พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 504 สหายเก่ามาเยือน

หญิงสาวดวงตาทรงผลซิ่งแก้มแดงดั่งท้อ เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น ดูงามโดดเด่นอย่างมาก นางก็คือหลานสาวลูกพี่ลูกน้องของหรูอวี้เจินจวิน บุตรีคนเดียวของเจ้าสำนักลั่วสยา หร่วนหลิงซิ่ว   

 

 

เจ้าสำนักหร่วนมองไปยังดวงตาคู่งามของบุตรสาว ก็แอบทอดถอนใจกับตัวเอง  

 

 

ซิ่วเอ๋อร์เป็นรากวิญญาณคู่ชั้นยอดผู้มีความสามารถ ไม่ขาดซึ่งโอสถวิญญาณยาชั้นดีวัสดุเครื่องมือชั้นเลิศต่างๆ หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น การจะได้ชื่อเสียงอันงดงามในฐานะผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่ปราณอายุเพียงร้อยปีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก น่าเสียดายก็เพียงเมื่อได้พบเยี่ยเทียนหยวน ทั้งหัวใจก็เทให้กับเขา แต่ก็มิได้สมหวัง นานเข้าจึงเกิดเป็นนิวรณ์ ระดับการบำเพ็ญเพียรจึงหยุดนิ่งไม่ไปไหนเช่นนี้  

 

 

ยังโชคดีที่เมื่อก่อนเคยได้โอสถวิญญาณที่ช่วยเร่งระดับก่อแก่นปราณ บวกกับคำพูดปลอบที่ไม่ทำร้ายจิตใจในหลายปีมานี้ ในที่สุดก็สามารถสำเร็จแก่นทอง เขาไม่คาดหวังว่าบุตรสาวจะสามารถก้าวไปถึงการบรรลุระดับก่อกำเนิด ขอเพียงนางมีความสงบสุขชั่วชีวิต ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็พอ  

 

 

“ท่านพ่อ ท่านว่าเช่นใด” หร่วนหลิงซิ่วขมวดคิ้วคู่งาม รั้งดึงแขนเสื้อเจ้าสำนักหร่วน  

 

 

เจ้าสำนักหร่วนเก็บความคิดในใจเอาไว้ แล้วส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้อย่างจนปัญญา “ซิ่วเอ๋อร์ เด็กโง่ พวกเราได้รับเทียบเชิญแล้ว ยังมีอะไรที่จะไม่จริงอีกหรือ”  

 

 

หร่วนหลิงซิ่วขบริมฝีปากแน่น ไม่พูดตอบ   

 

 

เจ้าสำนักหร่วนขับเคลื่อนเรือใหญ่อันหรูหราบินไป พลางพูดกล่อมนางด้วยคำพูดอันหนักแน่นและหวังดี “ซิ่วเอ๋อร์ มนุษย์เรามีทุกข์แปดอย่าง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ประสบสิ่งอันไม่เป็นรัก พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ขันธ์ห้า ความผิดหวัง พวกเราบำเพ็ญเพียร ฝึกบำเพ็ญทั้งกายใจ การฝึกกายเพื่อให้เราหลุดพ้นจากความชราและเจ็บปวด หลุดพ้นจากการเกิดและตาย ส่วนการฝึกใจ เพื่อระงับกิเลสทั้งสี่อันได้แก่ทุกข์ด้วยประสบสิ่งอันไม่เป็นรัก ทุกข์ด้วยพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทุกข์ด้วยขันธ์ห้า ทุกข์ด้วยความผิดหวัง จนถึงตอนนี้ เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ”  

 

 

ดวงตาทรงผลซิ่งของหร่วนหลิงซิ่วเบิกโต ราวกับมีประกายน้ำปรากฏอยู่ “ท่านพ่อ เรื่องเหล่านี้ข้าเข้าใจดี แต่เข้าใจก็เรื่องหนึ่ง จะทำได้หรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่งนะเจ้าคะ”   

 

 

หร่วนหลิงซิ่วริมฝีปาก แววตาค่อยๆ หนักแน่น “ท่านพ่อ ท่านยังจำตอนข้าค้างอยู่ในระดับสร้างรากฐานขั้นสมบูรณ์ได้หรือไม่ ท่านกล่อมข้าด้วยคำพูดเช่นนี้ ท่านว่าหากข้ามัวแต่ยึดติด ความคิดไม่ยอมเกิดปัญญา ทั้งชีวิตค้างอยู่ที่ระดับสร้างรากฐาน เช่นนั้นกับเขาแล้วก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ท่านพ่อ ข้าไม่อาจปล่อยวางได้ เพราะจิตมารก่อแก่นปราณของข้าคือเขา ข้าก่อปราณขึ้นได้ แต่แรกก็ไม่ใช่เพื่อปล่อยวาง แต่เพื่อแสวงหาความเป็นไปได้อันน้อยนิดที่จะอยู่ด้วยกันกันเขา ตอนนี้ท่านจะให้ข้าสละสิ่งเหล่านี้ทิ้ง เช่นนั้นการบำเพ็ญเพียรของข้าก็ไร้ซึ่งเป้าหมาย และข้าก็จะไม่ใช่หร่วนหลิงซิ่วอีกต่อไป!”  

 

 

เห็นสีหน้าอันหนักแน่นของบุตรสาว เจ้าสำนักหร่วนถึงกับฉงน   

 

 

หนทางนับพันหมื่น ใจคนล้วนนานาจิตตัง เรื่องราวเหล่านี้จะอธิบายให้แจ้งได้เช่นไร  

 

 

มองไปยังเทือกเขาฟางจูที่อยู่ไกลออก หร่วนหลิงซิ่วสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที แล้วจ้องเขม็งไปยังเจ้าสำนักหร่วน “ท่านพ่อ ดังนั้นลูกจึงอยากขอร้องท่าน ขอให้ท่านช่วยข้าด้วย”  

 

 

เจ้าสำนักหร่วนนิ่งอึ้ง แล้วจึงค่อยๆ ถามกลับว่า “ช่วยอย่างไรหรือ ซิ่วเอ๋อร์ เจ้าคงไม่คิดจะก่อกวนงานมงคลหรอกนะ อย่าลืมว่าเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้ว ไม่ได้อาศัยชาติกำเนิดอีกต่อไป คำพูดเหมือนเด็กไม่รู้ประสาควรเก็บมันเอาไว้ เรื่องนี้ พ่อไม่สามารถรับปากเจ้าได้เด็ดขาด!”   

 

 

บุตรสาวระดับสร้างรากฐานหากจะงอแง ก็พอจะพูดได้ว่าเอาแต่ใจตามประสาเด็กไม่กระเทือนถึงภาพลักษณ์ แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณจะมาทำเลอะเทอะเช่นนี้ หนำซ้ำผู้ซึ่งแต่งงานยังเป็นถึงเจินจวินระดับก่อกำเนิด เช่นนั้นย่อมทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสองพรรคอย่างแน่นอน  

 

 

หร่วนหลิงซิ่วแอบยิ้ม “ท่านพ่อ ท่านคิดไปถึงไหนแล้ว ข้าไม่ได้ไม่รู้ความเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ตั้งแต่ท่านน้าตายไป ข้าก็ครุ่นคิดอยู่บ่อยๆ ผู้บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเราบำเพ็ญเพียรอยู่ทุกวี่วัน ปะทะกับฟ้าดินและมนุษย์ บอกไม่ได้ว่าจะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านวันใด แม้แต่โอกาสจะกลับชาติมาเกิดใหม่ก็ไม่มี ทั้งหมดนี้เพื่ออะไรกัน ในเมื่อเช่นนี้ ไม่สู้อาศัยเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ทำตามใจประสงค์ ใช้ชีวิตให้สุขสมดีกว่า”  

 

 

เจ้าสำนักหร่วนถอนหายใจยาว หมดอารมณ์จะพูดต่อ   

 

 

ครั้งหรูอวี้เจินจวินทำลายตันเถียนของตน อาศัยจุดจบด้วยการมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านของตนเพื่อช่วยเหลือผู้บำเพ็ญเพียรนับพันหมื่น นางในวินาทีสุดท้าย ย่อมไม่คิดว่าทุกสิ่งนั้นคืออะไรอย่างแน่นอน เพียงแต่เสียดายจิตใจของนาง ไม่ใช่สิ่งที่บุตรสาวซึ่งอยู่ต่อหน้าเขาจะสามารถเข้าใจได้   

 

 

มิใช่ว่าเขาไม่ยินดีจะสั่งสอนบุตรสาว เพียงแต่เด็กคนนี้ แม้ว่าจะเป็นรากวิญญาณชั้นยอด แต่กลับขาดซึ่งสติปัญญา   

 

 

ยังดีที่ตอนนี้ดีกว่าเมื่อก่อนขึ้นมากแล้ว อนาคตยังอีกยาวไกล คงจะมีสักวันที่มอบพุทธิปัญญาให้กับนาง  

 

 

“ท่านพ่อ ท่านจะช่วยข้าหรือไม่” หร่วนหลิงซิ่วเร่งเร้า  

 

 

เจ้าสำนักหร่วนหัวเราะ “เจ้าจะให้พ่อช่วยเรื่องอะไรหรือ”  

 

 

แก้มของหร่วนหลิงซิ่วแดงขึ้นวาบหนึ่ง แล้วแล้วพูดน้ำเสียงอู้อี้ “ท่านช่วยไปพูดกับประมุขอาวุโสพรรคกวงเหยาว่าซิ่วเอ๋อร์ยินดีที่จะออกเรือนพร้อมด้วย…”  

 

 

เจ้าสำนักหร่วนสีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน “เหลวไหล บุตรีของจิ้งเหยียนเจินจวินอย่างข้า จะเป็นอนุของคนอื่นได้เช่นไร! ซิ่วเอ๋อร์ เรื่องนี้อย่าได้เอ่ยถึงอีกเป็นอันขาด มิเช่นนั้น ก็อย่าหาว่าพ่อไร้เมตตา ไม่นับเจ้าเป็นบุตรสาวอีกต่อไป!”   

 

 

หร่วนหลิงซิ่วหน้าซีดเผือด นางอ้าปากหมายจะพูด สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว น้ำตาพรั่งพรูลงมา   

 

 

ในห้องแห่งหนึ่งของเรือใหญ่อันหรูหรา หญิงสาวในเสื้อสีแดงคู่หนึ่งเลิกคิ้วสูง ยิ้มเยาะแล้วพูดออกมา “มั่วเฟยเยียน สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น นี่ก็คือสำนักลั่วสยาจากบรรดาสำนักพรรคต่างๆ เป็นถึงบุตรสาวเจ้าสำนัก กลับไปเสนอตัวเป็นอนุ ไร้ยางอายสิ้นดี!”  

 

 

หญิงสาวในชุดสีขาวนั่งนิ่งสีหน้าเยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง ดวงตาราวกับปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็ง พูดออกมาอย่างเย็นชา “มั่วหร่านอี ตอนนี้เจ้าอยู่บนเรือของเจ้าสำนักลั่วสยา เก็บอาการบ้างหน่อยดีกว่านะ”  

 

 

ดวงตามั่วหร่านอีโชติช่วงดั่งเปลวไฟ “มั่วเฟยเยียน มีเจ้ากำลังหัวเราะเยาะว่าข้าเป็นสุนัขไร้เจ้าของหรือ”  

 

 

“ก็แล้วแต่เจ้าจะคิด” มั่วเฟยเยียนชำเลืองขึ้น  

 

 

มั่วหร่านอีสะบัดแขนเสื้อ ลุกขึ้นยืนหมายจะเดินออกไปด้านนอก เดินไปถึงประตูก็หันกลับเข้ามาอีกครั้งด้วยความโกรธ ทิ้งตัวลงนั่งแล้วพูดว่า “มั่วเฟยเยียน ถ้าไม่ใช่เพราะว่าอยากดูเจ้าสิบหก แต่งงานจะเป็นอย่างไร เจ้าคิดว่าข้าจะตามเจ้ามาหรือ”  

 

 

มั่วเฟยเยียนสีหน้าสงบนิ่ง มองออกไปนอกหน้าต่างตามสบาย “ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น แต่เจ้าสิบหกแต่งงาน ข้าเองก็รอคอยมานานมาก”  

 

 

“เอ๋” ดวงตาหงส์ของมั่วหร่านอีเลิกขึ้นเล็กน้อย  

 

 

มั่วเฟยเยียนยังคงสีหน้าเยือกเย็นเช่นเดิม แต่น้ำเสียงกลับฟังดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย “ตระกูลมั่วสูญสลายด้วยงานมงคลในครั้งหนึ่ง หวังว่างานมงคลครั้งนี้ จะเป็นการเกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง”  

 

 

“ฮึ” มั่วหร่านอีแค่นเสียงเยาะ แต่ก็ไม่อาจโต้ตอบกลับ  

 

 

ครู่หนึ่ง มั่วเฟยเยียนก็หันกลับ ดวงตาอันเย็นใสนั้นมองไปยังมั่วหร่านอี “อย่างไรก็คาดหวังจากเจ้าไม่ได้อยู่แล้ว”  

 

 

มั่วหร่านอีหน้าเขียวปัด มองไปยังมั่วเฟยเยียนด้วยสายตากราดเกรี้ยว  

 

 

นางมองไม่ออกจริงๆ ตอนเด็กนางเข้าใจมาตลอดว่าพี่เก้าคนนี้นิสัยโดดเดี่ยวทระนง ยโสองอาจ ตอนนี้พบว่านางไม่เพียงแต่โดดเดี่ยวทระนง แต่ยังปากคอเราะรายอีกด้วย!   

 

 

“ใช่ ข้าหนีงานแต่งแล้วเป็นอะไรเล่า ต่อให้ทำให้ท่านแม่บุญธรรมเคืองใจ จนไม่อาจอยู่บนวิถีมาร ข้าก็ยินยอม!”  

 

 

มั่วเฟยเยียนรู้สึกใคร่รู้ขึ้นบ้านอย่างยากที่จะได้พบ “สหายหลัวผู้นั้น ข้าเคยพบ ข้าไม่เห็นว่าเขาไม่คู่ควรกับเจ้าตรงไหน”  

 

 

มั่วหรานยีแววตารังเกียจ พูดด้วยน้ำเสียงชิงชัง “ใช่ๆ พวกเราทุกคนล้วนแต่คิดว่าเขาช่างดีแสนดี ซ้ำยังคิดว่าข้าได้ไต่เต้าสูง แต่แล้วนี่อย่างไรเล่า หรือเพียงเพราะทุกคนคิดว่าดี แล้วข้าก็จะต้องออกเรือนกับเขาหรือ ข้าคิดว่าเขาไม่ดี หมายความว่ามีตาแต่ไม่มีแววหรือ น่าขันสิ้นดี ต่อให้เขาดีกว่านี้แล้วอย่างไร อย่างไรข้าก็ไม่ชอบ ข้ามั่วหรานอีไม่ชอบ ต่อให้คนอื่นจะคิดว่าเขาดีแสนดีเพียงใด ข้าก็ไม่คิดว่าดีด้วยหรอก!”   

 

 

มั่วเฟยเยียนโค้งมุมปากยิ้ม “อย่าตื่นเต้นไปสิ ถ้าแค่พูดว่าเขาคู่ควรกับเจ้า แต่เจ้าจะชอบหรือไม่ชอบนั้น นั่นเป็นเรื่องของเจ้า”  

 

 

สองสาวพี่น้องไม่ได้คุยกันต่อ ต่างหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ก็เห็นว่าไม่ไกลจากที่นั่นมีผู้บำเพ็ญเพียรสามคนบินเข้ามา เมื่อเห็นหน้าตาชัดเจนก็ถอดสีหน้า  

Related

Comment

Options

not work with dark mode
Reset