พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 531 การพบกันของผู้บำเพ็ญเพียรพรต มาร และปีศาจ

ผู้ที่กำลังต่อสู้กัน คือหนึ่งบุรุษกับหนึ่งอสูรปีศาจ  

 

 

บุรุษผู้นั้น มั่วชิงเฉินไม่รู้จัก รู้แต่ว่าเป็นหนึ่งในสิบของมารบำเพ็ญเพียรที่เข้ามาในดินแดนวิญญาณ ส่วนอสูรปีศาจที่ประมือกับเขานั้น รูปลักษณ์ภายนอกคล้ายพยัคฆ์ ท่าทางจะอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเจ็ดแล้ว  

 

 

พอทั้งสองรู้สึกถึงลมหายใจของมั่วชิงเฉิน ก็หันมามองนางพร้อมกัน หนึ่งคนหนึ่งอสูร มีสีหน้าไม่สู้ดีเหมือนกัน  

 

 

อสูรปีศาจระดับเจ็ด สติปัญญาไม่ได้ด้อยไปกว่าคน พอเห็นมั่วชิงเฉินปรากฏตัว ก็คิดว่าเป็นผู้ช่วยของบุรุษ ส่วนบุรุษกลับกังวลว่ามั่วชิงเฉินจะฉวยโอกาสซ้ำเติมผู้แพ้ หรือไม่ก็เป็นชาวประมง รอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์  

 

 

มั่วชิงเฉินมองปราดเดียว ก็ตัดสินได้ว่า บุรุษเป็นผู้บำเพ็ญเพียรในระดับสูง เห็นดาบคู่นกเป็ดน้ำในมือเขา ก็น่าจะเป็นมารบำเพ็ญเพียรเซี่ยหรัน ตามที่แผ่นบันทึกหยกพูดถึง  

 

 

เซี่ยหรันผู้นี้เป็นมารบำเพ็ญเพียรที่โดดเด่นจากการประลองครั้งใหญ่ เป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก คนเช่นนี้ทำอะไรรอบคอบ จึงรับมือยากหน่อย พอมั่วชิงเฉินคิดถึงตรงนี้ ก็ละทิ้งความคิดอื่นๆ พยักหน้าให้เซี่ยหรัน แล้วจากไปอย่างรวดเร็ว  

 

 

เซี่ยหรันมองตามแผ่นหลังที่จากไปของมั่วชิงเฉินพลางหรี่ตา ส่วนอสูรปีศาจก็ดีใจพลางยิ้มมุมปาก แล้วหนึ่งคนหนึ่งอสูรก็สู้กันต่อ  

 

 

มั่วชิงเฉินเดินพลางใช้จิตสัมผัสสำรวจทาง เมื่อพบเจออสูรปีศาจที่บำเพ็ญเพียรอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าตนมาก ก็หลบหลีก แล้วเร่งเดินทางต่อ แต่ถ้าพบเจออสูรปีศาจที่บำเพ็ญเพียรอยู่ในระดับที่พอๆ กับตนหรือสูงกว่าขั้นหนึ่ง ก็จงใจสู้ด้วยสักตั้ง ฝึกการต่อสู้ในสนามจริงของตนไปพลางๆ  

 

 

การเดินๆ หยุดๆ เช่นนี้ พริบตาเดียวเวลาก็ล่วงเลยไปครึ่งค่อนวันแล้ว มั่วชิงเฉินพบว่า แม้ไม่ได้ตั้งใจหยุดนั่งฌาณ แต่ปราณวิญญาณที่จุดตันเถียนกลับเพิ่มขึ้นไม่น้อย จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจให้กับความมหัศจรรย์ของดินแดนวิญญาณ  

 

 

เพียงแต่นอกจากทักทายมารบำเพ็ญเพียรเซี่ยหรันไปคราหนึ่ง ก็ไม่ได้พบเจอเขาอีก  

 

 

ดาวดวงน้อยนี้ เกรงว่าต้องกว้างอย่างมาก   

 

 

มั่วชิงเฉินชินกับการบันทึกการเดินทางลงไปในแผ่นบันทึกหยก  

 

 

วันนี้เดินเรื่อยเปื่อยมาถึงที่แห่งหนึ่ง พลันรู้สึกว่า รอบกายร้อนอยู่ไม่น้อย  

 

 

จึงแปลกใจขึ้นมา ขณะจะปล่อยจิตสัมผัสออกสำรวจดู ก็ได้ยินเสียงดอกเบญจมาศแดงในถุงอสูรวิญญาณดังมา “นี่ ที่นี่ข้าเคยมาแล้ว”  

 

 

มั่วชิงเฉินอึ้ง ปล่อยดอกเบญจมาศแดงออกจากถุงอสูรวิญญาณ จ้องมองมันพลางว่า  

 

 

“เจ้าเคยมาที่นี่หรือ หมายความว่าอย่างไร”  

 

 

ดอกเบญจมาศแดงสั่นกลีบไปมา “แหม เรื่องมันนานเกิน บางอย่างก็ลืมไปแล้ว”  

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปาก “หมาป่าน้อย…”  

 

 

“อย่า อย่า เหมือนข้านึกออกอีกแล้ว” ดอกเบญจมาศแดงรีบว่า  

 

 

มั่วชิงเฉินสงบนิ่ง รอฟังคำตอบจากดอกเบญจมาศแดง   

 

 

จะว่าไปก็แปลก ตั้งแต่นำดอกเบญจมาศแดงไปไว้ในถุงอสูรวิญญาณ หมาป่าน้อยก็สนใจมันมาก ตอนไม่มีอะไรทำก็แลบลิ้นเลียมัน ทำเอาดอกเบญจมาศแดงตกใจจนต้องห่อตัวแน่น สีดอกซีดลงอย่างที่พูดเปรียบเทียบเวลาหญิงสาวตกใจจริงๆ  

 

 

ดอกเบญจมาศแดงไม่กล้ารอช้า รีบตอบ “เหมือนหลายหมื่นปีก่อน มีคนอย่างเจ้ามากมายจัดงานชุมนุมดอกไม้ที่นี่ แล้วใช้สมบัติของล้ำค่าที่นำมา แลกเปลี่ยนดอกไม้วิญญาณหายากในงาน ข้าในตอนนั้นก็คือหนึ่งในร้อยดอกไม้ในสวนที่ไม่เด่นสะดุดตาที่สุด”  

 

 

มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว “เจ้าว่าที่นี่เคยมีคนมามากมายอย่างนั้นหรือ”  

 

 

“อืม” ดอกเบญจมาศแดงขยับขึ้นลง  

 

 

“เช่นนี้ ทำไมเจ้าถึงได้ปรากฏอยู่ในที่ห่างไกลจากที่นี่เล่า หรือสภาพของดาวเปลี่ยนไปมาก แต่ทำไมพอมาถึงที่นี่ เจ้าถึงจำได้ล่ะ ข้าไม่เห็นจะรู้สึกว่า ที่นี่ต่างจากที่อื่นมากนัก”  

 

 

ความจริงจะพูดว่าต่าง ก็มีที่ที่ต่างออกไป นอกจากสิ่งแวดล้อมโดยรอบเปลี่ยนเป็นร้อนแล้ว ดินยังเป็นสีน้ำตาลแดงอีก เหมือนมีโลหิตแทรกซึมอยู่ จึงทำให้สีของดินหมองคล้ำลง ไม่เพียงเท่านี้ กระทั่งก้อนหินเหล่านั้นก็ยังเป็นสีแดงสด กวาดตามองไปให้บรรยากาศแบบงดงามทว่าอันตราย  

 

 

แต่คำพูดของดอกเบญจมาศแดงกลับมีหลายอย่างที่ไม่สมเหตุสมผล นางจึงต้องระมัดระวังอยู่บ้าง  

 

 

“เจ้า เจ้าสงสัยข้าหรือ” ดอกเบญจมาศแดงขยับกลีบดอก ก่อนร้องไห้ด้วยความน้อยใจขึ้นมา  

 

 

มั่วชิงเฉินไม่สนใจ ตัดสินใจนั่งฌานที่นี่  

 

 

ดอกเบญจมาศแดงร้องไห้กระซิกๆ อยู่นาน พอไม่เห็นมั่วชิงเฉินมาปลอบ ก็ทนไม่ไหว แผ่กลีบดอกออก ค้อนมั่วชิงเฉินหนึ่งขวับเงียบๆ พอเห็นนางนั่งขัดสมาธิ ใบหน้ามีแสงวิญญาณกะพริบ แสดงว่าเข้าฌานแล้ว ร่างพลันนิ่งไปโดยปริยาย จึงพูดขึ้นอย่างหดหู่ “ที่ข้าปรากฏตัวในที่ห่างไกล เพราะงานชุมนุมดอกไม้ในตอนนั้น เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น”  

 

 

มั่วชิงเฉินค่อยลืมตา แล้วถามเบาๆ “เหตุการณ์ประหลาดอะไร”  

 

 

ดอกเบญจมาศแดงตอบ “ที่นี่มีสำนักหนึ่ง ชื่อสำนักไป่ฮวา ทำการเพาะเลี้ยงต้นไม้ดอกไม้แปลกๆ โดยเฉพาะ ทุกๆ สิบปี จะจัดงานชุมนุมดอกไม้ขึ้น เพื่อแลกเปลี่ยนดอกไม้วิญญาณกับของล้ำค่าอื่นๆ ปีนั้น เจ้าสำนักไป่ฮวาได้เพาะปลูกดอกไม้มหัศจรรย์ขึ้นหนึ่งดอก ดึงดูดผู้บำเพ็ญเพียรจากทุกสารทิศ ตอนนั้นสติปัญญาวิญญาณข้ายังแรกแย้ม จึงแปลกใจมากที่เห็นผู้คนมากมายแย่งกันประมูลดอกไม้มหัศจรรย์ดอกนั้น แต่ไม่รู้ว่าทำไม คนเหล่านั้นถึงต่อสู้กันขึ้นมา ระหว่างการต่อสู้ ดอกไม้ดอกนั้นได้ดื่มโลหิตมนุษย์จนอิ่ม แล้วพ่นน้ำพุสีแดงขึ้นฟ้า ทั่วทั้งแผ่นฟ้าและผืนดินจึงกลายเป็นสีแดง และคนเหล่านั้นก็หยุดหายใจในช่วงเวลาที่นิ่งค้าง จากนั้นพอฟ้าถล่มแผ่นดินแยก ข้าก็กระเด็นออก ตื่นขึ้นอีกที ก็อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แปลกตาไปแล้ว ส่วนที่ว่า ทำไมถึงจำที่นี่ได้ ก็น่าจะเป็นเพราะเผ่าปีศาจดอกไม้อย่างเรา มีสัญชาติญาณผูกพันกับผืนแผ่นดินเกิดกระมัง เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่เจ้า”  

 

 

พอมั่วชิงเฉินฟังจบ ก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ เพียงถาม “ดอกไม้พิสดารนั่น เจ้ารู้หรือไม่ว่าคือดอกอะไร ทำไมถึงดึงดูดผู้คนให้มากันมากมายได้”  

 

 

ดอกเบญจมาศแดงคิดๆ แล้วว่า “ข้าได้ยินเจ้าสำนักพูดกับผู้คนขณะเดินเล่นในสวน ว่าดอกไม้พิสดารนั่นชื่อว่า ดอกชิงวิญญาณ”  

 

 

