พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 163 คำสาปของอีกา

“พี่สี่ นี่เจ้าหมายความว่าเช่นไร?” บินอยู่บนทะเลติดต่อกันสามสี่ชั่วยามแล้ว คุณชายสี่สองคนตามติดอยู่ข้างหลังอย่างไม่รีบร้อน ในที่สุดคุณชายหกก็ทนไม่ไหวถามว่า

 

 

คุณชายสี่หน้าตาใจกว้าง “น้องหก จุดหมายปลายทางของเราล้วนเป็นสถานที่เดียวกัน เดินเส้นทางเดียวกันมีปัญหาอะไรเช่นนั้นหรือ? หรือว่าทะเลนี่เป็นของเจ้าผู้เดียวเช่นนั้นหรือ?”

 

 

คุณชายหกชะงัก ในใจแอบโมโหคนเดียว

 

 

“ข้าว่าพี่หก หรือว่าเจ้ารังเกียจที่เราสองคนรบกวนโลกส่วนตัวสองคนของพวกเจ้า?” คุณชายสิบเจ็ดสายตาล่อกแล่ก พิจารณาพวกมั่วชิงเฉินสองคนไปมา

 

 

คุณชายหกหน้าบึ้งว่า “น้องสิบเจ็ด เจ้าอย่าพูดจาสกปรก มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”

 

 

“ฟู่” คุณชายสิบเจ็ดหัวเราะฟู่เสียงหนึ่ง ไม่ต่อปากต่อคำอีก

 

 

“คุณชายหก เจ้าคิดจะสลัดสองคนนี้ออกจริงหรือ?” มั่วชิงเฉินนั่งว่างอยู่บนเรือบิน แอบส่งเสียงทางจิตว่า

 

 

คุณชายหกตอบว่า “แน่นอน หวังสี่อาศัยที่ตบะสูงกว่าเราสองคน เห็นชัดว่าคิดจะเอาเปรียบเมื่อถึงเวลา”

 

 

“ทว่าระหว่างทางมีพวกเขาอยู่ พบเจออันตรายก็จะสบายขึ้นไม่น้อยมิใช่หรือ?” มั่วชิงเฉินส่งเสียงทางจิตอีก

 

 

คุณชายหกชะงักทีหนึ่งถึงตอบว่า “นี่ก็ใช่ อย่างไรเสียเราต่างมาเพื่อน้ำตาของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณ ก่อนจะถึงตอนนั้น ไม่ว่าจะจริงใจหรือไม่ต่างก็ต้องร่วมมือกันเต็มที่”

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะ “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้พวกเขาตามก็แล้วกัน ถึงสุดท้ายใครได้เปรียบยังไม่แน่เลย”

 

 

คุณชายหกร้อนรนว่า “แม่นางมั่ว หวังสี่อยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง หวังสิบเจ็ดแม้จะอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะต้น ทว่าฝีมืออยู่ในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานหลายสิบคนในตระกูลหวังก็นับว่ากลางค่อนไปทางสูงนะ”

 

 

“คุณชายหก หรือว่าเจ้าสู้หวังสิบเจ็ดไม่ได้?” มั่วชิงเฉินถาม

 

 

คุณชายหกสีหน้าเย็นชาลง “ข้าน้อยแม้ด้อยฝีมือ จัดการหวังสิบเจ็ดยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่อย่างใด”

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะ นางรู้อยู่แล้วว่า คุณชายหกที่เตรียมตัวไปทะเลเลื่อนไหลโดยลำพังต้องไม่ใช่กระจอกอย่างแน่นอน จึงตอบว่า “เช่นนั้นก็ดี หากพวกเขาคิดไม่ซื่อ พี่สี่ของเจ้าผู้นั้นมอบให้ข้าก็แล้วกัน”

 

 

คำพูดของมั่วชิงเฉินเต็มไปด้วยความมั่นใจ ทำให้คุณชายหกอึ้งไปทีหนึ่ง แล้วส่งเสียงทางจิตอย่างลังเลว่า “แม่นางมั่วเอ่ยเช่นนี้ หรือว่ามีอะไร…”

 

 

มั่วชิงเฉินเอ่ยตรงๆ ว่า “อสูรวิญญาณของข้าประท้วงว่าอยู่ในถุงอสูรวิญญาณนานแล้ว อยากออกมารับลมสักหน่อย”

 

 

ในความเป็นจริงคืออีกาไฟขลุกอยู่ในถุงอสูรวิญญาณเฝ้าศพของอสูรแปดขากินอย่างบ้าคลั่ง ไม่เกินหนึ่งวันก็กินจนหมดเกลี้ยง ทำให้มั่วชิงเฉินที่นานๆ ทีก็ใช้จิตตระหนักสนใจสักทีตกใจแทบกระโดด อีกานั่นกินเสร็จก็นอนหลับขึ้นมา จนกระทั่งเมื่อครู่ถึงตื่นมา ไม่รู้เพราะเหตุใดโวยวายจะเป็นจะตายจะออกมาให้ได้

 

 

อย่างไรเสียบัดนี้อีกาไฟก็เป็นอสูรปีศาจชั้นสอง พลังเทียบได้กับคนระดับสร้างรากฐานระยะต้น เดิมทีนางคิดจะใช้มันเป็นแผนสำรอง หากมีสิ่งใดไม่คาดคิดยังสามารถมีประโยชน์ในการใช้เป็นไพ่ตายเอาชนะได้ ทว่าบัดนี้ดูแล้ว ขืนนางไม่รับปากอีก อีกาไฟจะต้องใช้แผนร้องไห้โวยวายฆ่าตัวตายแล้ว

 

 

“ไม่นึกเลยว่าแม่นางมั่วยังเลี้ยงอสูรวิญญาณไว้ด้วย?” คุณชายหกเอ่ยอย่างตกตะลึง

 

 

ในตระกูลหวังของพวกเขาคนที่เลี้ยงอสูรวิญญาณที่พอจะออกหน้าออกตาได้ก็มีเพียงท่านปรมาจารย์ระดับก่อแก่นปราณสองท่านเท่านั้น ต่อให้พี่สี่ที่มีหน้ามีตาคนนี้ก็ไม่มีพลังกายใจและกำลังทรัพย์ที่จะเลี้ยงอสูรวิญญาณได้

 

 

สาเหตุไม่ใช่อื่นใด อายุขัยของอสูรวิญญาณยาวกว่ามนุษย์มากนัก การเลื่อนชั้นก็ช้ามากเช่นกัน หากคิดจะใช้ประโยชน์จากอสูรวิญญาณ เช่นนั้นระดับชั้นของอสูรวิญญาณอย่างน้อยที่สุดก็ไม่อาจต่ำกว่าเจ้านายมากเกินไป มิเช่นนั้นก็ไม่ใช่แรงสนับสนุนแล้วหากแต่จะเป็นภาระ ทว่าอสูรวิญญาณเลื่อนชั้นกลับต้องการกินโอสถจำนวนมาก ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่หินวิญญาณยังไม่พอให้ตัวเองจับจ่ายใช้สอยเลย จะยอมเอาไปซื้อโอสถให้อสูรวิญญาณกินได้อย่างไร

 

 

และถ้าไม่ให้อสูรวิญญาณกินโอสถ เพียงปล่อยให้มันเติบโตเองตามธรรมชาติล่ะก็ เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรคนนี้ถึงตายก็ไม่ได้เห็นอสูรวิญญาณเลื่อนชั้น การเลี้ยงอสูรวิญญาณจึงไร้ความหมาย

 

 

ยกเว้นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงบางคนจะเลี้ยงอสูรวิญญาณที่รูปลักษณ์ภายนอกน่ารัก นั่นจึงไม่ได้เลี้ยงเพื่อเป็นสหายในการรบ หากแต่เลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงเพื่อความสนุกเท่านั้น

 

 

ดังนั้น เมื่อคุณชายหกได้ยินว่ามั่วชิงเฉินมีอสูรวิญญาณถึงได้ตกใจเช่นนี้ ต่อให้รู้สึกว่ามั่วชิงเฉินไม่ใช่คนประเภทนี้ กลับยังอดเดาไม่ได้ว่าที่นางเลี้ยงคงไม่ใช่กระต่ายน้อยสีขาวหรอกนะ

 

 

มีหมู่เกาะหนึ่งในทะเลขนาบใจมีหญ้าเขียวชอุ่มตลอดปี นิยมเพาะกระต่ายหิมะชนิดหนึ่ง กระต่ายหิมะชนิดนี้อ่อนโยนน่ารัก ตาเหมือนแก้วสีแดง ทั่วร่างสะอาดดุจหิมะ เป็นที่ชื่นชอบของเด็กเล็กและหญิงสาวบางคนนัก โดยเฉพาะขนของมันอบอุ่นสบายตัว อุ้มไว้ในมือก็เหมือนกอดเตาอุ่นมือไว้ หากเย็บขนกระต่ายไว้บนเสื้อผ้า ยิ่งกันความหนาวได้ผลดีนัก เป็นที่นิยมในหมู่หญิงสาวฐานะร่ำรวยยิ่งนัก

 

 

ต่อให้ที่ทวีปเทียนหยวน ว่ากันโดยปกติแล้วผู้บำเพ็ญเพียรก็ไม่ค่อยจะเลี้ยงอสูรวิญญาณประเภทใช้สู้รบกัน ทว่ามั่วชิงเฉินไม่เพียงแต่จับพลัดจับผลูได้อีกาไฟมา ยังได้ของดีตกจากฟ้าได้ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตอีก แม้จะบอกว่าตัวข้างหน้าเป็นพวกเอะอะมะเทิ่ง ตัวข้างหลังเป็นพวกทำไร่ทำสวนไม่สู้กับใคร ก็ยังนับว่าหายากในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานแล้ว

 

 

นี่ก็เป็นสาเหตุที่อีกาไฟแม้ปากชอบเอาเปรียบในใจกลับยอมรับมั่วชิงเฉิน มันที่เปิดปัญญาวิญญาณนานแล้วไม่โง่หรอกนะ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณไม่เห็นอีกาไฟที่พรสวรรค์ไม่สูงในสายตา ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานก็เลี้ยงไม่ไหว ให้เปล่าๆ ก็ไม่เอา มันไม่เกาะมั่วชิงเฉินไว้จะไปเกาะใคร แน่นอนคำพูดพวกนี้มันไม่เคยพูดออกจากปากอยู่แล้ว มีเพียงยามที่มั่วชิงเฉินเถียงกับมันเท่านั้น มันถึงจะบ่นอยู่ในใจว่า ‘หลอกกินเจ้าเปล่าๆ ให้ล่มจมไปเลย!’

 

 

ส่วนผึ้งวิญญาณเลือดมรกต มันที่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวก็รู้สึกได้ว่าตั้งแต่ตามมั่วชิงเฉินแล้วได้กินของดีบ่อยๆ ร่างกายนับวันยิ่งสบายขึ้นมา ย่อมสนิทสนมกับเจ้านายใหม่ผู้นี้ขึ้นทุกวันเป็นธรรมดา

 

 

เห็นคุณชายหกตกตะลึง มั่วชิงเฉินส่งเสียงทางจิตว่า “ด้วยโอกาสวาสนานำพาเลี้ยงไว้ตัวหนึ่ง ทว่าเพิ่งเลื่อนชั้นถึงชั้นสอง”

 

 

คุณชายหกได้ยินแล้วตกใจใหญ่ อสูรวิญญาณชั้นสอง นั่นเทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะต้นแล้ว มิน่าแม่นางมั่วผู้นี้ถึงมั่นใจเช่นนี้ ด้วยฝีมือนางบวกกับอสูรวิญญาณชั้นสอง ไม่แน่อาจมีความสามารถสู้หวังสี่ได้จริงๆ ก็ได้

 

 

คิดถึงตรงนี้ก็แอบคิดว่าตนโชคดีอีก โชคดีที่ตนไม่มีความคิดไม่ถูกไม่ควรแต่อย่างใด มิเช่นนั้นจุดจบไม่ต้องถามก็รู้แล้ว

 

 

อีกาไฟโวยวายอยู่ในถุงอสูรวิญญาณอย่างรุนแรง เหมือนกินยากระตุ้นประสาทก็ไม่ปาน มั่วชิงเฉินสื่อสารกับมันอยู่ในสมองไม่ได้ผล จึงปล่อยมันออกมาโดยตรง คิดอีกทีเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ให้สองคนนั้นมีความยำเกรงบ้าง จะได้คิดมิดีมิร้ายให้น้อยลง

 

 

เมื่ออีกาไฟถูกปล่อยออกมา ก็บินไปบนฟ้าทันที พ่นไฟออกมากลุ่มหนึ่ง ห่อหุ้มร่างกายมันไว้ภายใน

 

 

ที่เหลืออีกสามคนตกใจแทบกระโดด ระหว่างที่ตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่างนั้นเห็นเพียงเปลวไฟที่ลุกไหม้อยู่กลางอากาศเหมือนก้อนเมฆสีแดงก้อนหนึ่ง ข้างในมีเงาของนกปีกยาวหางยาวกำลังทำท่ากางปีกหวังจะบิน กระทั่งสามารถได้ยินเสียงนกร้องไพเราะดังก้องมา

 

 

แม้คุณชายหกจะตกใจ กลับเพราะเตรียมใจว่าแล้วจึงใจเย็นลงมา พวกคุณชายสี่สองคนที่นั่งอยู่บนเรือใบอีกลำหนึ่งกลับหน้าถอดสี รีบล้วงอาวุธเวทโจมตีออกมาทันที

 

 

มั่วชิงเฉินก็ไม่คิดว่าวันนี้อีกาไฟจะออกมาอย่างสง่าเช่นนี้ กลับหน้าไม่เปลี่ยนสีว่า “ทั้งสองท่านอย่าลงมือ นี่เป็นอสูรวิญญาณของข้า”

 

 

“อะไรนะ?” พวกคุณชายสี่สองคนตกใจร้องพร้อมกัน ในสายตาที่ประสานกันเผยให้เห็นความไม่อยากเชื่อและความหวาดกลัว

 

 

ผ่านไปชั่วครู่ ในที่สุดเมฆไฟก้อนนั้นก็ดับไป อีกาไฟในนั้นปรากฏตัวออกมา ร้องแว้ดๆ สองเสียงอย่างพอใจ แล้วบินไปเกาะบนไหล่มั่วชิงเฉิน

 

 

นี่…

 

 

ต่อให้ในยามปกติผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานมีอสูรวิญญาณชั้นสองตัวหนึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก ทว่าตอนที่อสูรวิญญาณเพิ่งออกมานั้นอานุภาพเกรียงไกรถึงเพียงนั้น สภาพเช่นนั้นกระทั่งทำให้คนอดนึกไปถึงวิหคอาบเพลิงอย่างไม่รู้ตัว ทว่าใครจะรู้ว่าสุดท้ายปรากฏร่างออกมา ไม่คิดเลยว่าจะเป็นอีกาดำปี๋ตัวหนึ่ง ในสายตาคุณชายตระกูลหวังทั้งสามคน ต่างเกิดความรู้สึกเหมือนกันอย่างหาได้ยากว่าไร้สาระ

 

 

“แม่นางมั่ว อสูรวิญญาณของเจ้า เป็น…เป็นอีกาตัวหนึ่ง?” คุณชายสี่ที่แสดงออกอย่างสง่างามไม่ธรรมดาเสมอมาเอ่ยด้วยสีหน้าประหลาด

 

 

คุณชายสิบเจ็ดยิ่งเบิกตากว้าง อดขำไม่ได้ว่า “อีกา นี่ก็ช่าง…”

 

 

พูดได้ครึ่งเดียวกลับต้องหยุดลงทั้งอย่างนั้น

 

 

เพียงเพราะพวกเขาเห็นกับตาว่าอีกาไฟที่ร่อนลงบนไหล่มั่วชิงเฉินเต้นแร้งเต้นกาด่าว่า “อีกาแล้วเป็นเช่นไร ฮึ พวกเจ้าไม่เห็นข้าในสายตา ข้าต่างหากที่ไม่เห็นพวกเจ้าในสายตาน่ะ!”

 

 

ทั้งสามคนกลายเป็นหินทันที

 

 

อีกาไฟกลับยังร้องด่าไม่หยุด คำพูดยาวเป็นพรวนฟังจนมั่วชิงเฉินก็รู้สึกอักอ่วนขึ้นมา คิดอย่างละอายใจว่าคนอื่นคงไม่คิดว่านางเป็นคนสอนหรอกนะ? จึงรีบส่งเสียงทางจิตว่า “เจ้าจะรักษาภาพพจน์กุลสตรีสักหน่อยไม่ได้หรือ?”

 

 

ไม่รู้เพราะเหตุใดคำพูดนี้อีกาไฟฟังเข้าไปแล้ว จึงหยุดด่าทันที เก็บปีกขึ้นก้มหน้าลงครึ่งหนึ่ง ทำท่าเหมือนสะใภ้ตัวน้อย

 

 

ผ่านไปครึ่งค่อนวัน ทั้งสามคนถึงมีสติขึ้นมาจากสภาพแข็งเป็นหิน

 

 

คุณชายสิบเจ็ดยังคงไม่เชื่อว่า “อีกาไม่คิดว่า ไม่คิดว่าจะพูดได้?”

 

 

คุณชายสี่ที่อยู่ข้างๆครั้งนี้ไม่ได้เปิดปาก สิ่งที่เขาคิดกลับคือไม่นึกเลยว่าจะเป็นอสูรวิญญาณชั้นสองที่พูดได้? หรือว่ามันไม่ใช่อสูรวิญญาณชั้นสองธรรมดา? เช่นนี้แล้ว เกรงว่าแผนที่ตนวางไว้แต่แรกต้องเปลี่ยนแผนสักหน่อยแล้ว

 

 

ก่อนหน้านี้เคยพูดแล้วว่าอสูรปีศาจต้องถึงชั้นห้าถึงเปิดปัญญาวิญญาณได้ ส่วนอีกาไฟเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาชนิดหนึ่ง ถึงชั้นสองก็สามารถพูดภาษาคนได้แล้ว เพียงแต่ทะเลขนาบใจอยู่ในที่ห่างไกลผู้คน ไม่ค่อยได้สื่อสารกับโลกภายนอก ดังนั้นจึงไม่รู้จักชนิดของอีกานี้ ได้ยินว่ามันพูดได้ ทั้งสามคนล้วนตั้งตัวไม่ค่อยติดอยู่บ้าง

 

 

อีกาไฟตั้งแต่หลังจากเลื่อนชั้นก็กินศพของอสูรแปดขาอสูรปีศาจชั้นสามเข้าไปอีก ไม่รู้เพราะเหตุใดนับวันอารมณ์ยิ่งขี้หงุดหงิดขึ้น ได้ยินคำพูดของพวกเขาแล้วขยับจะงอยปากทีหนึ่งก็จะโต้กลับ

 

 

“ภาพพจน์กุลสตรี ภาพพจน์!” มั่วชิงเฉินรีบส่งเสียงทางจิตบอก

 

 

อีกาไฟทนแล้วทนอีก นี่ถึงได้หลุบตาลงครึ่งหนึ่ง พูดอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “อีกาก็พูดได้เช่นกัน ก็เหมือนพวกเจ้าที่บินได้เช่นกัน”

 

 

คำพูดนี้แม้พูดอย่างสงบ ผสมกับเสียงของมันแบบนั้น บวกท่าทางทำตาเหลือกครึ่งหนึ่ง จึงทำให้คนรู้สึกว่าอีกาตัวนี้ปฏิบัติกับทุกคนเหมือนเป็นคนปัญญาอ่อนทันที นี่ถึงได้อธิบายอย่างเสียงอ่อนเสียงหวานเช่นนี้

 

 

“พี่สี่…” คุณชายสิบเจ็ดส่งเสียงทางจิต

 

 

“เป็นอันใดหรือ น้องสิบเจ็ด?” คุณชายสี่ขมวดคิ้วว่า เขายังรู้สึกกลัดกลุ้มเพราะสิ่งที่ไม่คาดคิดนี้อยู่

 

 

คุณชายสิบเจ็ดโมโหว่า “ไม่รู้เพราะเหตุใด อีกาตัวนี้เทียบกับยามที่มันเพิ่งด่าคนเมื่อครู่แล้วยังน่ากระทืบกว่าอีก!”

 

 

คุณชายสี่เหลือบมองอีกาไฟปราดหนึ่ง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “ข้าก็รู้สึกเช่นนั้น”

 

 

การปรากฏตัวของอีกาไฟสร้างความสมดุลภายนอกให้ทั้งสองฝ่าย ท่าทีที่คุณชายสี่มีต่อพวกมั่วชิงเฉินสองคนก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกได้อย่างเฉียบแหลมวา ท่าทีที่เขามีต่อคุณชายหกดีขึ้นมาแล้ว การพูดการจาแฝงไว้ด้วยความสนิทสนมจะดึงเข้าเป็นพวก

 

 

ทุกคนบินอีกหลายชั่วยาม ก็พบตรงกลางผิวน้ำปรากฏน้ำวนขึ้นอันหนึ่ง จึงรีบบินเรือบินให้สูงขึ้นสักหน่อย แล้วก้มมองน้ำวนที่ปรากฏออกมานี้จากด้านบน

 

 

น้ำวนเป็นสีน้ำเงินเข้ม ราวกับเป็นถ้ำที่ทะลุสู่โลกที่ไม่รู้จักก็ไม่ปาน แต่กลับมีแสงวิญญาณเป็นสายๆ แผ่ออกด้านนอก

 

 

“ถึงแล้ว!” คุณชายหกสีหน้าปีติ

 

 

คุณชายสิบเจ็ดมองดูน้ำวนอย่างระแวงว่า “นี่จะเข้าไปได้อย่างไร?”

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าร่วมการทดสอบค้นหากระสายยา ไม่เหมือนคุณชายสี่เมื่อยามอยู่สุดยอดระดับสร้างรากฐานระยะต้นเคยมาครั้งนี้ ก็เพราะครั้งนั้นเขาได้น้ำตาของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณแลกเป็นโอสถลับในตระกูล ถึงได้ทีเดียวทะลวงถึงระยะกลาง และก็ไม่เหมือนดังคุณชายหกที่แม้เมื่อสิบปีก่อนจะล้มเหลวมาก่อน ทว่าอย่างไรเสียก็มีประสบการณ์ในการรับมือบ้างแล้ว

 

 

ทันใดนั้นอีกาไฟกลับอ้าปากว่า “แว้ดๆ เข้าไปอย่างไร? เจ้าหล่นเข้าไปน่ะสิ”

 

 

เดิมทีทุกคนไม่ถือสาอสูรวิญญาณตัวหนึ่ง ทว่าใครจะรู้ว่าเพิ่งสิ้นเสียงอีกาไฟ ไม่นึกเลยว่าคุณชายสิบเจ็ดจะตกลงไปตรงๆ จริงๆ 

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset