พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 542 ล้วนเหมือนกัน

“ศิษย์พี่จื่อซี มีคนมาแล้ว” มั่วชิงเฉินถ่ายทอดเสียงมาอย่างเงียบๆ  

 

 

นักพรตจื่อซีพลันตกตะลึง “ที่นี่ยังมีคนอยู่หรือ”  

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้าน้อยๆ “น่าจะอยู่ห่างจากที่นี่ไปไม่ถึงสิบลี้ เป็นบุรุษคนหนึ่งและสตรีคนหนึ่ง”  

 

 

นักพรตจื่อซีรู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อย “ในสถานที่เช่นนี้เจ้ายังแผ่จิตสัมผัสไปไกลถึงเพียงนี้อีกหรือ ไม่กลัวว่าพวกเขาจะรู้ตัวหรือ”  

 

 

หลังจากที่ดวงดาวเกิดความเปลี่ยนแปลง ก็มีอสูรปีศาจระดับสูงและพืชปีศาจอยู่เต็มไปหมด ทุกตนล้วนแผ่พลังความน่าเกรงขามออกมาจนทำให้ทั้งดวงดาวถูกรบกวน ยากจะแผ่จิตสัมผัสออกไปได้ และยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ไม่ถูกรบกวน ในสถานการณ์ที่มีศัตรูที่แข็งแกร่งอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ก็ไม่มีผู้ใดกล้าบุ่มบ่ามแผ่จิตสัมผัสออกไปตรวจสอบ นั่นเท่ากับว่าเป็นการเตือนคนอื่นให้รีบหันมาดู ข้าอยู่ตรงนี้!  

 

 

มั่วชิงเฉินอธิบาย “ข้าบีบจิตสัมผัสให้เป็นเส้นเล็กๆ ไม่ทำให้ผู้อื่นรู้ตัวแน่ ศิษย์พี่จื่อซี บุรุษและสตรีผู้นั้นดูเหมือนจะตรงมาหาพวกเรา”   

 

 

นักพรตจื่อซีขยับมือ คันฉ่องทรงดอกกระจับพลันปรากฏขึ้น  

 

 

“ศิษย์พี่จื่อซี นี่คือ…”   

 

 

นักพรตจื่อซีกวักมือเรียกมั่วชิงเฉิน “นี่คือคันฉ่องหมื่นปรากฏการณ์ ชิงเฉิน ยามที่เจ้าแผ่จิตสัมผัสออกไปให้ถือคันฉ่องบานนี้เอาไว้”  

 

 

มั่วชิงเฉินรับคันฉ่องหมื่นปรากฏการณ์มา ลองทำตามที่นักพรตจื่อซีเอ่ย เห็นเพียงบานคันฉ่องปรากฏคลื่นน้ำระลอกหนึ่ง ภาพทิวทัศน์ที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้ก็ปรากฏขึ้นบนนั้น  

 

 

ในคันฉ่องมีร่างบุรุษหนึ่งคนและสตรีหนึ่งคนปรากฏขึ้น นั่นก็คือสองคนที่จิตสัมผัสของมั่วชิงเฉินเห็น  

 

 

นักพรตจื่อซีเห็นคนในคันฉ่อง ก็อดที่จะถลึงตาไม่ได้ พลางเอ่ยด้วยความตกตะลึง “แปลก พวกเขามาด้วยกันได้อย่างไร”  

 

 

“ศิษย์พี่จื่อซีรู้จักพวกเขาหรือ” มั่วชิงเฉินเอ่ยถาม  

 

 

แม้ว่าก่อนเข้ามาในแดนวิญญาณจะได้บันทึกแผ่นหยกมา ในบันทึกมีข้อมูลของผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสามฝ่ายเอาไว้ แต่นางไม่ได้อยู่ในดินแดนเทียนหยวนมาหลายปี จึงไม่รู้ชื่อและหน้าตาของผู้คนส่วนใหญ่ นอกเสียจากว่าจะเคยเห็นพวกเขาทะเลาะกัน คาดเดาจากลักษณะพิเศษหรือสมบัติวิเศษที่ใช้เท่านั้น  

 

 

นักพรตจื่อซีเข้าใจจุดนี้ จึงเอ่ยอธิบายว่า “บุรุษผู้นั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรของสำนักมารฟ้า เฮ่ออีหลัง คนผู้นี้ค่อนข้างมีชื่อเสียง ในสงครามพรตมารและคลื่นอสูรเมื่อหลายปีก่อนยังไม่เป็นที่รู้จัก แต่สองสามปีก่อนกลับมีชื่อเสียงขึ้นมา รัศมีของเขายังเหนือกว่าศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของสำนักมารฟ้าอย่างอู๋เฉิงเฟิงจนกลายเป็นคนสำคัญของสำนัก”  

 

 

เอ่ยมาถึงตรงนี้ก็มีสีหน้าแปลกประหลาด  

 

 

มั่วชิงเฉินไม่เข้าใจ พลางเอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่จื่อซี เป็นอะไรหรือ”  

 

 

นักพรตจื่อซีแบะปากแล้วเอ่ยว่า “วาจาและการกระทำของคนผู้นี้มักแปลกประหลาด แต่ก็มีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงจำนวนไม่น้อยชื่นชอบเขา แม้แต่สหายร่วมวิถีพรตของพวกเรา ก็ยังมีผู้ยอมแต่งงานกับเขาอยู่ไม่น้อย”  

 

 

“เช่นนั้นหรือ” มั่วชิงเฉินเหลือบตามองบุรุษในคันฉ่องแวบหนึ่ง เห็นเขามีหน้าตาหล่อเหลา หางตาทั้งสองข้างชี้ขึ้นเล็กน้อย แววตานุ่มลึกไร้คลื่น เผยความเย็นชาและเสน่ห์อันน่าเย้ายวนใจออกมา   

 

 

แม้ว่าหน้าตาของคนผู้นี้จะโดดเด่น แต่ในแดนผู้บำเพ็ญเพียรที่มีบุรุษและสตรีรูปงามอยู่มากมายนั้น กลับไม่นับว่ามีค่าอะไร ที่ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงยอมแต่งงานได้ นั่นต้องเป็นเอกลักษณ์ทางด้านนิสัยใจคอแล้ว  

 

 

ต้องเข้าใจว่าระหว่างพรตและมารนั้นไม่อาจแต่งงานกันได้ แต่การบำเพ็ญคู่เดิมทีก็เพื่อให้พลังยุทธ์พัฒนาไปพร้อมกัน หนทางการฝึกบำเพ็ญเพียรของพรตและมารนั้นไม่เหมือนกัน การบำเพ็ญคู่จึงมีข้อจำกัดเป็นอย่างมาก สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรที่ให้ความสำคัญกับระดับบำเพ็ญเพียรมากที่สุดแล้ว ช่างเป็นอุปสรรคที่ยากจะข้ามผ่านจริงๆ จึงไม่ค่อยเห็นผู้ที่ผสมผสานระหว่างพรตกับมารมาก่อน  

 

 

“ศิษย์พี่จื่อซี สตรีผู้นั้นคือผู้ใด”  

 

 

นักพรตจื่อซีเอ่ยด้วยสีหน้าแปลกประหลาด “นี่คือจุดที่ข้าประหลาดใจเช่นกัน สตรีผู้นั้นเป็นปีศาจบำเพ็ญเพียร ชื่อสุ่ยหลิงหลง เจ้าน่าจะรู้ข้อมูลของนางสินะ”  

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้า “อือ ในบันทึกแผ่นหยกได้บอกเอาไว้ สุ่ยหลิงหลงเชี่ยวชาญวิชาวารี จากการคาดเดาน่าจะเป็นปีศาจเผ่าน้ำสักเผ่าหนึ่ง”  

 

 

เมื่อปีศาจบำเพ็ญเพียรแปลงกาย ร่างเดิมก็จะกลายเป็นเรื่องที่ลึกลับที่สุด คนนอกไม่ค่อยรู้ว่าร่างเดิมของพวกเขาคือปีศาจชนิดใด ทำได้เพียงคาดเดาจากเคล็ดวิชาที่พวกเขาเชี่ยวชาญเท่านั้น  

 

 

นักพรตจื่อซีเอ่ยด้วยท่าทีซุบซิบ “เจ้าดูสิ พวกเขาสองคนหน้าตาคล้ายกัน…สนิทสนมชิดเชื้อกันมาก”  

 

 

มั่วชิงเฉินหมดคำพูดไปเล็กน้อย เมื่อนางเห็นทั้งสองคน สิ่งแรกที่ทำก็คาดเดาจุดประสงค์การมาของพวกเขา ไม่ได้คิดถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนเลยสักนิด  

 

 

นักพรตจื่อซีถลึงตาใส่มั่วชิงเฉิน “ชิงเฉิง ดวงตาของเจ้าเป็นอะไรกัน หรือว่าเจ้าไม่เคยได้ยินคำว่าเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นเพราะปีศาจหรือ มารบำเพ็ญเพียรตนหนึ่งและปีศาจบำเพ็ญเพียรตนหนึ่งสมคบคิดกัน ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายอย่างการดองกันแน่ เฮ้อ เจ้าได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกันไหม”  

 

 

ฟังจากคำพูดของนักพรตจื่อซี ฉับพลันนั้นมั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงจ้องเขม็งไปยังผู้ที่อยู่ในคันฉ่องทั้งสองแล้วเอ่ยว่า “พวกเขาสองคนระมัดระวังตัวมาก ไม่ได้พูดอะไร เดาว่าคงติดต่อกันด้วยจิตสัมผัส”  

 

 

นักพรตจื่อซีถอนหายใจอย่างเสียดาย ฉับพลันนั้นพลันเห็นว่าคันฉ่องทรงดอกกระจับมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น รูปภาพในคันฉ่องสลายหายไป  

 

 

“เกิดอะไรขึ้น”  

 

 

มั่วชิงเฉินดึงนักพรตจื่อซี ใช้จิตสัมผัสเอ่ยขึ้น “อยู่ๆ พวกเขาก็เพิ่มความเร็วจนมาอยู่ใกล้มาก ข้ากลัวว่าจะถูกพวกเขาพบ จึงรีบเก็บจิตสัมผัส”  

 

 

เอ่ยจบก็กระดานคงวิญญาณเจ็ดดาวออกมา ใช้พลังปราณกระตุ้นให้หลบกลิ่นอายของทั้งสองเอาไว้  

 

 

เฮ่ออีหลังและสุ่ยหลิงหลงเข้ามาใกล้ และหยุดอยู่ห่างจากมั่วชิงเฉินและพวกไปไม่ไกลนัก  

 

 

เฮ่ออีหลังเดินไปรอบๆ แล้วเอ่ยกับสุ่ยหลิงหลงว่า “หลิงหลง ที่นี่มีปทุมหยกอริยะหอมจริงๆ หรือ”  

 

 

สุ่ยหลิงหลงเลยเชิดคางขึ้น น้ำเสียงเปี่ยมเสน่ห์ “เฮ่อหลัง ข้ายังหลอกเจ้าได้อีกหรือ”  

 

 

เฮ่ออีหลังหางตากระตุกเล็กน้อยเอ่ยอย่างติดตลก “เจ้าย่อมตัดใจหลอกข้ามิได้”  

 

 

สุ่ยหลิงหลงกระทืบเท้า เอ่ยด้วยเสียงอ่อนหวาน “มนุษย์อย่างพวกเจ้า ล้วนปากหวานเช่นนี้หรือ”  

 

 

เฮ่ออีหลังเข้ามาโอบเอวสุ่ยหลิงหลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและนุ่มนวล “ข้าพูดคำหวานกับแค่คนที่ชอบเท่านั้น”  

 

 

มั่วชิงเฉินและนักพรตจื่อซีมองสบตากันแวบหนึ่ง ล้วนรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ  

 

 

โชคดีที่ทั้งสองยังฟื้นฟูสติกลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว และเริ่มตรวจสอบ  

 

 

ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม สุ่ยหลิงหลงก็ยืนอยู่ด้านหน้าศิลาก้อนหนึ่ง ในมือมีขวดหยกสีขาวปรากฏขึ้น  

 

 

พอนางเปิดขวดหยกสีขาวกลิ่นหอมประหลาดก็โชยมา ทว่าผ่านไปชั่วครู่ในโพลงหินก็มีมัจฉาน้อยเจ็ดสีจำนวนนับไม่ถ้วนกระโดดไปมา  

 

 

สุ่ยหลิงหลงมีสีหน้าปีติยินดี “เฮ่อหลัง พวกเราตามพวกมันไปกันเถิด”  

 

 

เฮ่ออีหลังเข้ามาใกล้ จ้องเขม็งไปยังมัจฉาน้อยเจ็ดสี “นี่คือปลาอะไร”  

 

 

สุ่ยหลิงหลงหัวเราะคิกคัก “พวกเราดวงดีไม่เลว มัจฉาสายรุ้งนี้ชอบกินรากของปทุมหยกอริยะหอมมากที่สุด แต่แค่ปกติแล้วจะหลบอยู่ในซอกหินไม่ค่อยพบร่องรอย โชคดีที่ข้ามีกลิ่นหอมล่อพวกมันออกมา ขอแค่ตามพวกมันไป ก็หาปทุมหยกอริยะหอมได้แล้ว”  

 

 

“หลิงหลง ปีศาจหญิงอย่างพวกเจ้า มีความรู้กว้างขวางนัก” เฮ่ออีหลังฉีกยิ้ม  

 

 

สุ่ยหลิงหลงเหลือบตามองแวบหนึ่ง ในแววตาสะท้อนความประหลาดใจ “ทำไมหรือ เฮ่อหลังคิดว่าปีศาจหญิงอย่างพวกเราหยาบคายน่ารังเกียจหรือ”  

 

 

เฮ่ออีหลังหัวเราะอย่างแผ่วเบา “ผู้แซ่เฮ่อจะคิดตื้นๆ เช่นนั้นได้อย่างไร ในสายตาของข้า ไม่ว่าจะเป็นพรต มาร ปีศาจ ล้วนเหมือนกัน”  

 

 

ทั้งสองพูดกันไปพลางตามมัจฉาสายรุ้งไปพลาง  

 

 

นักพรตจื่อซีกระทุ้งมั่วชิงเฉิน “ชิงเฉิน พวกเราตามไปกันเถิด”  

 

 

มั่วชิงเฉินเก็บกระดานคงวิญญาณเจ็ดดาวอย่างเงียบเชียบ แล้วถ่ายทอดเสียงไป “ศิษย์พี่จื่อซีสนใจปทุมหยกอริยะหอมหรือ”  

 

 

นักพรตจื่อซีส่งค้อนให้วงหนึ่ง “แน่นอน ดูจากท่าทางของทั้งสอง ปทุมหยกอริยะหอมจะต้องเป็นของดีแน่ สมบัติวัตถุดิบมหัศจรรย์เหล่านี้ล้วนไร้เจ้าของ ผู้ใดมีความสามารถย่อมได้ไป ในเมื่อพวกเราได้พบแล้ว จะปล่อยไปได้อย่างไร”   

 

 

มั่วชิงเฉินก็ไม่ใช่คนใจบุญอะไร เมื่อทั้งสองมีความคิดเห็นตรงกัน ก็ตามไปอย่างเงียบๆ  

 

 

นักพรตจื่อซีได้ยินคำหยอกล้อของทั้งสองที่ถ่ายทอดมา ก็แอบกลอกตาเงียบๆ แล้วเอ่ยกับมั่วชิงเฉินว่า “ชิงเฉิน เจ้าว่าสมองของเฮ่ออีหลังผู้นั้นถูกลาถีบเข้าหรือไม่ พูดมาได้อย่างไรว่าพรตมารปีศาจล้วนเหมือนกัน เหมือนกันกับผีนะสิ ผู้ใดต่างก็รู้ว่าปีศาจเหล่านั้นออกมาจากวางไข่ไม่ก็คลานออกมาจากรังไหม แค่คิดก็จะอาเจียนแล้ว”  

 

 

มั่วชิงเฉินนึกถึงอาจารย์ผู้ผมหงอกขาวแต่เยาว์วัยของตนเอง ทั้งหมดเป็นเพราะความรักอันน่าเหลือทนของมนุษย์และปีศาจ จึงยากจะพูดคำว่าสอดคล้อง พลันเอ่ยอย่างราบเรียบ “ทุกเผ่าล้วนมีข้อดี บางคนก็มองชนต่างเผ่าด้วยมุมมองที่แตกต่างออกไป จะเกิดความรักใคร่ก็ไม่แปลก”  

 

 

“เจ้าคิดเช่นนั้นจริงหรือ” นักพรตจื่อซีเบิกตาโต ขณะที่กำลังจะโต้แย้งกลับดูเหมือนว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเปลี่ยนน้ำเสียงแล้วเอ่ยขึ้น “ก็อาจจะกระมัง รีบไปเถิด พวกนั้นดูเหมือนจะตีกับตัวอะไรอยู่”  

 

 

หลังจากที่มั่วชิงเฉินโยนคำพูดเหล่านั้นทิ้งไป ก็เพิ่มความเร็วไล่ตามไป  

 

 

เฮ่ออีหลังและสุ่ยหลิงหลงกำลังต่อสู้กับอสูรปีศาจที่ดูแลรักษาปทุมหยกอริยะหอมแล้ว  

 

 

มั่วชิงเฉินและพวกแอบอยู่ด้านข้าง พลางตรวจสอบสถานการณ์  

 

 

ปีศาจที่คุ้มครองปทุมหยกอริยะหอมเป็นราชามัจฉาสายรุ้งขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง  

 

 

ราชามัจฉาสูงสิบจั้ง ตรงกลางหัวมีลายน้ำคำว่า ‘ราชา’ เกล็ดบนร่างขดเป็นวง มีสีแดง ส้ม เหลือง เขียว ฟ้า คราม ม่วง วงหนึ่งก็เป็นสีหนึ่ง ตรงส่วนหางขยับไปมาราวกับสายรุ้งที่ทอดตัวอยู่กลางน้ำ สว่างไสวเป็นอย่างมาก  

 

 

เฮ่ออีหลังและสุ่ยหลิงหลงร่วมมือกันต่อกรกับราชามัจฉาสายรุ้ง คาดไม่ถึงว่าจะกินแรงเป็นอย่างมาก  

 

 

เสียง  ฉับ  ดังขึ้น แขนเสื้อข้างหนึ่งของสุ่ยหลิงหลงถูกครีบมัจฉาแหลมๆ เกี่ยวจนขาดเผยแขนเรียวสีขาวนวลออกมา  

 

 

เฮ่ออีหลังยกมือขึ้น ดาวห้าแฉกบินออกมาจากฝ่ามือ หมุนคว้างไปทางราชามัจฉาสายรุ้งอย่างรวดเร็ว เขาอาศัยเวลานี้พุ่งไปข้างหน้าดึงสุ่ยหลิงหลงกลับมาด้านหลัง ส่วนตนกลับถูกเกล็ดสีแดงของราชามัจฉาสายรุ้งปล่อยเพลิงลำแสงออกมาตรงส่วนท้อง ร่างกระเด็นไปด้านหลังแล้วร่วงลงกับพื้น  

 

 

“เฮ่อหลัง!” สุ่ยหลิงหลงเผยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา จากนั้นก็มีแววตาเย็นชา ไม่มีเสื้อผ้าบดบังแขนนวลก็ร่ายอาคมประหลาด จากนั้นลำแสงพลันสว่างวาบ ร่างทั้งร่างพลันสลายหายไป  

 

 

“นางหายไปไหนแล้ว หรือว่าจะเป็นเคล็ดวิชาอำพรางกาย” นักพรตจื่อซีที่แอบอยู่เบิกตาโต  

 

 

มั่วชิงเฉินสั่นศีรษะ “ดูเหมือนว่าจะไม่ได้อำพรางกาย”  

 

 

ขณะที่กำลังพูดก็เห็นสายธารเกิดระลอกคลื่น ร่างอันใหญ่ยักษ์ของราชามัจฉาสายรุ้งลอยขึ้นสูงแล้วสั่นเทาไม่หยุด  

 

 

“ดูเร็ว หนวดเต็มไปหมดเลย!” นักพรตจื่อซีร้องอุทานด้วยความตกตะลึง  

 

 

มั่วชิงเฉินเองก็เห็นหนวดจำนวนมากมายที่รัดราชามัจฉาสายรุ้งเอาไว้ หนวดเหล่านั้นล้วนโปร่งใส แต่เพราะระลอกคลื่นเกิดการสั่นคลอน ถึงได้มองเห็นร่องรอยของมันภายใต้การหักเหของแสง  

 

 

หนวดโปร่งใสยกขึ้น ราชามัจฉาสายรุ้งลอยออกไป  

 

 

จุดที่เดิมไร้ผู้คนมีระลอกคลื่นทะลักไปเกิดเป็นฟองน้ำจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นร่างของสตรีก็ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ  

 

 

สุ่ยหลิงหลงรีบวิ่งมาหาเฮ่ออีหลัง “เฮ่อหลัง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง…”  

 

 

ในตอนท้ายกลับกลายเป็นเสียงกรีดร้องอย่างน่าเวทนา สุ่ยหลิงหลงเซล้มลงกับพื้น กระอักโลหิตออกมา แล้วจ้องเขม็งไปยังเฮ่ออีหลัง  

 

 

“เจ้า…เจ้าบอกว่าพวกเราเหมือนกัน…ที่แท้ก็หลอกข้า…” สุ่ยหลิงหลงหอบหายใจ โลหิตทะลักออกมามากกว่าเดิม แต่แค่โลหิตนั้นแทบจะเป็นสีโปร่งใสอาบย้อมไปทั่วอาภรณ์ตรงทรวงอกของนาง  

 

 

เฮ่ออีหลังโน้มตัวลงมา เอ่ยอย่างอ่อนโยน “ข้าไม่ได้หลอกเจ้า ในใจของข้า ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิง มารบำเพ็ญเพียรหญิง หรือว่าปีศาจบำเพ็ญเพียรหญิง ล้วนเหมือนกันจริงๆ”  

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี
Status: Ongoing
สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset