พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 545 เคล็ดวิชาทำนายดวงดาว

 

 

 

นักพรตจื่อซีและนักพรตปี้เหลยต่างก็เป็นสตรีที่ฉลาดเฉลียว ครั้นได้ยินคำพูดของมั่วชิงเฉิน สีหน้าก็แปรเปลี่ยน ถามพร้อมกันว่า “ดวงดาวพังทลายหรือ”  

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วเอ่ย “เข้าสู่ระดับก่อกำเนิดในที่นี้ มีสองเรื่องให้กังวล ประการแรกอาจชักนำให้โลกดวงดาวล่มสลายได้ ประการที่สอง ต่อให้โลกดวงดาวปลอดภัยไร้เรื่องราว แต่ที่นี่หาได้มีอสูรปีศาจและพืชปีศาจระดับเจ็ดขึ้นไป!”  

 

 

นักพรตจื่อซีหน้าเปลี่ยนสี เอ่ยด้วยความผิดหวัง “เสมือนก่อกำเนิดหรือ”  

 

 

ถึงเป็นข้อกังวลสงสัย สีหน้ากลับเปลี่ยนไปไม่น่ามอง  

 

 

นางบำเพ็ญเพียรหลายร้อยปี เมื่อก่อนเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์ได้อย่างง่ายดาย แต่ครั้นก้าวผ่านสู่ระดับก่อกำเนิดกลับล้มเหลวถึงสองครั้ง ถึงได้แต่งงานออกเรือน  

 

 

นอกจากความรู้สึกที่มีต่อนักพรตหมิงจ้าวตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา นางก็ไม่เคยคิดหาทางทดลองก้าวผ่านระดับด้วยการบำเพ็ญเพียรคู่  

 

 

ในฐานะศิษย์คนโตของหลิวซางเจินจวิน หยุดระดับการบำเพ็ญอยู่ที่ระดับก่อแก่นปราณ เป็นสิ่งที่นางไม่อาจทนได้มากที่สุด   

 

 

หากไม่สามารถเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดไม่สำเร็จ แล้วเข้าสู่สภาวะเสมือนก่อกำเนิด นั่นก็หมายความว่าเส้นทางเซียนของนางได้จบลงที่นี่แล้ว  

 

 

เมื่อคิดดังนี้ สีหน้านักพรตจื่อซีขาวซีดราวกระดาษ ร่ายเคล็ดวิญญาณเข้าสู่ร่างเพื่อสะกดสภาวะก้าวข้ามสู่ระดับก่อกำเนิด  

 

 

ในเวลานี้พลันได้ยินเสียงนักพรตปี้เหลยร้องขึ้นด้วยอารามตกใจ “เอ๊ะ ภายในจุดตันเถียนของข้าก็เกิดการเคลื่อนไหวแล้ว จะทะลวงสู่ระดับก่อกำเนิดแล้ว!”   

 

 

มั่วชิงเฉินกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง ฉับพลันกลับรู้สึกว่าแก่นทองคำในร่างกายเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พลังวิญญาณเคลื่อนไหวราวกับน้ำทะเลที่ไหลทะลัก เห็นได้ชัดว่ากำลังจะมุ่งเข้าสู่การเลื่อนระดับก่อกำเนิดเช่นกัน  

 

 

“ชิงเฉิน หรือเจ้าก็เป็นเหมือนกัน” นักพรตจื่อซีพยายามสะกดพลังวิญญาณที่เคลื่อนไหวในร่างอย่างรุนแรงขึ้นทุกทีๆ ด้วยชีวิต เอ่ยปากออกมาอย่างยากลำบาก  

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากแน่น กัดฟันเอ่ยว่า “ศิษย์พี่จื่อซี สหายปี้เหลย ถึงพวกเราจะเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์มานานแล้ว แต่ไม่มีเหตุผลที่จะข้ามระดับพร้อมๆ กัน เรื่องนี้น่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล”  

 

 

นักพรตปี้เหลยและนักพรตจื่อซีต่างก็มีสีหน้าหนักอึ้งลง  

 

 

ถึงพวกนางจะสะกดพลังเคลื่อนไหวได้ชั่วคราว แต่ก็เข้าใจหลักการน้ำเต็มแล้วจะไหลลง[1]ดี หากสะกดไปตลอด ช้าเร็วก็จะพัฒนาไปสู่ขั้นที่ไม่อาจควบคุมได้อีก  

 

 

เมื่อถึงเวลานั้น หากไม่ข้ามระดับได้อย่างราบรื่น ก็พลังวิญญาณระเบิดร่างแหลกเหลว  

 

 

คำพูดของมั่วชิงเฉินเตือนสติคนทั้งสอง หากสถานการณ์ของทั้งสามคนไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เช่นนั้นในโลกดวงดาวนี้ต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงที่มิอาจรู้ได้แน่  

 

 

นักพรตปี้เหลยเงยหน้า สีหน้าแปรเปลี่ยนไปเป็นน้อย “ดูบนฟ้าสิ”  

 

 

มั่วชิงเฉินแหงนหน้ามอง กลางท้องฟ้าครามปรากฏพระอาทิตย์ร้อนระอุ ถัดจากดวงอาทิตย์ไปอีกฝั่งหนึ่งยังมีดวงจันทร์เสี้ยวปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบๆ อีกด้วย   

 

 

“สุริยันจันทร์ปรากฏหรือ” นักพรตจื่อซีพึมพำ  

 

 

“สหายจื่อซี สุริยันจันทร์ปรากฏหมายความว่าอย่างไร” นักพรตปี้เหลยรีบมองนักพรตจื่อซี  

 

 

นักพรตจื่อซีตอบเสียงขรึม “สุริยันจันทร์ปรากฏนี่เป็นปรากฏการณ์ทางท้องฟ้าที่พิเศษมาก ข้าเพียงเคยได้ยินอาจารย์พูดถึงอยู่บ้าง ในสมัยโบราณยามที่โลกแห่งการบำเพ็ญเกิดการเปลี่ยนแปลง จะมีปรากฏการณ์สุริยันจันทร์ปรากฏ ตอนที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มาพบกัน โลกมนุษย์ก็เปลี่ยนมาเป็นอย่างทุกวันนี้”  

 

 

“เมื่อเอ่ยเช่นนี้ หากสุริยันจันทร์ปรากฏในที่แห่งนี้ หรือว่าโลกดวงดาวกำลังจะล่มสลาย เช่นนั้นพวกเราจะเป็นอย่างไร” นักพรตปี้เหลยเสียรอยยิ้มสนุกสนานสดใสในยามปกติไป สีหน้าทั้งใบเต็มไปด้วยหนักใจ  

 

 

“นี่ ซิงเฉิน ทำไมไม่พูดอะไรหน่อย” นักพรตจื่อซีที่กลัดกลุ้มกังวลมองมั่วชิงเฉินที่สติหลุดลอย ผลักนางเบาๆ ทีหนึ่ง  

 

 

มั่วชิงเฉินค่อยได้สติกลับมา “สหายปี้เหลย ยังจำเรื่องเกี่ยวกับสำนักไป่ฮวาที่ข้าเล่าให้ฟังได้หรือเปล่า”  

 

 

นักพรตปี้เหลยพยักหน้า  

 

 

มั่วชิงเฉินล้วงดอกเบญจมาศแดงออกจากถุงอสูรวิญญาณ “มันบอกว่า ในปีนั้นจู่ๆ ดอกไม้พิสดารพลันเกิดความผิดปกติ ท้องฟ้ากำเนิดปรากฏการณ์เช่นนี้”  

 

 

ครั้นเห็นนักพรตจื่อซีและนักพรตปี้เหลยมองมาพร้อมกัน ดอกเบญจมาศแดงก็รีบพยักหน้า “ไม่ผิด ไม่ผิด ในความทรงจำที่ถ่ายทอดมาของข้าก็คือยามที่สุริยันจันทร์ปรากฏ ดอกไม้พิสดารจะดูดเลือดมนุษย์ จากนั้นฟ้าก็ถล่มดินก็ทลาย หากมิใช่เพราะประมุขน้อยสำนักไป่ฮวาใช้ผลส้มโอมือสีทองสยบดอกไม้พิสดารไว้ ก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง”  

 

 

ในเวลานี้เองลำแสงวิญญาณสายหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ลอยค้างอยู่ราวๆ สิบลมหายใจก็ระเบิดออกเหมือนดอกไม้ไฟ  

 

 

“ยันต์รวมตัวหรือ” นักพรตจื่อซีมองมั่วชิงเฉินและนักพรตปี้เหลย ทั้งสองพยักหน้า คนทั้งสามจึงเคลื่อนไหวมุ่งไปยังทิศทางของสัญญาณนั้น  

 

 

ยันต์รวมตัวมักใช้ระหว่างศิษย์ร่วมสำนัก คนทั้งหมดเข้าสู่โลกดวงดาวมาเจ็ดปีแล้ว ก็ไม่เคยเห็นใครใช้มันมาก่อน   

 

 

หากปล่อยยันต์ในช่วงเวลาปกติก็ไม่มีใครไปรวมตัว แต่ตอนนี้เป็นเวลาพิเศษ ทันทีที่มียันต์ปรากฏ ผู้บำเพ็ญที่เห็นกลับทะยานไปรวมตัวโดยมิได้นัดหมาย  

 

 

“สหายจื่อจั้น เป็นเจ้าหรือ” พวกมั่วชิงเฉินสามคนรีบไปถึงจุดรวมตัวก็หยุดลง นักพรตจื่อซีเอ่ยขึ้น  

 

 

นักพรตจื่อจั้นถือกำเนิดจากสำนักไท่เสวียน ในด้านการฝึกบำเพ็ญนับว่าเป็นบุคคลที่มีความสามารถแท้จริงโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ  

 

 

เวลานี้ข้างกายเขามีทั้งผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ นักพรต ปีศาจ และมาร บ้างก็มีลมหายใจหอบกระชั้น เห็นได้ชัดว่ารีบเร่งเดินทางมา  

 

 

ในเวลาสั้นๆ ที่นักพรตจื่อซีเอ่ยวาจา ยังมีผู้บำเพ็ญคนอื่นทยอยมาอีก   

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นคนผู้หนึ่งโดยไม่ตั้งใจ  

 

 

สายตาคนผู้นั้นหยุดลงที่ใบหน้ามั่วชิงเฉินครู่หนึ่ง ก่อนหลุบตาลง ปกปิดความรู้สึกทั้งหลาย คนผู้นั้นที่ก็คือเซี่ยหรันที่ไม่ได้พบกันมานานหลายปี  

 

 

นับตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นขึ้น ไม่รู้เพราะเจตนาหรือไม่ หลายปีที่ผ่านมานี้มั่วชิงเฉินก็ไม่ได้พบคนผู้นี้อีกเลย ความรู้สึกที่เดิมทีคิดว่าค่อยๆ จืดจางลงไปพร้อมกาลเวลาที่เวียนผ่านกลับโหมทะลักขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้นางเกิดความคิดอยากใช้บาทาพลังเทพเสียเหลือเกิน  

 

 

เมื่อผู้บำเพ็ญจำนวนมากมารวมตัวกัน ก็เกิดเสียงวิจารณ์เซ็งแซ่ หัวข้อสนทนาล้วนเกี่ยวพันกับการทะลวงระดับก่อกำเนิดทั้งสิ้น  

 

 

นักพรตจื่อจั้นมีฐานะคนเรียกรวมตัว ผู้บำเพ็ญเพียรที่รุดมามีสิบกว่าคน แทบจะเป็นผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่จากบรรดาผู้บำเพ็ญที่โชคดีรอดชีวิตมาได้แล้ว เอ่ยว่า “สหายทุกท่าน คิดว่าพวกท่านคงตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับข้า ที่ข้าเรียกทุกคนมารวมตัวที่นี่ ก็เพื่อหารือแผนการรับมือ”  

 

 

ผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณที่เข้ามาในโลกดวงดาวทั้งมีชีวิตถึงตอนนี้ ล้วนไม่ใช่คนโง่เขลา สิ่งที่พวกมั่วชิงเฉินสามคนคิดได้ พวกเขาก็ย่อมคิดได้ ไม่มีใครเลอะเลือนทะลวงด่านข้ามไประดับก่อกำเนิด ต่างก็สะกดแรงระเบิดพลังวิญญาณในร่างไว้ จึงทำให้สีหน้าไม่สู้ดีนัก  

 

 

ปีศาจบำเพ็ญเพียรร่างสูงใหญ่ตนหนึ่งร่ำๆ ขึ้นว่า “มีแผนรับมืออะไรกัน สภาวะพุ่งทะลวงข้ามระดับเช่นนี้ สะกดได้ชั่วคราวเท่านั้น ไม่อาจหยุดยั้งได้!”  

 

 

ผู้บำเพ็ญร่างเล็กคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ไม่มีแผนรับมือก็ต้องรับมือ ไม่เช่นนั้นพวกเราไม่มีใครรอดแน่!”  

 

 

มั่วชิงเฉินมองผู้พูด กำหมัดแน่น  

 

 

ถ้าบอกว่าความรู้สึกที่มีต่อเซี่ยหรันคือความรังเกียจ เช่นนั้นสำหรับคนผู้นี้ก็คือความเดือดดาล  

 

 

สื่ออิ่น บัญชีของพวกเราสมควรหาโอกาสชำระได้แล้ว  

 

 

ผู้บำเพ็ญทั้งหลายถกเถียงกันขึ้นมา เสียงของคนผู้หนึ่งเข้าหูของพวกมั่วชิงเฉินสามคน ทั้งสามคมต่างสั่นสะท้าน เพียงเพราะคำพูดไม่กี่พยางค์ของคนผู้นั้น “สุริยันจันทร์ปรากฏ”  

 

 

นักพรตจื่อซีก้าวออกมานำทุกคนด้วยท่าทางโอ่อ่า เดินมาอยู่เบื้องหน้าคนผู้นั้น เรียกว่า “สหายเฟยหยาง เจ้าก็เคยได้ยินเรื่องสุริยันจันทร์ปรากฏหรือ”  

 

 

นักพรตเฟยหยางดูแล้วท่าทางคล้ายคลึงกับคนอายุยี่สิบกว่าเท่านั้น ทว่าร่างเขาแผ่กลิ่นอายสงบนิ่งผิดกับรูปลักษณ์ กลิ่นอายเช่นนี้หาได้ยากจากตัวผู้บำเพ็ญเพียรที่เป็นบุรุษ  

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของนักพรตจื่อซี เขาเผยรอยยิ้มจางๆ ตอบกลับอย่างกระชับรัดกุมว่า “เคยได้ยินมาบ้าง”  

 

 

นักพรตจื่อซีไม่ได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายตอบขอไปที กลับเอ่ยกลับไปด้วยความครุ่นคิด “จริงสิ ข้าลืมไปว่าสหายเฟยหยางมาจากสำนักลั่วสยา”  

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ นอกจากมั่วชิงเฉินที่ร่อนเร่อยู่ในภาคตะวันออกสิบทวีปเป็นเวลาหลายปีแล้ว ผู้บำเพ็ญที่มาจากสำนักต่างๆ เหล่านี้ต่างก็รู้จักกัน นักพรตจื่อจั้นเดินเข้ามาเอยว่า “สหายจื่อซี สหายเฟยหยาง พวกเจ้าพูดอะไรอยู่กันแน่ รีบคลายความสงสัยให้พวกเราเถอะ”  

 

 

นักพรตจื่อซีบอกเล่าข้อมูลที่เกี่ยวข้องสุริยันจันทร์ปรากฏ จากนั้นเอ่ยต่อว่า “สหายเฟยหยางเชี่ยวชาญวิชาทำนายดาวดวง ไม่ทราบว่าเจ้าเห็นว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร”  

 

 

สำนักลั่วสยาเชี่ยวชาญวิชาทำนายดาวดวง มีชื่อเสียงในแผ่นดินเทียนหยวน ส่วนนักพรตเฟยหยางมีที่มาจากสำนักนี้  

 

 

เมื่อผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลายได้ฟัง ก็จับจ้องไปที่นักพรตเฟยหยาง  

 

 

ในเวลานี้นักพรตเฟยหยางก็ไม่ปกปิดอะไรอีก กล่าวตามตรง “รอกลางคืนข้าถึงสามารถอ่านการโคจรของดาวได้ ตอนนี้ก็เหมือนกับทุกท่าน ไม่รู้อะไรทั้งนั้น”  

 

 

คนทั้งหมดเข้าใจแล้ว วิชาทำนายดวงดาว ถ้าไม่ใช่กลางคืนจะมีดาวที่ไหนให้ดูกัน  

 

 

อีกสองชั่วยามกว่าจะกลางคืน หากเป็นเวลาปกติก็เหมือนพริบตา แต่เวลานี้ทุกกลับรู้สึกราวกับผ่านไปเป็นปี  

 

 

ในที่สุดก็รอจนถึงเวลาที่ดวงดาวเต็มฟ้า ดวงอาทิตย์อับแสงลงไปเล็กน้อย ทว่ายังคงลอยค้างอยู่กลางฟ้าเคียงคู่กับดวงจันทร์ และค่อยๆ ใกล้กันมากขึ้น  

 

 

นักพรตเฟยหยางเดินไปมาจนกระทั่งคนจำนวนมากเริ่มมีจิตใจว้าวุ่น จากนั้นค่อยเลือกที่ที่หนึ่งนั่งขัดสมาธิ ทั้งไม่หลบเลี่ยงคนทั้งหมด เขาล้วงสิ่งของออกมาจากถุงเก็บของทีละอย่างๆ  

 

 

“พวกเราควรหลบไปหรือไม่” นักพรตผู้หนึ่งถาม  

 

 

นักพรตเฟยหยางส่งสายตาตอบด้วยรอยยิ้มที่มิได้ยิ้มว่า “ไม่จำเป็นแล้ว”  

 

 

พูดจบแล้วเขาโบกมือคราหนึ่งกระดานดวงดาวลอยขึ้นกลางอากาศ จากนั้นหยิบกระดองเต่าขึ้นมาทำเป็นกระดานทรงกลม จากนั้นวางกระดานกลมลงกับพื้น หลับสองตาลง ปกเริ่มท่องคาถา   

 

 

ปลายนิ้วหนึ่งของเขาชี้ลงคาหนึ่ง แสงวิญญาณก็ปรากฏขึ้งบนกระดานดารากลางอากาศ กระดานนั้นเรืองแสงประกายวาว ดาวแต่ละดวงลุกโชนขึ้นราวกับถูกจุดขึ้นมา สว่างวาบขึ้นเป็นแถบ  

 

 

นักพรตเฟยหยางเป็นเสมือนจุดศูนย์กลาง แสงสว่างราวอาทิตย์ส่องออกจากตัวเขาไปทั่วทั้งสี่ทิศ กระดานดาราหมุนช้าๆ ตำแหน่งดาวบนกระดานเหมือนกับดาวที่ปรากฏบนฟ้า  

 

 

ทุกคนดูจนสติลอยล่อง กระทั่งลืมหายใจ  

 

 

นักพรตเฟยหยางตบมือแรงๆ ฉาดหนึ่ง กระดานกลมลอยขึ้น กระดูกหลายชิ้นกลิ้งเข้าไปด้านใน จากนั้นกระดองเต่าก็ร่วงลงมา  

 

 

สองตานักพรตเฟยหยางค่อยๆ ปิดลง ไม่มีอากัปกิริยาใดมากมาย เพียงแต่ปากยังท่องคาถาไม่หยุด ทว่าฟังไม่ได้ศัพท์สักคำ สีหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีด   

 

 

บรรยากาศที่ทั้งอัศจรรย์ หนักอึ้ง และรวมความลึกลับอยู่หลายส่วนนี้ ทำให้คนไม่กล้าเอ่ยวาจา ได้เพียงเฝ้ารออย่างเงียบเชียบ  

 

 

อีกทั้งสิ่งที่เฝ้ารออยู่คือสิ่งก็มิใครรู้ได้  

 

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใดแล้ว นักพรตเฟยหยางค่อยๆ เปิดกระดองเต่าออก จับจ้องตัวเลขที่ปรากฏบนกระดูกครู่หนึ่ง การเคลื่อนไหวมือของเขาว่องไวมาก คว้ากระดูกหลายเม็ดนั้นกดเข้าในตำแหน่งที่เหมาะสมในกระดานกลม จากนั้นมือเขาทอแสงวิญญาณวาบหนึ่ง ปิดกระดองไว้   

 

 

ยามที่นักพรตเฟยหยางเคลื่อนมือ กระดานกลมค่อยๆ ลอยขึ้น โคจรอยู่ใต้กระดานดาราไม่หยุดอย่างแปลกประหลาด ตำแหน่งที่เคลื่อนผ่านทิ้งเส้นแสงเรืองไว้ไม่หาย  

 

 

ทุกคนพบว่าเส้นแสงพวกนั้นค่อยๆ เรียงตัวกันเป็นแผนภาพดวงดาวภาพหนึ่ง  

 

 

รอจนลายเส้นสุดท้ายของแผนภาพดวงดาวปรากฏขึ้น ก็ลอยไปขึ้นจมอยู่ในกระดานดารา  

 

 

แสงสว่างของกระดานดาราเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในฉับพลัน ดาวระยับนับไม่ถ้วนดับแสงลงแล้ว กระดานดาราทั้งแผ่นเปลี่ยนไปราบเรียบเหมือนหน้าจอ ถัดมามีแสงสว่างขึ้น ก็เกิดภาพขึ้นมา   

 

 

ครั้นเห็นภาพที่ปรากฏขึ้น สีหน้าทุกคนเปลี่ยนไปอย่างมาก  

 

 

   

 

 

——  

 

 

[1] เมื่อไปถึงจุดสูงสุดแล้ว ก็จะตกต่ำลง  

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี
Status: Ongoing
สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset