พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 527 ทุกข์ยากต่อเนื่องดั่งฝนกลางคืน

กู้หลีคว้ามือของมั่วชิงเฉินไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ชิงเฉิน อดทนไว้ เพียงสามวัน อีกสามวันเท่านั้น”  

 

 

เขาใช้ ‘เปลี่ยนจิต’ กับตัวเองไปแล้ว เพียงรออีกสามวันเท่านั้น ‘เปลี่ยนจิต’ ถึงจะออกฤทธิ์ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ช่วงเวลานั้นคือโอกาสที่เหมาะสมที่สุดของการถ่ายโอนด้ายพันจิตตรึงใจ  

 

 

“เจ็บ” ความเจ็บปวดอันมิอาจหาสิ่งใดเปรียบได้ทำให้มั่วชิงเฉินเผลอพูดคำนั้นออกมาโดยไม่รู้ตัว  

 

 

ดวงตาพร่ามัวไปด้วยน้ำตา ใบหน้าของเยี่ยเทียนหยวนปรากฏขึ้นวูบหนึ่ง ทันใดนั้นความรู้สึกของนางพลันชัดเจนยิ่งขึ้น  ใช่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรต้องผ่านมันไปให้ได้ พวกนางพึ่งแต่งงานกัน เวลาที่อยู่ด้วยกันยังน้อยนัก  

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินกัดปากจนเป็นแผล กู้หลีไม่ลังเลอีกต่อไป ยัดโอสถเม็ดหนึ่งใส่ปากนาง  

 

 

ฤทธิ์โอสถแพร่กระจายทั่วในร่างกาย ไม่นานปลายนิ้วมีความรู้สึกชาวาบขึ้นมา  

 

 

“อาจารย์” มั่วชิงเฉินประหลาดใจเล็กน้อย  

 

 

“นี่คือโอสถระงับอาการ สามารถทำให้เจ้าไม่รับรู้อาการเจ็บปวดได้ แต่หลังจากนี้ผลค้างเคียงของมันค่อนข้างรุนแรง รอหลังจากนำด้ายพันจิตตรึงใจออกแล้ว ภายในครึ่งปีนี้ไม่เหมาะที่จะใช้พลังวิญญาณ” กู้หลีอธิบาย  

 

 

มั่วชิงเฉินถอนหายใจโล่งอก ครึ่งปีไม่สามารถใช้พลังวิญญาณ แม้จะทำให้หลายเรื่องต้องล่าช้าไปบ้าง แต่ดีกว่าตอนนี้มาก พูดตามตรง หากพรุ่งนี้ความเจ็บปวดทวีรุนแรงมากกว่าเดิม นางกลัวจริงๆ ว่าจะมิอาจทนรับได้ไหว  

 

 

หากเป็นเพราะด้ายพันจิตตรึงใจกระทำสิ่งใดออกไป เกรงว่านางและอาจารย์คงมิอาจรักษามิตรภาพระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์ได้อีกแล้ว ทั้งศิษย์พี่ของตนก็คงมิอาจเผชิญหน้าด้วยความใจจริง   

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินสีหน้าดีขึ้น กู้หลีก็วางนางลงนอนบนเตียงหิน พูดกำชับว่า “สามวันนี้ เจ้านอนให้สบาย หากเบื่อให้เรียกอู๋เย่ว์ออกมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า อาจารย์กลับห้องก่อน หลังจากสามวันจะกลับมาใหม่”  

 

 

“อาจารย์ค่อยๆ เดิน” มั่วชิงเฉินยิ้ม มองตามหลังอาจารย์ที่เดินจากไป ความเหนื่อยล้าจากอาการเจ็บปวด ทำให้เปลือกตาปิดลงอย่างรวดเร็ว  

 

 

ในกระเป๋าอสูรวิญญาณ อู๋เย่ว์ใช้ปีกทุบหน้าอกของตัวเองไม่หยุด ป้องปีกทั้งสองเข้าด้วยกันพูดกระซิบว่า “สวรรค์คุ้มครอง ข้าเกือบหัวใจวายตายแล้ว”  

 

 

มันเตรียมตัวไว้เรียบร้อยแล้วว่าหากอาจารย์และศิษย์ทั้งสองทำเรื่องไม่เหมาะสม ก็จะทุ่มสุดตัวกระโจนออกไป ต่อให้ขนร่วงตกลงไปก็ต้องดึงพวกเขาออกมาให้ได้ ยังดีที่ไม่เป็นเช่นนั้น ยังดี  

 

 

ในที่สุดสามวันได้ผ่านพ้นไป กู้หลีเข้าไปหามั่วชิงเฉินในห้องหิน เห็นนางกำลังนอนพิงอยู่บนเตียง มีเจ้าอีกาไฟนอนเกียจเคร้านอยู่ด้านข้าง ตาสีขาวชำเลืองมองเพียงครึ่งหนึ่ง ขณะจ้อเรื่องวันเก่าๆ ที่ไล่ตามจีบอีกาไฟตัวผู้อย่างออกรสออกชาติ   

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มเจื่อนเมื่อเห็นกู้หลีเดินมานั่งข้างๆ ก่อนตะโกนเรียกขึ้น “อาจารย์”  

 

 

เจ้าอีกาไฟลำตัวแข็งทื่อ หันตัวมาช้าๆ สบตากับกู้หลี ทันใดนั้นรีบใช้ปีกทั้งสองข้างปิดหน้าอย่างทันท่วงที จากนั้นก็หันหลังกลับกล่าวอย่างชั่วร้ายว่า “นายท่าน เหตุใดท่านถึงไม่เตือนข้า!”  

 

 

มั่วชิงเฉินหน่ายใจ ยิ้มตอบกลับไป “บังเอิญตั้งใจฟังเรื่องที่น่าสนใจมากๆ อยู่น่ะ”  

 

 

ดวงตาเล็กๆ ของอีกาไฟโกรธกระฟัดกระเฟียด ก่อนมุดหัวลงกระเป๋าอสูรวิญญาณ  

 

 

“ชิงเฉิน รู้สึกเช่นไรบ้าง” กู้เหลีเดินเข้ามาใกล้ สังเกตอาการณ์ของมั่วชิงเฉิน แม้ใบหน้าของนางยังซีดเซียวอยู่ แต่จิตใจนับว่าไม่เลวนัก แอบพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ  

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มตอบ “ยังรู้สึกชาอยู่เจ้าค่ะราวกับตัวเองไม่มีมือมีเท้าแล้ว อาจารย์ ท่านหลอมโอสถระงับอาการได้อย่างไร ศิษย์อ่านตำราโอสถมาไม่น้อย แต่ไม่เคยเห็นโอสถชนิดนี้เลย”  

 

 

กู้หลียิ้มส่ายศีรษะ ก่อนอธิบายว่า “ยาชนิดนี้อาจารย์หลอมออกมาโดยไม่ตั้งใจ ลองใช้ยาจนเห็นผลข้างเคียงแล้ว จึงตั้งชื่อไปเช่นนั้น”  

 

 

“เช่นนั้นแล้วแต่เดิมอาจารย์ตั้งใจหลอมยาอะไรเจ้าคะ” มั่วชิงเฉิน ถามอย่างสนอกสนใจ  

 

 

วิถีการหลอมยาซึ่งทำให้ผู้คนต่างหลงใหลนี้ อยู่ที่ความไม่แน่นอน ไม่มีผู้ใดสามารถคาดเดาได้ จนกระทั่งฝาครอบเตาหลอมเปิดออกในตอนนั้นเอง ว่าด้านในมีปริมาณโอสถมากน้อยเท่าใด ทั้งยังปรากฏโอสถที่แปรผันเป็นเช่นใด  

 

 

หลายปีมานี้ที่นางหลอมโอสถ โอสถที่แปรผันยังคงมีมากกว่าสิบเม็ด ทั้งหมดล้วนบรรจุอยู่ในขวดหยกโดยเฉพาะ รอมีเวลาว่างจึงค่อยนำวิธีการหลอมโอสถเหล่านี้มาสำรวจ ดังนั้นหากหลอมยาใหม่ได้สำเร็จ นับว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้บำเพ็ญเพียร  

 

 

ไม่ต้องการเป็นนักหลอมโอสถที่มีชื่อเสียง เพียงหวังว่าสามารถสร้างยาหลอมชนิดใหม่ขึ้นมาได้ตราบเท่าที่มีชีวิตอยู่  

 

 

กู้หลีลังเลสักพักก่อนตอบว่า “โอสถไขกระดูกมรกต”  

 

 

มั่วชิงเฉินตกตะลึงงัน เจ้าอีกาไฟที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าอสูรวิญญาณหัวเราะอย่างชอบใจ  

 

 

โอสถไขกระดูกมรกต เป็นโอสถที่ให้อสูรวิญญาณกินโดยเฉพาะ  

 

 

มั่วชิงเฉินขบฟันแน่น “อาจารย์ ท่านนับว่าเป็นผู้มีพรสรรค์โดยแท้จริง ขนาดจะหลอมโอสถไขกระดูกมรกต ยังหลอมออกมาเป็นโอสถระงับอาการได้”  

 

 

กู้หลียิ้มเจื่อน “ชิงเฉิน ตอนนี้ถึงเวลาคลายด้ายพันจิตตรึงใจแล้ว เจ้านั่งให้ดีๆ”  

 

 

“เจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินลำตัวตั้งตรง  

 

 

กู้หลีนั่งตัวตรงอยู่ด้านหน้าของนาง ทั้งสองใช้ฝ่ามือประกบเข้าหากัน  

 

 

“ชิงเฉิน ผ่อนคลายสักหน่อย ให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติก็พอ” ได้ยินกู้หลีกำชับเช่นนั้น มั่วชิงเฉินก็ฟังความและปฏิบัติตามอย่างตั้งใจ  

 

 

พลังวิญญาณจำนวนหนึ่งแล่นออกจากฝ่ามือของกู้หลี เข้าสู้ฝ่ามือของมั่วชิงเฉิน ร่างกายของทั้งสองมีลำแสงสีเขียววนวูบวาบ   

 

 

ในตัวของมั่วชิงเฉินยังคงมีผลข้างเคียงของโอสถระงับอาการอยู่ ทำให้ไม่รู้สึกอะไร เพียงสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณเลือนรางของอีกฝ่ายที่ไหลเข้ามาอย่างแปลกประหลาดในร่างกายตนเอง ก่อนเข้าตำแหน่งหัวใจในที่สุด  

 

 

ตึก ตึก ตึก  หัวใจของมั่วชิงเฉินเต้นเป็นจังหวะอยู่ไม่กี่ครั้งอย่างรุนแรง ราวกับแรงดึงดูดชนิดหนึ่งกำลังบังคับเข้าใกล้พลังที่อยู่ภายนอก  

 

 

มั่วชิงเฉินใช้จิตสัมผัมมองเข้าไป พบว่าด้ายแดงที่พัวพันอยู่ปลายหัวใจเคลื่อนไหวราวกกับกระแสน้ำที่ไหลย้อนกลับ แต่ละเส้นที่ติดอยู่หัวใจคลายออกก่อนถูกดูดเข้าไปกลางระลอกพลังวิญญาณภายนอกนั่น  

 

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด บนหัวใจไม่มีรากของด้ายแดงแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงรอยลึกที่พัวพันกันนับพับเส้น  

 

 

พลังวิญญาณภายนอกพลันถอยออกไปอย่างรวดเร็ว  

 

 

ทันใดนั้นกู้หลีลดมือลง สอดประสานเข้าไปในแขนเสื้อ ยิ้มพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เรียบร้อย ชิงเฉิน เจ้าพักผ่อนอีกสองวัน จากนั้นพวกเราค่อยกลับเหยากวง”  

 

 

มั่วชิงเฉินกะพริบตา มีความรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง ของเด็กเล่นที่บีบบังคับตนอย่างบ้าคลั่งพรรค์นั้น เพียงใช้วิธีแค่นี้ก็สามารถแก้ไข้ได้แล้วหรือ  

 

 

“อาจารย์…”  

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินพูดชะงักไป กู้หลียิ้มถามขึ้น “ทำไมรึ”  

 

 

“ด้ายพันจิตตรึงใจที่ทำให้คนรู้สึกขมขื่นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าสามารถแก้ปัญหาได้ง่ายเกินไปหน่อย”  

 

 

กู้หลีตบไหล่มั่วชิงเฉินเบาๆ ก่อนลุกขึ้น “อย่าคิดมาก แม้ด้ายพันจิตตรึงใจจะเป็นวิชาลับจากเผ่าจิ้งจอกหิมะ แต่หากรู้วิธีการจัดการและใช้โอสถที่เหมาะสม แน่นอนว่า เมื่อใช้ยาถูกจุด โรคจึงหาย”  

 

 

เห็นกู้หลีหันหลังเดินจากไป มั่วชิงเฉินไม่ได้คิดมาก แค่ถอนใจด้วยความโล่งอกให้กับความโชคดีของตัวเอง อาจารย์รู้วิธีแก้เคล็ดวิชาลับได้โดยบังเอิญ แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่จิ้งจอกหิมะทำเช่นนี้ ก็ยังรู้สึกกลัดกลุ้มใจ นางมิอาจคิดเลยจริงๆ ว่าหากมีวันหนึ่งอาจารย์กับนางจิ้งจอกหิมะสามารถอยู่ด้วยกันได้ นางจิ้งจอกหิมะจะกลายเป็นอาจารย์หญิงของนาง ทั้งวันทั้งคืนนางคงมิอาจยั้งมือจับมันตีจนสลบแล้วจับย่างกินได้กระมัง  

 

 

หลายวันผ่านไป กู้หลีทั้งอาจารย์และลูกศิษย์ก็มุ่งหน้ากลับเหยากวง  

 

 

“อาจารย์ ท่านจะกักตนหรือ”  

 

 

กู้หลีตอบ “อืม อาจารย์กักตนครานี้จะออกมาเมื่อแดนสวรรค์มั่วหลัวตูเปิดออก ประมาณสามปีได้ ชิงเฉิน รอให้เจ้าสามารถโคจรพลังวิญญาณได้แล้ว ใช้เวลาอันสั้นนี้เตรียมตัวให้พร้อม หากเข้าไปแดนวิญญาณนั่นแล้ว ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบปีจึงสามารถออกมาได้”  

 

 

“ขอบพระคุณอาจารย์ที่ย้ำเตือน ชิงเฉินทราบแล้ว” มั่วชิงเฉินรู้ดีว่าตลอดสามปีที่ไม่ได้เจอหน้าอาจารย์นี้ ต้องเพิ่มความเอาจริงจริงเอาจังขึ้นมาหนึ่งส่วน ถึงสามารถกลับเขาลั่วเถาได้  

 

 

เพราะมิอาจเคลื่อนไหวพลังวิญญาณได้ ต้องอาศัยผลไม้เซียน ค่อยๆ บินเอ้อระเหยกลับเหยากวง  

 

 

เจอเหล่าศิษย์ไม่น้อยระหว่างทาง ทั้งหมดล้วนทำท่าอยากเดินมาหา แต่ก็ไม่เข้ามาเสียอย่างนั้น   

 

 

นี่เป็นอะไรกันไปหมด  

 

 

เห็นศิษย์ผู้หนึ่งมีท่าทีเช่นนั้น ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ทนไม่ไหวกวักมือเรียก “มานี่”  

 

 

ทันใดนั้นศิษย์ผู้นั้นพูดขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ “อา….อาจารย์อา ท่านเรียกข้าหรือ”  

 

 

“ใช่”  

 

 

เพิ่งพูดจบ ศิษย์ผู้นั้นราวกับโผทะยานเข้ามาหา ทำให้มั่วชิงเฉินที่อยู่ด้านข้างตกใจสะดุ้งเฮือก  

 

 

อย่าเชียวนะ ตอนนี้พลังวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งไม่สามารถใช้งานได้ หากโดนกอดขึ้นมา คงเป็นการเสียหน้าขนานใหญ่เป็นแน่  

 

 

“อา…อาจารย์อา ท่านมีอะไรจะสั่งข้าหรือ”  

 

 

มองดูศิษย์ผู้นี้ตื่นเต้นจนพูดติดอ่าง ก็ทนไม่ได้ที่ทำให้ผู้อื่นลำบากใจเช่นเดียวกัน จึงถามไปตรงๆ ว่า “ไม่มีเรื่องอไร แค่เพียงประหลาดใจเล็กน้อยว่าเหตุใดพวกเจ้าจึงมองข้าเช่นนี้ หรือว่า…ครั้งที่แล้วเดิมพันแพ้ อยากมาจ่ายเงินให้ข้าหรือ”  

 

 

“ใช่ขอรับ อา เอ้ย ไม่ใช่ ไม่ใช่….” เห็นมั่วชิงเฉินชำเลืองมา ศิษย์ผู้นั้นจึงพูดติดอ่างอีกครั้ง “อา…อาจารย์อา ศิษย์ยังคงอา…เอ้ยท่าน…”  

 

 

เจ้าเด็กเหลือขอนี่ คิดอยากจะตามหานางนานแล้วใช่หรือไม่  

 

 

หลอดเลือดดำบนขมับของมั่วชิงเฉินกระตุกไม่ยอมหยุด พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นว่า “หากเจ้าเห็นหน้าข้าแล้วรู้สึกกดดัน เช่นนั้นก็หันหลังพูดเสีย”  

 

 

ทว่าสิ่งที่ทำให้นางแทบจะกระอักเลือกก็คือศิษย์ผู้นั้นพลันหันหลังกลับจริงๆ ก่อนพูดอย่างคล่องแคล่วว่า “อาจารย์อามั่ว ท่านดังใหญ่แล้วนะ”  

 

 

“เหตุใดถึงพูดเช่นนั้น” ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินก็สัมผัสได้ถึงลานสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก  

 

 

“ก็มิใช่ว่าท่านได้เป็นสิบอันดับสูงสุดของการประลองเฟิงอวิ๋นหรือ…”  

 

 

ศิษย์ผู้นั้นไม่ทันพูดจบ มั่วชิงเฉินคิดว่าเขาจะพูดติดอ่างอีก จึงยิ้มตอบอย่างไม่ใส่ใจ “เรื่องนี้นะหรือ แล้วเหตุใดการที่ข้าเข้ารอบสิบอันดับได้อย่างรวดเร็วทำให้พวกเจ้าแปลกใจเล่า”  

 

 

ศิษย์ผู้นั้นร้องอย่างสะอึกสะอื้น “ผิดแล้วอาจารย์อามั่ว การที่ท่านมีชื่อเสียงใหญ่โตในการประลองเฟิงอวิ๋น ทำให้แดนไท่ไป๋ด้านนู้นจู่ๆ ก็มีข่าวลือเรื่องหนึ่ง บอกว่า ร่างกายของท่านเป็นเพลิงแก้วใจกระจ่าง!”  

 

 

ในหัวของมั่วชิงเฉินราวกับมีเสียงสายฟ้าฟาดดังขึ้น “เจ้าว่าอะไรนะ!”  

 

 

ตายแน่ ต้องตายแน่ๆ สิ่งที่ศิษย์คนนั้นพูดออกไปนับว่างามหน้านัก ใครจะอยากนำเรื่องประเภทฟ้าผ่าตอนกลางวัน[1]เช่นนี้ไปบอกอาจารย์อามั่วเล่า ยังไม่ทันได้เตรียมตัว ก้อนอิฐก้อนนั้นคงลอยมามิไกลตัวแล้วกระมัง  

 

 

ทันทีที่ยั้งสติได้ มั่วชิงเฉินก็กลับมาเคร่งขรึมอย่างเร็วเร็ว ตอบอย่างราบเรียบ “ขอบใจที่บอกให้ข้ารู้ เจ้าออกไปเถอะ” พูดจบก็หยิบขวดหยกขนาดเท่าหัวแม่มือดขวดหนึ่งขึ้นมา วางบนฝ่ามือของศิษย์ผู้นั้น  

 

 

ศิษย์ผู้นั้นจ้องมองขวดหยกที่อยู่บนฝ่ามือสักพัก ก่อนออกแรงหยิกหน้าตัวเอง “ไอยา เจ็บ แท้จริงแล้วอาจารย์อามั่วไม่ได้หยิบก้อนอิฐ…ฮ่าๆ จ่ายเพียงหนึ่งคราได้กลับมาหนึ่งพันตำลัง สิ่งที่ข้าได้มานั้นนับว่าคุ้มเกินไปแล้ว!”  

 

 

ยังเดินออกไปไม่ไกลนัก มั่วชิงเฉินที่เดินซวนเซอยู่นั้นเกือบจะหายใจไม่ทันเสียแล้ว  

 

 

ถึงเขาลั่วเถา ก็เห็นสีหน้าเคร่งขรึมจากคนรู้จัก ทั้งหมดล้วนมองนางด้วยความลังเล  

 

 

มั่วชิงเฉินโบกมือ ก่อนพาตัวเองนั่งลงบนโต๊ะหิน หยิบสุราน้ำเต้าขึ้นมาจิบ เมื่อรู้สึกว่าจิตใจสงบลงแล้วจึงพูดออกมา “หยุดจ้องข้าได้แล้ว ข้าได้ยินมาแล้ว”  

 

 

มั่วหนิงโหรวเดินเข้ามา ดึงมือมั่วชิงเฉินด้วยดวงตาแดงก่ำ “ชิงเฉินแล้วเจ้าจะทำเช่นใด”  

 

 

ถังมู่เฉินยากนักที่มีสีหน้าไร้รอยยิ้มเช่นนี้ กลับมองนางอย่างจริงจัง  

 

 

มั่วชิงเฉินเพียงยิ้ม “พวกท่านอย่าทำท่าราวกับฟ้าจะถล่มเลย ไม่เป็นไรหรอก”  

 

 

มั่วหนิงโหรวขมวดคิ้ว “จะไม่เป็นไรได้อย่างไร ข้าได้ยินพี่ใหญ่ถังพูด ว่าเพลิงแก้วใจกระจ่างเป็นต้นตอแห่งเภทภัย เกรงว่าเจ้าคงจะไม่มีวันได้อยู่อย่างสงบสุขแล้ว”  

 

 

มั่วชิงเฉินมองพวกเขาก่อนตอบว่า “อย่างกังวลไปเลย ตอนนี้ข้าเป็นถึงระดับก่อแก่นปราณขึ้นสูง อีกทั้งมีประสบกาณ์เข้าเป็นผู้แข็งแกร่งสิบอันดับของการประลองเฟิงอวิ๋นได้อย่างรวดเร็ว ผู้บำเพ็ญเพียรที่ต่ำกว่าระดับก่อกำเนิดไม่กล้าเข้ามาวุ่นวายหรอก ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด เดิมในเทียนหยวนเองก็มีไม่มาก ล้วนรู้จักกันทั้งนั้น ถ้าอยากหาเรื่องข้าคงไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก”  

 

 

“จริงหรือ” ในที่สุดมั่วหนิงโหรวแสดงสีหน้าดีใจออกมา  

 

 

“เป็นเช่นนั้น” มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างจริงจัง  

 

 

แต่ในใจกลับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง จริงกับผีนะสิ ครึ่งปีมิอาจโคจรพลังวิญญาณได้ ยังกลายเป็นเนื้อพระถังซัมจั๋ง[2]กลางหมู่ผู้คนอีก ดูท่าแล้วก่อนแดนวิญญาณจะเปิดออกคงต้องหลบซ่อนเป็นเต่าอยู่ในเหยากวงกระมัง  

 

 

ช่วงนี้ชักจะดวงซวยไปหน่อยแล้วใช่หรือไม่  

 

 

มั่วชิงเฉินคิดเช่นนั้นก่อนเงยหน้าสบตาถังมู่เฉิงอย่างไม่รู้ตัวคราหนึ่ง  

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] ฟ้าผ่าตอนกลางวัน  เป็นสำนวน แปลว่า เรื่องที่ไม่คาดฝัน เรื่องที่น่าตกใจมาก เหมือนฟ้าผ่านตอนกลางวัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นยากมาก

 

 

[2] เนื้อพระถังซัมจั๋ง  ในวรรณกรรมจีนบันทึกการเดินทางสู่ตะวันตก หรือบันทึกไซอิ๋วได้เขียนไว้ว่า หากได้กินเนื้อของผู้บำเพ็ญเพียรศีลจะมีอิทธิฤทธิ์มากมายมหาศาลและเป็นอมตะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset