปากถ้ำมีใยแมงมุมขึงกั้นไว้ ซึ่งแทบจะโปร่งใสมาก และการจู่โจมของปราณมารก็ทำให้ปราณวิญญาณแปรปรวนไปวาบหนึ่ง แต่ก็คืนสู่ความสงบนิ่งอย่างรวดเร็ว มองไปอย่างไร ก็มีแต่ความว่างเปล่า  

 

 

“ข้าจะลองดูอีกครั้ง” เซี่ยหรันก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ยกมือขึ้น ปล่อยปราณดำออกมาเป็นสาย  

 

 

ปราณดำพลิ้วไปมาบนใยแมงมุม ไม่นานนักก็ค่อยๆ หายไปในเส้นใย ซึ่งเส้นใยเพียงดำขึ้นเล็กน้อยชั่วขณะ แล้วคืนกลับดังเดิม  

 

 

“เห็นทีปราณมารของสหายเซี่ยใช้ไม่ได้การแล้ว มาข้าเอง” เวยเซิงลิ่วแย้มยิ้ม เผยให้เห็นท่าทางภาคภูมิใจอีกครั้ง ก่อนก้าวเข้าใกล้ใยแมงมุม ยื่นมือออกแล้วฟาดลงอย่างแรง  

 

 

เสียงร้องโหยหวนดังลั่น เวยเซิงลิ่วจับมือตนเองกระโดดไปมา ปากพึมพำ “ร้อนแท้ ร้อนจวนจะตายอยู่แล้ว นี่มันลูกไม้อะไรกันเนี่ย!”  

 

 

เซี่ยหรันยิ้มเย็นชา “ใยแมงมุมนี้ทักทอจากใยอัคคีเป็นหมื่นเป็นพันเส้น ย่อมร้อนเป็นพิเศษ ข้าน้อยนึกว่าสหายเวยเซิงไม่กลัวความร้อนเสียนี่”  

 

 

เวยเซิงลิ่วไม่สนใจคำถากถางเย็นชาของเซี่ยหรัน เป่าลมใส่มือพลางว่า “ช่างมารดามัน ว่าแต่ใยกระจอกที่ทอจากใยอัคคีนี่ เช่นนี้ก็ได้หรือ”  

 

 

“เป็นไฟที่ทำให้ร้อน แต่กลับไร้สี” เซี่ยหรันพูดเสียงเรียบ  

 

 

เวยเซิงลิ่วอึดอัดใจ ไฟกับความร้อน นับเป็นจุดอ่อนของเขา เหตุใดพอมาถึงตรงนี้ ก็ยังหนีไม่พ้นสองอย่างนี้  

 

 

“เมื่อสหายเซี่ยเข้าใจเช่นนี้ มิสู้มาจัดการเองเล่า” เวยเซิงลิ่วถอยหลังสองเก้า จ้องมองเซี่ยหรันด้วยสายตาท้าทายเล็กน้อย  

 

 

เซี่ยหรันขมวดคิ้ว เมื่อครู่เขาได้ลองแล้ว บนใยอัคคีเหมือนมีความสามารถในการยึดจับเป็นพิเศษ พอปราณมารจู่โจมเข้าไป ก็ถูกดูดติดไปกับใยอัคคี ก่อนกำจัดไปอย่างไร้ร่องรอย  

 

 

จะว่าไป การจู่โจมของปราณมารแกร่งกว่าพลังวิญญาณ แต่กับวัตถุที่เกี่ยวกับไฟ ยังขาดตกบกพร่องอยู่บ้าง   

 

 

ไฟจัดเป็นหยาง และเปลวไฟระดับสูงสามารถเผาผลาญทุกสิ่งในโลก โดยเฉพาะมารที่เป็นขั้วตรงข้าม  

 

 

พอมั่วชิงเฉินเห็นทั้งสองคนยืนนิ่ง ก็เก็บร่มไผ่เหมันต์ขึ้น “ข้าขอลองบ้าง”  

 

 

เวยเซิงลิ่วเลิกคิ้ว อยากถากถางสักสองคำ แต่พอคิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ ก็ข่มเอาไว้ ไม่ส่งเสียง  

 

 

กลับเป็นเซี่ยหรันที่อดไม่ได้ พูดขึ้น “สหายมั่วมีวิธีรับมือใยแมงมุมนี้หรือ”  

 

 

มั่วชิงเฉินจ้องมองใยแมงมุมพลางว่า “พันหมื่นเปลี่ยนแปลง แต่ใจความไม่เปลี่ยน ในเมื่อที่นี่กลายเป็นใยแมงมุม สิ่งที่สยบมันได้ ก็น่าจะเป็นไฟ”  

 

 

เซี่ยหรันสั่นศีรษะ “แม้พูดเช่นนี้ แต่เมื่อครู่ข้าน้อยได้ลองดูแล้ว ใยแมงมุมถักทอจากใยอัคคีเปลวแดง ถ้าคิดสยบมัน สหายมั่วก็ต้องก่อไฟที่มีระดับสูงกว่าใยอัคคีขั้นหนึ่ง ซึ่งไฟจริงของผู้บำเพ็ญเพียรอย่างเราๆ น่าจะไม่มีความสามารถเช่นนี้”  

 

 

เขาคิดในใจ  ได้ยินมาว่า สหายมั่วมีเพลิงแก้วใจกระจ่างในร่าง แต่บันทึกประวัติศาสตร์เขียนไว้ว่า เพลิงแก้วใจกระจ่างเป็นเพลิงแห่งสันติภาพ ให้ความอบอุ่นระดับกลาง งานนี้จึงไม่น่าจะใช้อะไรได้  

 

 

พอคิดถึงตรงนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงประสิทธิผลที่ถูกกล่าวขวัญกันมากสุดของเพลิงแก้วใจกระจ่างซึ่งม้วนคัมภีร์หยกบันทึกไว้… สามารถช่วยให้ผู้บำเพ็ญเพียรพ้นจากสภาวะคอขวด เป็นไปได้ที่จะเลื่อนระดับก่อแก่นปราณหรือระดับก่อกำเนิด…  

 

 

พอคิดถึงตรงนี้ ใจก็เต้นแรง มองดูมั่วชิงเฉินอีกครั้งด้วยสายตาแปลกไปบ้าง แต่ก็สงบนิ่งได้อย่างรวดเร็ว  

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะ “สหายเซี่ยพูดถูก โดยทั่วไปถ้าคิดจะใช้ไฟสยบตาข่ายไฟ ก็ต้องใช้ไฟที่อยู่ในระดับสูงกว่า แต่เจ้าพลาดไปจุดหนึ่ง”  

 

 

“จุดไหน” เซี่ยหรันถาม  

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปาก ก่อนว่า “ไฟเย็น”  

 

 

ว่าแล้วก็ดีดนิ้วออก เปลวน้ำแข็งเหมันต์หลายขุมตกลงบนใยแมงมุม ทำให้ใยที่โปร่งใสเปลี่ยนเป็นสีแดงในพริบตา ก่อนปรากฏควันขาวขึ้นวาบหนึ่ง  

 

 

เปลวน้ำแข็งเหมันต์กระจายไปบนใยแมงมุมอย่างรวดเร็ว หนึ่งน้ำเงินหนึ่งแดงประลองกำลังกัน น้ำเงินคงอยู่ แดงจางหาย ใยแมงมุมทั้งผืนค่อยๆ ถูกเปลวน้ำแข็งเหมันต์ปกคลุม  

 

 

ใยแมงมุมพลันส่งเสียงดัง  ครืดคราด  ควันขาวพวยพุ่งขึ้นเร็วยิ่งกว่า จากนั้นใยแมงมุมก็กลายเป็นสีฟ้าน้ำแข็ง ตอนนี้มั่วชิงเฉินค่อยซัดมีดวิญญาณไปที่ใจกลางใยแมงมุม ใยพลันกลายเป็นเศษน้ำแข็ง ร่วงหล่นลงบนพื้น  

 

 

“เอ๋ สหายมั่วมีความสามารถจริงๆ” เวยเซิงลิ่วเป็นปีศาจบำเพ็ญเพียร บวกกับนับถือเทิดทูนเรื่องความสามารถ พอเห็นมั่วชิงเฉินแสดงความไม่ธรรมดาติดต่อกัน จึงทิ้งความอึดอัดใจเหล่านั้นไป แล้วชื่นชมจากใจจริง  

 

 

เซี่ยหรันค่อยๆ เก็บความคิดที่เกิดขึ้นในใจคืนกลับ หญิงสาวนางนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ถ้าไม่มั่นใจเต็มร้อย เขาย่อมไม่คิดทำอะไรตุกติก มิฉะนั้น เกรงว่าไม่เพียงขโมยไก่ไม่ได้ ยังเสียข้าวสารอีกหนึ่งกำมือ  

 

 

เพียงแต่พอมีความคิดเช่นนี้เกิดขึ้น ความเย้ายวนใจในการเลื่อนระดับก่อกำเนิด ก็เหมือนมีมารตัวหนึ่งประจำการอยู่ในมุมหนึ่งของใจ ใช่ว่าสติปัญญาจะสามารถลบล้างได้ทั้งหมด  

 

 

เซี่ยหรันจึงหลุบตาลง ไม่พูดมาก  

 

 

แต่ทั้งสามก็ยังไม่กล้าวางใจ เดินออกจากถ้ำอย่างระมัดระวัง  

 

 

ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังมา พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นแมงมุมไฟขนาดใหญ่สุดจะเปรียบตัวหนึ่งคลานแปดขาพุ่งเข้ามา มันคล้ายรู้ว่าผู้ที่ทำลายใยแมงมุมคือมั่วชิงเฉิน จึงพ่นใยอัคคีสีแดงเส้นหนึ่งใส่นาง  

 

 

พอมั่วชิงเฉินเห็นใยแมงมุมก็ตกใจอยู่บ้าง  

 

 

นั่นเป็นใยแมงมุมหรือ หยาบกว่านิ้วอีก กลับเหมือนเชือกเส้นหนึ่งมากกว่า  

 

 

ลมหายใจที่ใยแมงมุมเส้นนี้พ่นออก ทำให้นางไม่กล้าดูแคลน จึงไม่รีบทำการจู่โจม แต่เขย่งเท้าหลบออกมาหน่อย  

 

 

เวยเซิงลิ่วหรี่ตา พลางตะโกน “ดูเร็ว แมงมุมยั้วเยี้ย!”  

 

 

แมงมุมไฟนับไม่ถ้วนคลานเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน แต่ตัวเล็กกว่าแมงมุมยักษ์มาก ขนาดพอๆ กับกำปั้น แม้เป็นเช่นนี้ แต่พอเห็นแมงมุมมากมายคลานเข้ามา เป็นใครก็ต้องอดไม่ได้ที่จะขนหัวลุก  

 

 

ทั้งสามไม่ลังเลใจอีก ต่างคนต่างใช้วิธีจู่โจมของตน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset