พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 524-3 การแก้แค้นของจิ้งจอกหิมะ

สตรีในชุดอาภรณ์สีขาวหิมะนำธูปที่ติดไฟปักลงบนแท่นบูชา ในมือยังปรากฏธูปอีกดอก ทำเช่นนี้จนครบสามดอก จึงพนมมือขึ้น สักการะด้วยใบหน้าเปี่ยมความเลื่อมใส หลังจากนั้นก็นิ่งเงียบไม่ขยับ ปล่อยให้ควันธูปพัดพาเศษธุลีกระทบหน้าของนางไป  

 

 

เปลวธูปติดๆ ดับๆ ขดกลายเป็นรูปดอกบัวหยกสวยงาม  

 

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ พลันเกิดกลุ่มควันสีขาวพุ่งออกมาจากหน้าผากของสตรีในชุดอาภรณ์สีขาวหิมะ ควันธูปเลือนรางลอยไกลไปตามทิศทางหนึ่ง  

 

 

นักพรตหย่าอี้นอนหลับลึกอยู่บนเก้าอี้ยาว ทันใดนั้นพลันหายใจอย่างถี่รัว  

 

 

เกิดความรู้สึกไม่ชัดเจนขึ้นในตัวของนาง เหมือนมีบางสิ่งหนักๆ กดทับอยู่บนหน้าอก ทำให้หายใจหอบขึ้น  

 

 

นางยกมือขึ้นโดยไว ทว่าร่างกายไม่ยอมทำตาม พบว่าไม่สามารถขยับได้ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้สึกตัว พยายามจะลืมตา ทว่าเปลือกตาราวกับมีน้ำหนักพันชั่งเสียอย่างนั้น   

 

 

นักพรตหย่าอี้ตื่นตระหนก พลังในร่างกายพลุ่งพล่าน ทุกครั้งที่ดิ้นรน พลังทั้งหมดราวกับหายไป  

 

 

ไม่รู้ว่าดิ้นรนนานเท่าใด ในที่สุดเสียงร้อง “กรี๊ด” ดังขึ้นมา  

 

 

หลี่มู่จื่อรีบรุดเข้ามาในห้อง เห็นใบหน้าของนักพรตหย่าอี้ซีดเผือดและชุ่มไปด้วยเหงื่ออยู่ในสภาวะตกใจ รีบถามขึ้นว่า “อาจารย์ ท่านเป็นอะไร”  

 

 

นักพรตหย่าอี้ลืมตาส่งยิ้มอิดโรยให้หลี่มู่จื่อ “ไม่มีอะไร อาจเป็นเพราะอาจารย์ฝันร้าย”  

 

 

“ได้อย่างไร” หลี่มู่จื่อหลุดปากพูดออกมา  

 

 

นักพรตหย่าอี้ก็ไม่เข้าใจเช่นกัน หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อก่อนตอบไปว่า “อาจเป็นเพราะเหนื่อยเกินไป มู่จื่อ เจ้าออกไปเถิด”  

 

 

หลี่มู่จื่อมองนักพรตหย่าอี้ด้วยความกังวลใจ พยักหน้าเล็กน้อยตอบว่า “ท่านอาจารย์ เช่นนั้นข้ากลับห้องก่อน หากท่านมีเรื่องอะไรให้เรียกข้า”  

 

 

รอหลี่มู่จื่อกลับไป นักพรตหย่าอี้ก็เอนกายพิงเก้าอี้ยาว ปะติดปะต่อเรื่องราวในใจอย่างรอบคอบ  

 

 

หรือว่าจะ เป็นใจมาร  

 

 

นางกับนักพรตซู่ฉิงไม่เหมือนกัน ครั้นยังเป็นเด็กที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกิยะ เป็นสะใภ้เด็กที่ถูกแม่ยายโขกสับบ่อยครั้ง แต่ตอนนั้นสามีเด็กอายุได้เพียงห้าขวบ รู้แค่ว่าเขาแอบขโมยเอายาขวดหนึ่ง หรือไม่ก็ขนมวัววัวโถว[1]ชิ้นหนึ่งให้นาง หลังจากนั้นเพราะน้ำท่วม ชะล้างหมู่บ้านจนเกลี้ยง นางบังเอิญพาสามีตัวน้อยที่ขุดรังนกอยู่หนีออกมา  

 

 

นางมิอาจลืมรสชาติของความหิวและความหนาวเหน็บของทั้งสองที่นั่งกกตัวอยู่บนต้นไม้ เด็กน้อยผู้นั้นแบ่งไข่นกให้เท่าๆ กันเพื่อยื้อชีวิตที่แสนทรมานตลอดสามวันสามคืน เพราะอายุยังน้อยทำให้ต้องหิวตายไปในที่สุด ส่วนนางถูกอาจารย์ช่วยกลับมาด้วยเฮือกสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ จากนั้นเป็นต้นมาจึงได้รู้จักกับโลกที่ไม่เหมือนเดิม  

 

 

นางถึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้วบนโลกใบนี้ยังมีกลุ่มคนเช่นนี้อยู่ ไม่ต้องกินอะไร เพียงแค่กินสายลมและนอนในน้ำค้าง แน่นอนว่าไม่อดตาย  

 

 

แต่ประสบการณ์ในวัยเด็กกลับเป็นฝันร้ายฉากหนึ่ง โดยเฉพาะก่อนจะเข้าสู่ระดับสร้างรากฐาน มักจะฝันร้ายบ่อยครั้ง อาจารย์ของนางบอกว่า ระดับพลังวิญญาณของนางตื้นเขินและวิญญาณไม่เสถียร จำเป็นต้องตามหาหยกเสริมวิญญาณแก่นาง เช่นนี้ถึงดีขึ้น  

 

 

หลังจากขึ้นสู่ระดับก่อแก่นปราณหยกเสริมวิญญาณกลับแตกออกอย่างไม่คาดคิด เพราะระดับเซียนสูงขึ้นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นไม่จำเป็นต้องหามาใส่ใหม่อีก  

 

 

หรือว่า ร่างกายและสภาพจิตใจของตนเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นแล้ว  

 

 

นึกถึงซู่ฉิงเจินจวินที่กลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดก่อนตน นักพรตหย่าอี้รู้สึกไม่ยินยอมที่ต้องพึ่งพาสิ่งภายนอกตลอดเวลาอยู่บ้าง ก่อนจะทำใจให้สงบ แล้วเข้าสู่การบำเพ็ญเพียร  

 

 

เมื่อพลังของฟ้าดินและพลังวิญญาณมาบรรจบกัน ร่างกายที่เฉื่อยชาไปทั้งตัวค่อยๆ ซึมซับพลังเซียนทีละน้อย ปานชาดสีแดงเข้มรอยหนึ่งพลันปรากฏขึ้นอยู่ระหว่างคิ้วแวบหนึ่ง พริบตาเดียวก็จางหายไป  

 

 

ไม่นานนักการประลองแลกเปลี่ยนประสบการณ์ก็มาถึง  

 

 

ยอดเขาห้านิ้วเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาทำให้ครึกครื้นเป็นพิเศษ  

 

 

การประลองแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับการประลองก่อนหน้านี้แตกต่างกัน ไม่จำเป็นต้องจับฉลาก เพียงให้ผู้เข้าประลองชั้นสูงทั้งสิบท่านที่นั่งอยู่มองลงมา ใครอยากขึ้นเวทีสามารถบินขึ้นมาได้เลย จากนั้นก็เอ่ยชื่อผู้ที่อยากแลกเปลี่ยนฝีมือได้โดยทันที ไม่ต้องอิงตามกฎเกณฑ์เดิม ผู้ที่เริ่มเลือกผู้บำเพ็ญเพียรที่อยากประมือด้วยก่อนนั้น ฝ่ายตรงข้ามมักจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มีระดับขั้นการบำเพ็ญเพียรหรือไม่ก็มีสถานะสูงกว่าตน  

 

 

ไม่รอช้าก็มีนักพรตผู้หนึ่งขึ้นเวทีมา แล้วเลือกคู่ต่อสู้ที่อยากแลกเปลี่ยนฝีมือด้วย  

 

 

แม้จะมีแรงกระตุ้นไม่มาก แต่ผู้บำเพ็ญเพียรนับหมื่นที่อยู่ต่อหน้า ใครก็ไม่อยากตกเป็นเป้าหัวข้อสนทนาในการประลองที่ยังคงร้อนแรงอย่างยิ่ง  

 

 

มั่วชิงเฉินในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นปลาย เนื่องจากตามมารยาทย่อมต้องรอให้สิทธิ์แก่ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นสมบูรณ์เลือกก่อนเสมอ  

 

 

แต่นางกลับคิดไม่ถึง สนามแข่งแรกเพิ่งจบไป นักพรตหย่าอี้จากนิกายเหอฮวนก็บินขึ้นไปบนเวที หันมาคารวะนางจากที่ไกลๆ “นักพรตชิงเฉิง ข้าน้อยหย่าอี้ อยากแลกเปลี่ยนฝีมือกับท่านสักครา มิทราบว่าได้หรือไม่”  

 

 

ในขณะนั้นนิกายเหอฮวนที่อยู่อีกฝั่ง ส่งเสียให้กำลังใจดังออกมา เพราะทั้งหมดล้วนเป็นเสียงก้องกังวาลของหญิงสาว กลับได้ยินชัดเจนยิ่งขึ้น ทำให้กดเสียงจากผู้คนอีกกลุ่มหนึ่งลงไป   

 

 

มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว ในใจรู้สึกตื่นเต้น ก่อนลุกขึ้นเขย่งเท้าเล็กน้อยก่อนบินขึ้นไปบนเวทีอย่างนุ่มนวลราวกับเมฆเคลื่อนหิมะโปรย แล้วยิ้มตอบรับว่า “คำเชื้อเชิญของนักพรตหย่าอี้ มิกล้าปฏิเสธ เชิญ”  

 

 

“เชิญ นักพรตชิงเฉิงระวังด้วย” นักพรตหย่าอี้มองมั่วชิงเฉินด้วยแววตาล้ำลึก   

 

 

ความจริงแล้วนักพรตหย่าอี้รู้สึกชื่นชมสตรีผู้นี้อยู่บ้าง เพียงแต่นางได้รับปากคำร้องขอของลูกศิษย์อันเป็นที่รักไปแล้ว แน่นอนว่ามิอาจทำให้เด็กคนนั้นต้องผิดหวัง  

 

 

เพียงแต่เมื่อมองดูปราดหนึ่ง หัวใจของนักพรตหย่าอี้ก็เต้นเร่าอย่างดุเดือด เกิดอารมณ์ชิงชังชนิดหนึ่งที่มิอาจอธิบายออกมาได้  

 

 

อารมณ์ชนิดนี้พลุ่งพล่านอย่างรวดเร็ว นักพรตหย่าอี้ไม่รู้เหตุผล ใจที่ร้อนเช่นนี้ขว้างสมบัติวิเศษโจมตีใส่มั่วชิงเฉินโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ราวกับว่ามีเพียงการต่อสู้เท่านั้น ถึงสามารถข่มอารมณ์ที่มิอาจอธิบายลงไปได้   

 

 

สมบัติวิเศษที่นักพรตหย่าอี้ใช้คือพัดกลม ด้านหนึ่งมีตัวอักษร อีกด้านหนึ่งเป็นภาพวาดพระจันทร์ฉายบุปผาบาน  

 

 

ขณะนี้นางถือด้านที่มีรูปภาพหันไปทางมั่วชิงเฉิน ก่อนโบกพัดออกไปเบาๆ   

 

 

ทันใดนั้นสายลมเย็นพลันพัดโชยขึ้น บรรยากาศรอบตัวของมั่วชิงเฉินเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าอึมครึม ดวงดาวส่องสว่างเต็มทั่วท้องฟ้ารายล้อมพระจันทร์เสี้ยวที่ลอยอยู่ด้านบน เมื่อแสงจันทร์ตกกระทบ ดอกถานฮวา[2]ก็เริ่มสั่นไหวและเบ่งบานออกมาอย่างสวยงาม  

 

 

แดนมายาหรือ  

 

 

มั่วชิงเฉินตกใจเล็กน้อยก่อนหยิบธนูเขียนซ้อนเร้นวางนอนไว้ด้านหน้า  

 

 

ดอกไม้ที่ลอยอยู่บานออกทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ราวกับหิมะที่ลอยล่องอยู่บนผืนท้องฟ้าขนาดใหญ่ งดงามตระการตา  

 

 

มั่วชิงเฉินคิดได้เช่นนี้ก็รู้สึกเย็นวาบบนหลังมือ เงยหน้าขึ้นไปเห็นหิมะที่โปรยปรายลงมา ดอกไม้ที่ลอยอยู่บนนั้นเบ่งบานออกมาอย่างสวยงามนั้นไหนเลยจะมีเงาแม้เพียงสายหนึ่ง  

 

 

สีหน้าของมั่วชิงเฉินหนักแน่น  

 

 

นี่คือภาพลวงตาในอาณาเขตมายาหรือ  

 

 

ก่อนหน้านี้นางเคยเห็นการต่อสู้ของนักพรตหย่าอี้มาแล้ว แต่ไม่เคยเห็นนางใช้สมบัติวิเศษที่เกี่ยวพันกับแดนมายาเลย  

 

 

หรือว่า เตรียมมาเพื่อตนโดยเฉพาะ  

 

 

คิดถึงตรงนี้มุมปากโค้งขึ้น นักพรตหย่าอี้ นิกายเหอฮวน พวกเจ้าดูถูกข้ามั่วชิงเฉินผู้นี้แล้วจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดข้าต้องปล่อยให้พวกเจ้าผิดหวังด้วยเล่า  

 

 

พัดกลมที่อยู่ในมือของนักพรตหย่าอี้มีนามว่าพัดสงบใจ ผู้ที่ล่วงเข้าสู่แดนมายาขอแค่ใจนึกถึงสิ่งที่คิด แดนมายาก็จะเนรมิตทุกอย่างตามใจปรารถนา   

 

 

บัดนี้ผู้บำเพ็ญเพียรนับหมื่นที่อยู่ล่างสนามประลอง ต่างเบิกตามองมั่วชิงเฉินที่ยืนนิ่งทื่ออยู่ท่ามกลางเงาหิมะ ล้วนสงสัยว่านางจะทลายภาพมายานี้ได้อย่างไร  

 

 

ทว่ากลับเห็นนางหลับตาลง  

 

 

ผู้คนพลันแตกตื่นอย่างไม่ทันตั้งตัว เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่ขึ้น  

 

 

“เกิดอะไรขึ้น หรือว่านักพรตชิงเฉิงถูกแดนมายาครอบงำจนเสียสติไปแล้ว”  

 

 

“อย่าไร้สาระน่า คิดว่านักพรตชิงเฉิงเป็นเจ้าหรือถึงทำเรื่องปัญญาอ่อนเช่นนั้น แม้ว่าจะไม่ลงมือ ก็มิอาจหลับตาฆ่าคนได้อย่างนั้นหรือ”  

 

 

“เจ้านะสิปัญญาอ่อน เช่นนั้นเจ้าคิดว่า จู่ๆ นักพรตมั่วชิงเฉินหลับตาทำไมเล่า”  

 

 

“ข้าจะรู้ได้อย่างไร…”  

 

 

ผู้คนต่างถกเถียงกันจำนวนมาก ล้วนเดาไปต่างๆ นานา แท้จริงแล้วมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงอยู่จำนวนหนึ่งที่ไม่พูดอะไรสักคำ เพียงแต่เฝ้ามองอย่างเงียบๆ   

 

 

จนถึงตอนนี้ มั่วชิงเฉินที่หลับตาแน่น บัดนี้ได้เคลื่อนไหวแล้ว  

Related

Comment

Options

not work with dark mode
Reset