“ชิงวิญญาณ”  

 

 

“ก็คือ หากมีคนตาย ถ้าป้อนดอกไม้พิสดารนี้ให้กิน ก็สามารถฟื้นคืนชีพได้ ชิงวิญญาณจากยมโลกกลับมา” ดอกเบญจมาศแดงตอบ  

 

 

มั่วชิงเฉินตื่นตระหนก “มีดอกไม้เหลือเชื่อเช่นนี้ด้วยหรือ”  

 

 

ดอกเบญจมาศแดงพยักหน้า “ใช่แล้ว ถึงได้ดึงดูดคนเหล่านั้นให้มาต่อสู้กันชนิดนองเลือด ต่อมาพอเกิดเหตุการณ์ประหลาด คนเหล่านั้นกับดอกไม้พิสดารก็ถูกกลบฝังไป”  

 

 

มั่วชิงเฉินครุ่นคิดอยู่นาน จึงว่า “พูดอีกอย่างก็คือ ที่นี่อาจมีสมบัติล้ำค่าที่คนเหล่านั้นทิ้งไว้กับดอกไม้พิสดาร”  

 

 

“อาจใช่” ดอกเบญจมาศแดงพูดพลางกระตือรือร้นขึ้นมา “นายท่าน ท่านจะไปหาสมบัติใช่หรือไม่”  

 

 

มั่วชิงเฉินจ้องมองดอกเบญจมาศแดง แล้วยิ้มน้อยๆ พลางว่า “ก็ดี เพียงแต่ จะหาอย่างไรดีล่ะ”  

 

 

ดอกเบญจมาศแดงคล้ายมีท่าทีแปลกใจ  

 

 

มั่วชิงเฉินเข้ามาในดาวดวงน้อย เดิมทีเพื่อฝึกประสบการณ์สำรวจและค้นหาโอกาสจากการนี้ แต่ตอนนี้กลับสามารถดูได้อีกว่า ดอกเบญจมาศแดงจะทำอย่างไรต่อ  

 

 

พอดอกเบญจมาศแดงได้ยินคำพูดของมั่วชิงเฉิน ก็สั่นกลีบดอกแล้วว่า  

 

 

“เจ้าก็พาข้าเดินไปข้างหน้าต่อสิ ยิ่งเข้าใกล้ที่ที่เมื่อก่อนข้าเคยอยู่ ความรู้สึกข้าก็จะยิ่งแจ่มชัดขึ้น ไม่แน่ว่าอาจเจอสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นก็เป็นได้”  

 

 

“ดี เช่นนี้เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าก็อย่าลืมเตือนข้าด้วยล่ะ” มั่วชิงเฉินยิ้มพลางนำดอกเบญจมาศแดงใส่ลงไปในถุงอสูรวิญญาณ แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ  

 

 

หนึ่งเดือนต่อมา  

 

 

“ไปตรงนั้น ตรงนั้น ข้ารู้สึกว่าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แล้ว” เสียงของดอกเบญจมาศแดงดังมาจากถุงอสูรวิญญาณ  

 

 

มั่วชิงเฉินไม่พูดมาก เหาะไปตามทางที่ดอกเบญจมาศแดงชี้นำ พลันรู้สึกถึงปราณวิญญาณอันแข็งแกร่งสายหนึ่งกำลังมา ปลายเท้าจึงปรากฏแสงสว่างเล็กๆ กะพริบวาบ ก่อนถอยออกไปไกลหลายจั้ง ขณะเดียวกันก็เรียกไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมาไว้ป้องกันตัวจากด้านหน้า  

 

 

ตรงทางเลี้ยว มีคนคนหนึ่งเดินมา   

 

 

พอคนผู้นั้นเห็นสายตามั่วชิงเฉินจ้องเขม็ง ก็ลองเอ่ยปาก “สหายมั่ว”  

 

 

แม้มั่วชิงเฉินแปลกใจ แต่สีหน้ากลับไม่เปลี่ยน “สหายเซี่ย”  

 

 

ทั้งสองแม้ถามด้วยความสงสัย แต่กลับแน่ใจในสถานะของฝ่ายตรงข้าม  

 

 

มั่วชิงเฉินนึกไม่ถึงจริงๆ วนไปวนมาเป็นเดือนๆ ที่สุดแล้วก็พบเจอมารบำเพ็ญเพียรคนนี้จนได้  

 

 

“สหายมั่ว เราสองคนกลับมีวาสนาต่อกัน” เซี่ยหรันพูดเสียงเย็นชา เขาไม่รู้จะพูดอย่างไรดี   

 

 

มั่วชิงเฉินจึงยิ้มบางๆ “ข้าก็นึกไม่ถึงว่าจะได้พบสหายเซี่ยที่นี่”  

 

 

พอทั้งสองพูดพอเป็นพิธีจบ ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ต่างคนต่างระวังตัว บรรยากาศจึงอึดอัดอยู่พักหนึ่ง  

 

 

“เช่นนี้ ผู้น้อยขอล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง” เซี่ยหรันพูดพลางกระโดดขึ้นสมบัติวิเศษเหินหาว  

 

 

ไม่ได้ต่อสู้กัน มั่วชิงเฉินโล่งอกอย่างดีใจ จึงเหยียบไหมเกล็ดน้ำแข็งแล้วเหาะไปตามทางที่ดอกเบญจมาศแดงชี้เมื่อครู่  

 

 

สมบัติวิเศษเหินหาวของทั้งสองขับเคลื่อนพร้อมกัน และไปยังทิศทางเดียวกัน  

 

 

พอไปเรื่อยๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหยุดพร้อมกัน แล้วหันมามองอีกฝ่าย  

 

 

เซี่ยหรันมีท่าทีเย็นชา “สหายมั่วทำเช่นนี้ มีเจตนาใด”  

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วน้อยๆ แม้รู้ว่าเซี่ยหรันผู้นี้เป็นมารที่ได้อันดับหนึ่งในการประลองครั้งใหญ่ แต่นางก็มิได้เกรงกลัว ทว่าตอนนี้ดูไปแล้ว ฝ่ายตรงข้ามกลับรู้สึกว่านางจัดการได้ง่ายๆ  

 

 

คิดดูก็ถูก ระดับบำเพ็ญเพียรของตนต่ำกว่าผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ที่เข้ามาที่นี่หนึ่งขั้นเล็ก และเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงจากสำนักใหญ่ จึงอาจดูไม่สลักสำคัญในสายตาใครบางคน  

 

 

เมื่อไม่มีความสามารถ ย่อมถูกดูหมิ่น  

 

 

“ผู้น้อยไม่มีเจตนาใดๆ กลับเป็นสหายเซี่ยถามเช่นนี้ มีเจตนาใด”  

 

 

เซี่ยหรันทำหน้าเคร่งขรึม พลางมองมั่วชิงเฉินด้วยสายตาเย็นชา   

 

 

ดวงดาวกว้างใหญ่ขนาดนี้ แต่ผู้บำเพ็ญเพียรนางนี้กลับพบเจอตนติดต่อกันสองครั้ง เขาจึงไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องบังเอิญ หรือนางสะกดรอยตน  

 

 

เรื่องเช่นนี้ไม่แปลกถ้าเกิดขึ้นในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร โดยเฉพาะเวลาที่ต้องสำรวจดินแดนลึกลับ ก็จะมีผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มหนึ่ง คิดแต่จะเอาเปรียบ ตามติดอยู่ด้านหลังผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ รอให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่ถูกสะกดรอยได้ของบางสิ่งบางอย่าง ก็จะเข้าจู่โจมจากด้านหลัง  

 

 

ก็ที่นี่เหมือนไม่แบ่งแยกว่าใครเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสำนักไหนใครไร้สำนักนี่  

 

 

พอเซี่ยหรันคิดได้เช่นนี้ จิตสังหารก็ขยับ  

 

 

พอเห็นแววตาของฝ่ายตรงข้ามเกิดจิตสังหารวาบหนึ่ง มั่วชิงเฉินก็หัวเราะเย็นชาออกมา  

 

 

“เหตุใดสหายเซี่ยถึงได้จ้องมองข้าน้อยเช่นนี้ ถ้าไม่มีเรื่องอะไร ข้าน้อยก็ขอไปก่อนก้าวหนึ่ง แต่ถ้าอยากต่อสู้ ข้าน้อยก็จะสนองตอบ!”  

 

 

นางไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้อื่น แม้ตั้งอยู่บนความไม่ประมาท แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องคอยเอาอกเอาใจ ก้มหน้ารับความเย็นชาจากใคร  

 

 

เซี่ยหรันเริ่มไม่พอใจ ร่างคล้ายมีแสงสีดำปกคลุม เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นี้จะหาเรื่องเขาก่อน หรือนางมีผู้มีอำนาจหนุนหลังอยู่  

 

 

แม้ผู้บำเพ็ญเพียรสายมารดำเนินเรื่องอย่างเด็ดขาดดุดัน แต่เขาไร้สำนัก จึงมีความระมัดระวังมากกว่าพวกที่สังกัดสำนัก พอได้ยินคำพูดนาง ก็เหลือบมองนาง พลางกำดาบนกเป็ดน้ำในมือ  

 

 

ขณะนั้น กลับได้ยินเสียงมั่วชิงเฉินตะโกนเสียงเย็นชา “ใคร ออกมา!”  

 

 

เซี่ยหรันอึ้ง หันมองตามมั่วชิงเฉิน  

 

 

และก็เห็นแสงวิญญาณขยับอยู่ตรงนั้นจริงๆ ก่อนปรากฏร่างคนคนหนึ่ง  

 

 

เซี่ยหรันตกตะลึงโดยไม่รู้ตัว  

 

 

จิตสัมผัสของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นี้แข็งแกร่งยิ่ง ขนาดเขาก็ยังไม่รู้ว่ามีคนมา เห็นทีต้องประเมินความสามารถของนางใหม่เสียแล้ว  

 

 

“สหายทั้งสอง” ท่าทางการเดินของผู้มาใหม่ดูแปลกอยู่บ้าง เขายืนห่างออกไปไม่ไกล ขณะมองดูมั่วชิงเฉินกับเซี่ยหรัน  

 

 

มั่วชิงเฉินกับเซี่ยหรันสบตากัน  

 

 

ปีศาจบำเพ็ญเพียร  

 

 

ปีศาจบำเพ็ญเพียรที่เข้ามาในดาวดวงนี้ ล้วนเป็นอสูรปีศาจระดับเจ็ด จำแลงกายได้ต่างจากตัวจริงเพียงเล็กน้อย พูดตามหลักก็คือ ยังมีรูปอสูรอยู่ แต่เพื่อลดทอนความยุ่งยากที่ไม่จำเป็น อสูรปีศาจสิบท่านนี้จึงกลืนโอสถจำแลงกายลงไป ให้รักษาร่างมนุษย์ได้นานหน่อย  

 

 

ซึ่งท่านที่อยู่ตรงหน้า เห็นชัดว่าเป็นเช่นนี้ เพียงแต่อสูรปีศาจเช่นนี้กับอสูรปีศาจที่จำแลงกายได้จริงๆ อย่างไรก็แตกต่างกัน เขายังคงมีหางอยู่ด้านหลัง  

 

 

หนึ่งพรต หนึ่งมาร หนึ่งปีศาจสบตากันและกัน บรรยากาศรอบด้านพลันแข็งค้างขึ้นมาในทันใด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset