พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 550 ตามหาหม้อคืนสภาพ

“มี” ดวงตาคู่โตของเด็กน้อยมองไปมา แล้วพูดขึ้นน้ำเสียงกังวาน   

 

 

ผู้คนสีหน้ายินดี “ต้องทำเช่นไร”  

 

 

เด็กน้อยทำปากย่น “ทำไมข้าต้องบอกพวกเจ้าด้วยล่ะ”  

 

 

ผู้คนต่างอึ้งจนลืมหายใจ มองไปยัง เด็กน้อยผิวพรรณขาวสะอาด ผิวใสจนแทบจะโปร่งแสง แต่ไม่มีใครกล้าจะไปบังคับถาม  

 

 

ซื่อเหนียงยื่นนิ้วออกไปตบแขนอันอวบแน่นเหมือนรากบัวของเด็กน้อย แล้วพูดขึ้นอย่างสัตย์ซื่อว่า “เจ้าและดอกไม้พิสดารเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน พวกเราเองก็เป็นศัตรูกับดอกไม้พิสดาร เห็นแก่ฐานะของมิตร ช่วยเพราะเราหน่อยไม่ได้หรือ”  

 

 

พรสวรรค์ของนางก็คือการสื่อสารกับพืช พืชวิญญาณจะรู้สึกสนิทสนมกับนางโดยสัญชาตญาณ   

 

 

ได้ติดต่อสื่อสารกับพืชวิญญาณมานาน ก็ได้รู้ว่าวิญญาณชีวิตเหล่านี้ส่วนใหญ่ความคิดบริสุทธิ์ ถ้าจะต้องพูดชักแม่น้ำทั้งห้า ไม่สู้พูดออกไปตามตรงจะดีกว่า  

 

 

เด็กน้อยหัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า “เห็นแก่ที่รู้สึกดีกับเจ้า ขอข้าดูก่อนนะ” พูดแต่ก็หลับตาลง งอเข่าทั้งคู่นั่งขัดสมาธิ ประนมมือทั้งคู่ที่หน้า  

 

 

สักครู่หนึ่ง เด็กน้อยก็ลืมตาขึ้น หยุดยิ้ม แล้วพูดงึมงำขึ้น “ดอกทิวาราตรีมาถึงฤดูนี้แล้วหรือ”  

 

 

เด็กน้อยที่สูงไม่ถึงสองศอก หน้านิ่วคิ้วขมวด ใบหน้าที่ดูแก่แดดนั้นถึงแม้จะดูน่าขัน แต่ผู้คนกลับไม่มีอารมณ์จะหัวเราะ แต่ถามกลับไปว่า “ทิวาราตรีหรือ”  

 

 

เด็กน้อยพยักหน้า “ก็คือดอกไม้พิสดารที่พวกเจ้าพูดถึง ในอดีตนายท่านให้ชื่อกับมัน เรียกมันว่าทิวาราตรี”  

 

 

“ชื่อนี้ช่างแปกลยิ่งนัก” ซื่อเหนียงพูด  

 

 

เด็กน้อยส่ายหน้า “ผิดแล้ว หากพวกเจ้าเข้าใจถึงคุณสมบัติพิเศษของพวกมัน ก็จะรู้ว่าชื่อทิวาราตรีนั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว ดอกไม้นี้ปัญหาเยอะ ไม่เพียงแต่ต้องดื่มเลือดบริสุทธิ์ของเจ้าของเป็นอาหารทุกวัน ยังเบ่งบานแค่เพียงช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เพิ่งลับขอบฟ้าและพระจันทร์ยังไม่ทันขึ้นเท่านั้น และจะคายน้ำแค่ตอนที่พระจันทร์ลับขอบฟ้าและพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น หยดน้ำค้างที่คายออกมานั้นมีฤทธิ์วิเศษ ในงานเทศกาลดอกไม้ปีนั้น ได้เอามันไปให้คนอื่นตีค่า จนทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างแย่งชิงกัน ใครจะไปรู้ในขณะที่เหล่าบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรต่างคลุ้มคลั่ง ท้องฟ้าก็เกิดเหตุอัศจรรย์ ดวงอาทิตย์ที่ควรลับลับฟ้าแล้วกลับยังอยู่ พระจันทร์เองก็ลอยขึ้น สุริยันจันทร์ปรากฏ ดอกทิวาราตรีได้รับพลังเหนือธรรมชาติ หันมาแว้งกัดเจ้าของของมัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หากไม่ใช่นายท่านใช้วิญญาณบริสุทธิ์ของตนเป็นตัวเหนี่ยวนำ ลำพังแค่ตราผนึกที่ข้าประทับมันไว้ มันก็คง…”  

 

 

พูดถึงตรงนี้ เด็กน้อยก็หยุดลง  

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรถามขึ้นโดยไม่รู้ตัว “จะเป็นเช่นใดหรือ”  

 

 

เด็กน้อยกวาดสายตามองผู้คนปราดหนึ่ง แล้วพูดขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “บรรลุสู่สวรรค์!”  

 

 

สี่คำนี้จี้ตรงจุด ทิ่มแทงกลางใจของผู้คนจังๆ   

 

 

ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรปัจจุบันนี้แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรที่สามารถบรรลุสู่ระดับถอดจิตได้นับว่าเป็นตำนานแล้ว การบรรลุสู่สวรรค์ นั่นคือภาพที่ไม่อาจจะจินตนาการได้   

 

 

ความรู้สึกรุนแรงอย่างหนึ่งเกิดขึ้นกลางใจของผู้คน หากไม่ใช่เพราะว่าดอกไม้พิสดารในเวลานี้ต้องการสูบเลือดบริสุทธิ์ของพวกเขาเพื่อที่จะได้บรรลุพลังอันวิเศษ ก็คงอยากจะเห็นกับตาจริงๆ ว่าคำว่าการบรรลุสู่สรวงสวรรค์นั้นเป็นเช่นใด  

 

 

ในขณะที่รู้สึกหดหู่ ก็ได้ยินเสียงเด็กน้อยพูดอย่างทอดถอนใจขึ้นว่า “ดอกทิวาราตรีมาถึงฤดูกาลเบ่งบานแล้ว เมื่อตะวันจันทรามาพบกัน มันก็จะกลายร่างโบยบิน ถึงเวลานั้นพวกเจ้าจะห้าม คงยากไม่น้อย”  

 

 

ผู้คนต่างหน้าซีด แล้วถ้าขึ้นพร้อมกันว่า “ไม่มีทางอื่นเลยหรือ”  

 

 

เด็กน้อยย่นคิ้วพูดขึ้นว่า “เว้นเสียแต่พวกเจ้าจะห้ามไม่ให้ตะวันจันทราพบกัน แล้วใช้ช่วงเวลานั้น ให้ข้าและดอกทิวาราตรีต่อสู้กันอีกครั้ง หากข้าชนะ มันก็จะถูกปิดผนึกอีกครั้งหรือไม่ก็สูญสลายไป แต่หากข้าแพ้ แล้วมันสามารถบรรลุได้ ที่แห่งนี้ก็จะมอดไหม้เหลือเพียงขี้เถ้า”  

 

 

บรรยากาศเงียบงันขึ้นมาทันใด   

 

 

นักพรตปี้เหลยใบหน้างดงามอ่อนเยาว์ น้ำเสียงก็สดใสกังวานราวกับเด็กหญิง “เจ้าเด็กนี่ พูดไปพูดมา สุดท้ายก็กลับมาที่เดิมไม่ใช่หรือ พวกเราลำบากยากเข็ญรวบรวมส้มโอมือสีทองทั้งเก้าปลุกเจ้าขึ้นมา ก็เพราะอยากถามเจ้าว่าจะห้ามไม่ให้สุริยันจันทรามาพบกันได้เช่นใด หากพวกข้ามีวิธี จะต้องมาหาเจ้าเพื่อการใด”  

 

 

เด็กน้อยหน้านิ่วคิ้วขมวด พูดขึ้นอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง “เจ้าพูดผิดแล้ว จะเรียกว่ากลับมาที่เดิมได้อย่างไร ข้ารู้วิธีห้ามไม่ให้สุริยันจันทรามาพบกันนะ แต่ว่าเรื่องนี้ยังต้องให้พวกเจ้าเป็นผู้ทำ เกรงว่าคงยากที่พวกเจ้าจะทำได้ อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าอาโส่ว ไม่ได้ชื่อว่าเจ้าเด็กนี่!”  

 

 

นักพรตปี้เหลยเม้มปาก เผยให้เห็นลักยิ้มคู่หนึ่ง “ถ้าเจ้าไม่บอก แล้วพวกข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่าว่าทำได้หรือไม่!”  

 

 

น้ำเสียงเจื้อยแจ้วเสียงหนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่ หากเพียงแค่ฟังโดยไม่ดู คงเข้าใจว่าเป็นเด็กสองคนกำลังทะเลาะกัน  

 

 

ผู้คนที่เหลือต่างสีหน้าอึดอัด  

 

 

คิดไม่ถึงว่าอาโส่วจะเต้นกระทืบเท้าพลางพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าจะบอกพวกเจ้า หากอยากจะห้ามสุริยันจันทราไม่ให้มาพบกันสิ่งแรกก็คือ ต้องหาจุดอ่อนของวงโคจรของตะวันและจันทรา นายท่านของข้ามีของวิเศษอย่างหนึ่ง ผังคำนวณเวหาทมิฬสามารถคำนวณหาจุดแห่งนั้นได้ เพียงแต่นายท่านกลายเป็นเถ้าถ่านตั้งนานแล้ว ผังคำนวณเวหาทมิฬไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด ใครจะไปรู้ได้เล่า กลัวว่ากว่าพวกเจ้าจะหาพบ สุริยันจันทราก็คงมาพบกันไปเรียบร้อยแล้วกระมัง”  

 

 

อาโส่วพูดเสียดสีผู้คน แต่ในใจเองก็รู้สึกเศร้า มันและดอกไม้พิสดารล้วนแต่เป็นพืชที่เจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักไป่ฮวาเพาะเลี้ยงด้วยใจ เพียงแต่มันได้หลับไหลไปกว่าหมื่นปี แต่ดอกไม้พิสดารได้ใช้ช่วงเวลาไม่กี่ปีที่มันตื่นขึ้นมาก่อนค่อยๆ สะสมพละกำลัง หากไม่สามารถหยุดตะวันจันทราให้มาพบกันได้ มันแม้แต่ความสามารถที่จะสู้สักครั้งก็ไม่มี  

 

 

นักพรตปี้เหลยยิ้มอ่อนหวานแล้วพูดขึ้นว่า “อาโส่ว ครั้งนี้เจ้าพูดผิดแล้วนะ ที่จริงไม่ได้มีเพียงแต่ผังคำนวณเวหาทมิฬของนายท่านเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถหาพบ พวกเราเอง ก็มีสหายที่คำนวณออกมาได้ตั้งนานแล้ว”  

 

 

พูดจบก็พลักตัวนักพรตเฟยหยางออกไป  

 

 

อาโส่วสีหน้าสงสัย “จริงหรือ”  

 

 

นักพรตเฟยหยางสีหน้าสงบนิ่ง สะบัดแขนเสื้อหนึ่งทีกระดานดาราก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ทันใดนั้นดวงดาวก็ส่องประกายระยิบระยับ แสงสีทองที่พาดเป็นแนวดูสะดุดตาอย่างมาก  

 

 

เขาเงยหน้าขึ้น แล้วใช้เรือนนิ้วเรียวยาวแตะลงไปบนที่แห่งหนึ่ง น้ำเสียงฟังดูเฉยๆ “น่าจะเป็นที่นี่”  

 

 

ตอนนี้ไม่อาจเทียบกับยุคโบราณได้ แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้บำเพ็ญเพียรในยุคนี้จะด้อยกว่า  

 

 

อาโส่วมองไปยังกระดานดารา น้ำเสียงดูแคลนลดน้อยลงอย่างมาก “สิ่งนี้ข้าดูไม่เข้าใจ ถ้าพวกเจ้าบอกว่าใช่ก็คงใช่แหละ อย่างไรเสียถ้าเกิดผิดขึ้นมา ก็คงถึงฆาตกันทั้งหมด เพียงแต่รู้แค่นี้นั้นยังไม่พอ หากคิดจะห้ามตะวันจันทราไม่ให้มาพบกัน ต้องใช้พลังต้นกำเนิดฟ้าดินเพื่อจะเปลี่ยนแนวโคจร”  

 

 

“พลังต้นกำเนิดฟ้าดินหรือ” ผู้คนมองกันไปมา  

 

 

อาโส่วพยักหน้า “ใช่แล้ว อันที่จริงพลังวิญญาณ พลังมาร หรือแม้แต่พลังปีศาจของพวกเจ้า ก็มีที่มาจากพลังต้นกำเนิดฟ้าดิน แต่จะให้ต้านทานแสงสุริยันจันทราโดยตรงนั้นเป็นไปไม่ได้”  

 

 

“เช่นนั้นแล้วต้องทำเช่นใด” ผู้คนถามขึ้น   

 

 

อาโส่วคิ้วขมวดแน่นราวกับคนแก่ สีหน้ากลัดกลุ้ม “เรื่องนี้ก็ยาก หากจะให้พลังเหล่านี้กลับคืนสู่พลังต้นกำเนิดฟ้าดิน จำเป็นต้องชำระให้บริสุทธิ์กลับคืนสู่ดั้งเดิม สำนักไป่ฮวามีของวิเศษประจำสำนักชิ้นหนึ่ง ชื่อว่าหม้อคืนสภาพ มีเพียงแต่ได้มันมา แล้วทำตามภาพที่สลักอยู่บนหม้อ แล้วใช้ประโยชน์ของมันแปลงพลังงานของพวกเจ้าคืนสู่พลังงานดั้งเดิม เพื่อให้วงโคจรของสุริยันจันทราเกิดการเปลี่ยนแปลง จากนั้นก็กลับคืนสู่วงโคจรเดิม”  

 

 

“นั่นก็หมายความว่า พวกเราต้องหาหม้อคืนสภาพให้พบสินะ” สื่ออิ่นถาม  

 

 

“อืม” อาโส่วคลึงแก้ม “ต้องหาหม้อคืนสภาพให้พบ ก่อนที่จะผ่านช่วงเวลาสุริยันจันทราเคลื่อนผ่าน”  

 

 

สื่ออิ่นมองไปยังนักพรตปี้เหลย “ถ้าเป็นเช่นนี้ ทุกท่าน พวกเราต้องกลับไปที่นั่น”  

 

 

“เรื่องราวจะช้าไม่ได้ พวกเรารีบไปกันเถอะ” นักพรตซิงหว่านรีบพูด  

 

 

ความคาดหวังเกิดขึ้นกลางใจของผู้คน นักพรตเฟยหยางคำนวณจุดอ่อนวงโคจรที่สุริยันจันทราจะมาพบกันออกมา หลายปีก่อนหน้านี้พวกนักพรตปี้เหลยยังค้นพบซากของสำนักไป่ฮวา หรือว่านี่จะหมายความว่า ฟ้ายังไม่ตัดหนทางรอดของผู้คน  

 

 

“ทุกท่านไปก่อนเถอะ ถ้าจะอยู่รอชิงเฉินที่นี่” นักพรตจื่อซีพูดออกมา  

 

 

นักพรตจื้อจั้นย่นคิ้วแล้วพูด “สหายจื่อซี ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะทำอะไรโดยใช้อารมณ์ นักพรตชิงเฉินหากไม่ได้เป็นอะไร สหายเซี่ยต้องพบนาง แล้วใช้ทานตะวันเพลิงสามกลีบคุ้มครองนางขึ้นมาแน่”   

 

 

นักพรตจื่อซีเลิกคิ้ว “พวกเจ้าไปหาหม้อคืนสภาพที่ซากสำนักไป่ฮวากัน ขาดข้าสักคนไม่เห็นต่างอะไร ลองให้ชิงเฉินขึ้นมาก่อน พวกข้าก็จะตามไปแล้วกัน”   

 

 

“เช่นนั้นก็ได้ เวลาจำกัด พวกข้าไปก่อนก้าวหนึ่ง” นักพรตจื้อจั้นกุมหมัดคำนับ  

 

 

นักพรตปี้เหลยตบไหล่นักพรตจื่อซี “สหายจื่อซี อย่าได้กังวลเกินไป สหายชิงเฉินไม่มีทางตกอยู่ในสภาพลำบากง่ายเช่นนั้น ปีศาจภูเขาที่เฝ้าพิทักษ์สำนักไป่ฮวานั้นรับมือได้ยาก พวกเราไปกันก่อนเถอะ”  

 

 

นักพรตจื่อซีเข้าใจถึงสภาพเร่งด่วนนี้ดี ทุกคนไม่สามารถรอมั่วชิงเฉินและเซี่ยหรันได้ตลอด จึงกุมหมัดคำนับ “ทุกท่านรักษาเนื้อรักษาตัวด้วย”  

 

 

ผู้คนกุมหมัดคำนับนักพรตจื่อซีแล้วจากไป   

 

 

และแล้วก็ได้ยินเสียงอาโส่วพูดขึ้นว่า “ข้าจะกลับเข้าไปในแหวน ไม่เช่นนั้นหากห่างจากน้ำ ดอกทิวาราตรีที่ควบคุมโลกดวงดาวไปกว่าครึ่งแล้วก็จะรู้ได้ทันที”  

 

 

กลายร่างเป็นลำแสงสีทองแทรกซึมลงในแหวน แหวนส่องแสงสว่างวาบหนึ่ง จากนั้นก็ลอยไปลงบนนิ้วของซื่อเหนียง  

 

 

ผู้คนต่างรู้สึกอิจฉา แต่ก็รู้ดีว่าแต่ละคนต่างมีวาสนาของตน พลันเร่งฝีเท้ารีบเดินทางไปยังซากปรักหักพังของสำนักไป่ฮวา  

 

 

ที่แห่งนั้นคือสำนักโบราณ ไม่แน่ว่าในระหว่างที่ค้นหาหม้อคืนสภาพ อาจจะได้พบอย่างอื่นด้วยก็ได้  

 

 

มั่วชิงเฉินออกมาจากสถานที่ที่เฮ่ออีหลังถูกสุ่ยหลิงหลงควบคุม ถึงได้พบว่าขาดการคุ้มครองจากทานตะวันสามกลีบของเซี่ยหรัน การเดินทางที่ก้นบึงยะเยือกลำบากอย่างยิ่ง  

 

 

พลังวิญญาณทั้งหมดของนางดูเหมือนว่าจะถูกดึงออกมาใช้ต้านทานความหนาวเหน็บ ถึงแม้กระนั้น รูขุมขนทั่วกายก็ยังถูกไอเย็นอุดปิด ก่อตัวขึ้นเป็นชั้นน้ำแข็งบางๆ ไอเย็นที่หนาวเหน็บถึงกระดูกเข้าสู่ปอด แม้แต่ลมหายใจที่พ่นออกมาเองก็กลายเป็นน้ำแข็งในทันที   

 

 

สภาพเช่นนี้ ได้แต่ค่อยๆ เดินหน้าไป นางกลัวอย่างมากกว่าหากไม่ทันระวังตัว ไอเย็นเหล่านั้นก็คงจะทำให้ตันเถียนแข็งตัวเสียหาย  

 

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร มั่วชิงเฉินรู้สึกชาขึ้นมาเล็กน้อย ปทุมหยกอริยะหอมที่อยู่กลางฝ่ามือทำทีเหมือนจะออกมา พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ใคร”  

 

 

คลื่นน้ำกระเพื่อมเป็นวง แสงไฟปรากฏขึ้น สะท้อนเงาร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่ง   

 

 

มั่วชิงเฉินนิ่งอึ้ง “เป็นเจ้าหรือ”  

 

 

เซี่ยหรันนับแต่ที่ควบคุมความคิดชั่วร้ายในใจไม่ได้จนล่วงละเมิดมั่วชิงเฉินเป็นต้นมา เมื่อได้พบกับมั่วชิงเฉินอีกครั้งก็ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับนางด้วยท่าทีเช่นใด เมื่อเห็นใบหน้าสีขาวของผู้อยู่เบื้องหน้าก็พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ไปกันเถอะ”   

 

 

มีดอกทานตะวันเพลิงสามกลีบคอยคุ้มครอง ความรู้สึกหนาวกว่าครึ่งก็ถูกขับไล่ไปโดยทันที ความเร็วในการแหวกว่ายขึ้นสู่ด้านบนเร็วขึ้นอย่างมาก  

 

 

ทั้งสองคนใช้เวลาสักพักในการขึ้นสู่ด้านบน แล้วพบว่าที่ริมบึงยะเยือกนั้นเหลือเพียงนักพรตจื่อซีผู้เดียว  

 

 

“ชิงเฉิน ในที่สุดเจ้าก็ขึ้นมาแล้ว หากพวกเจ้ายังไม่ขึ้นมาอีก ข้าก็คงจะลงไป” นักพรตจื่อเห็นทั้งสองคนปรากฏตัว ก็รู้สึกโล่งอก  

 

 

“แล้วพวกเขาเล่า” มั่วชิงเฉินพูดพลางงอเข่านั่งขัดสมาธิ หลับตาทั้งคู่ลง   

 

 

“พวกเขาไปที่ซากสำนักไป่ฮวาก่อน ทำไมหรือ เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ” นักพรตจื่อซีรีบเดินเข้าไป  

 

 

มั่วชิงเฉินหลับตาพูด “ในร่างกายมีพิษไอเย็น ให้ข้าใช้พลังวิญญาณขับมันไปสะกดเอาไว้สักมุมก่อน แล้วค่อยหาทางแก้ทีหลัง”  

 

 

ผ่านไปราวครึ่งชั่วยามมั่วชิงเฉินก็กดพิษไอเย็นลง ได้ยินนักพรตจื่อซีเล่าเรื่องการปรากฏตัวของส้มโอมือสีทองเก้าดวงใจ แล้วทั้งสามคนก็รีบออกเดินทางตามไปยังซากสำนักไป่ฮวา  

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี
Status: Ongoing
สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset