พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 572 แก่นห้วงฝันอบอุ่นขาดสะบั้น

ผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกถึงระดับก่อกำเนิด ถ้าร่างกายถูกทำลาย ทารกปราณก่อกำเนิดจะสามารถหนีออกมาทางกระหม่อมได้ จากนั้นค่อยทำการแสวงหาร่างใหม่แล้วบำเพ็ญเพียรใหม่ หรือไม่ก็เสาะหาสำนักบำเพ็ญเพียรพักพิง ค่อยฟื้นฟูวิญญาณเซียน

พูดได้ว่า หลังจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดถูกสังหาร เนื่องจากยังมีทารกปราณก่อกำเนิด จึงมีโอกาสรอดชีวิตมากกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับล่างหนึ่งครั้ง

ทว่า การที่ทารกปราณก่อกำเนิดสามารถหนีออกมาได้จริงๆ นั้น กลับมีเพียงหนึ่งในร้อย นี่ย่อมเป็นเพราะศัตรูผู้ลงมือต้องการตัดรากถอนโคน

เนื่องจากยังมิได้บำเพ็ญเพียงถึงระดับถอดดวงจิต ทารกปราณก่อกำเนิดที่ต้องสลัดหลุดออกจากร่างจึงอ่อนแอสุดๆ นอกเสียจากว่า พริบตาที่ร่างถูกทำลายนั้น มีคนรุดมาช่วยและจู่โจมศัตรูให้ล่าถอยไป หาไม่แล้วตอนทารกปราณก่อกำเนิดหนีออก จะถูกศัตรูพุ่งเข้าสังหาร

มั่วชิงเฉินนอนอยู่บนพื้น ทารกปราณก่อกำเนิดยังไม่หนีออกมา เพราะระดับบำเพ็ญเพียรของเจ้าปีศาจลั่วเฟิงนั้นไร้เทียมทาน หอกสีเขียวด้ามนั้นสุมไปด้วยความแค้นของเขา จึงผนึกทารกปราณก่อกำเนิดของมั่วชิงเฉินไว้ในร่างของนาง

แต่ตู้รั่วกลับนึกว่า นางซ่อนทารกปราณก่อกำเนิดไว้ในร่าง ไม่ให้ออกมา เลี่ยงไม่ให้จิตดั้งเดิมถูกทำลาย เพื่อคงพลังชีพเฮือกหนึ่งไว้

แม้เป็นเช่นนี้ แต่พอเห็นมั่วชิงเฉินนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหญ้า ตู้รั่วก็ยังคงรู้สึกเจ็บปวดดั่งถูกลูกศรหมื่นดอกปักทะลุหัวใจ

ขณะยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าปีศาจลั่วเฟิง ดวงตาทั้งสองข้างของตู้รั่วแดงก่ำ เสียงพูดหดหู่แหบแห้ง “ช่วยอาจารย์ข้า!”

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงยิ้มน้อยๆ พลางมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ที่จิตดวงหนึ่งของตนกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ แถมยังเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ด้วย

“ทำไมข้าต้องช่วยนาง” มุมปากเจ้าปีศาจลั่วเฟิงปรากฏรอยยิ้มยั่วล้อ

ความเย็นยะเยียบวาบผ่านแววตาตู้รั่ว เขากัดฟันพูด “เจ้ามิได้ต้องการจิตวิญญาณของข้าหรอกรึ ข้าให้เจ้าได้ แต่เจ้าต้องช่วยอาจารย์ข้าหาร่างใหม่ก่อน”

“ฮ่าๆๆ” เจ้าปีศาจลั่วเฟิงเลิกคิ้วหัวเราะ คิ้วและหางตากลิ้งกลอกสุดคณนา แต่กลับเยือกเย็นชนิดไร้ความรู้สึก “เจ้านึกว่าทารกปราณก่อกำเนิดของนางยังอยู่หรือ”

ตู้รั่วเพียงรู้สึกว่าหัวใจของตนถูกโจมตีอย่างหนัก ลำคอมีกลิ่นคาวโลหิต แล้วโลหิตก็ทะลักออกจากมุมปาก เสียงที่สั่นเทาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “เจ้า เจ้าหมายความว่าอะไร”

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนพูดอย่างไม่ยี่หระ “เมื่อข้าลงมือ ทารกปราณก่อกำเนิดของนางยัง

จะมีโอกาสออกจากร่างอีกหรือ”ตู้รั่วพลันก้าวถอยหลังไปหลายก้าวอย่างคนใจสลาย แล้วจึงจ้องมองเจ้าปีศาจลั่วเฟิงอย่างดุดันอยู่นาน ก่อนยิ้มเศร้าๆ

“ได้ ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าขอยอมกลายเป็นเถ้าธุลี ไม่ให้จิตของเจ้าสมบูรณ์ชั่วกัปชั่วกัลป์! ผู้ที่ขาดจิตหนึ่งดวงเยี่ยงเจ้า จะได้ไม่สามารถฟื้นฟูพลังไปจนถึงขีดสุดตลอดกาล หึๆ แล้วสักวันหนึ่ง ต้องมีคนแก้แค้นให้อาจารย์ข้าแน่!”

หลังพูดแต่ละคำจบพร้อมน้ำตาโลหิต ตู้รั่วก็ยกมือขึ้น เตรียมฟาดลงบนกระหม่อมตัวเอง

“เจ้ากล้า!” เจ้าปีศาจลั่วเฟิงแค่นเสียงเย็นชา “ถ้าเจ้ากล้าทำร้ายตัวเอง ข้าจะทำให้วิญญาณนางกระจัดพลัดพราย ไม่มีโอกาสกลับชาติไปเกิดใหม่ตลอดกาล!”

มือของตู้รั่วจึงหยุดอยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากกระหม่อมครึ่งนิ้ว เนิ่นนานกว่าจะปล่อยมือลงอย่างสิ้นหวัง จากนั้นก็จ้องมองเจ้าปีศาจลั่วเฟิงด้วยแววตาเคียดแค้นชิงชัง

โลหิตสดๆ ไหลลงจากรูปปากโค้งๆ ของเขา ผ่านตอหนวดเขียวๆ ที่คาง กลายเป็นโลหิตสายหนึ่ง

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงยืนนิ่ง มองดูคนตรงหน้า

ลำพังความสามารถของเขา ถ้าตู้รั่วเกิดทำลายจิตวิญญาณตนเอง เขาย่อมยับยั้งได้ทัน แต่หลังจากรวมร่างแล้ว จิตดวงนี้ไม่เต็มใจและอาฆาตแค้น ก็จะไม่เป็นผลดีกับเขา จึงต้องทำให้ตู้รั่วยินยอมถึงจะได้

คิดถึงตรงนี้ ก็ยิ้มน้อยๆ พลางว่า “เช่นนี้ก็แล้วกัน ข้ารับปากเจ้า แต่จิตวิญญาณเจ้าต้องกลับเข้าร่างข้าอย่างยินยอมพร้อมใจ ข้าจะไม่ถือสาเรื่องที่นางทำร้ายเรา แล้วให้โอกาสนางกลับชาติไปเกิดใหม่!”

ตู้รั่วกัดฟันกรอดๆ เขาประเมินความโหดเหี้ยมของเจ้าปีศาจต่ำจนเกินไป ที่แท้ มันมีเจตนาทำร้ายอาจารย์จนวิญญาณแตกสลาย!

จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ หลับตาทั้งสองข้างลงสักพัก ค่อยลืมตา แล้วพูดเน้นทีละคำ “ได้ ข้ารับปากเจ้า”

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงยกมุมปากขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มที่แท้จริง “ต้องเช่นนี้สิ”

ว่าแล้วก็ยื่นมือมาทางตู้รั่ว

“ช้าก่อน” ตู้รั่วตะโกน

“ทำไม เจ้าจะเอาอะไรอีก…เฮอะ อย่าทดสอบความอดทนของข้าเชียว” เจ้าปีศาจลั่วเฟิงหรี่ตาเตือน

ตู้รั่วเม้มริมฝีปาก ก่อนพูดอย่างเย็นชา “ข้าอยากบอกลาอาจารย์”

“ตามสบาย” เจ้าปีศาจลั่วเฟิงแย้มยิ้ม

ตู้รั่วไม่มองเจ้าปีศาจแม้แต่ปราดหนึ่ง มุ่งหน้าเข้าหามั่วชิงเฉิน

เขาอยากรีบไปให้ถึงข้างกายมั่วชิงเฉิน แต่ก็ไม่กล้ารับรองผลที่ตามมา ทุกก้าวเดินจึงหนักหน่วงยิ่ง แบกรับความเศร้าเสียใจถึงขีดสุด

ขณะมองหญิงสาวเสื้อเขียวนอนนิ่งๆ อยู่กลางพื้นหญ้า ผมดำสลวยแผ่กระจาย เผยให้เห็นหน้าผากอิ่มเอิบเนียนใส ดวงตาปิดลงทั้งสองข้าง ทว่าขนตาคล้ายกำลังสั่นน้อยๆ เหมือนคนกำลังหลับลึกอย่างไรอย่างนั้น

ตู้รั่วยังไม่ตายใจ จึงยื่นมือไปอังจมูกมั่วชิงเฉินดู สัมผัสที่เย็นยะเยียบทำให้เขาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ที่สุดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะจับมือมั่วชิงเฉินขึ้น พลางคร่ำครวญ “อาจารย์…”

สายลมพัดมา เส้นผมของทั้งสองปลิวไสว พันเข้าด้วยกัน เพียงแต่หนึ่งคนโศกเศร้าแทบขาดใจ อีกหนึ่งคน วิญญาณอันสวยงามขาดสะบั้น

ตู้รั่วเหลือบมองมั่วชิงเฉินอย่างลึกซึ้ง พลันยกมือขึ้น ฟาดใส่ท้องน้อยตนเอง

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงที่ยืนดูอยู่อย่างเย็นชาขยับร่างเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยืนอยู่ที่เดิม มิได้เข้าไปหยุดยั้ง

รู้สึกจุกเสียดจนยากบรรยาย แต่ตู้รั่วก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย อ้าปากออก เห็นแก่นทองคำลูกหนึ่งเป็นเงาตะคุ่ม เขาค่อยๆ ประคองครึ่งร่างของมั่วชิงเฉินขึ้นอย่างอ่อนโยน ออกแรงไปที่นิ้วมือ ง้างริมฝีปากไร้เลือดฝาดแต่แรกของนางออก แล้วโน้มตัวก้มศีรษะ

แก่นทองคำเคลื่อนที่อย่างคล่องแคล่ว จากปากของตู้รั่วค่อยๆ เข้าสู่ปากของมั่วชิงเฉิน

พริบตานี้ ในใจตู้รั่วไม่รู้สึกสุขหรือทุกข์ ในหัวสมองปรากฏภาพเป็นฉากๆ

ปีนั้น อาจารย์ผู้หนึ่งได้มาถึงหมู่บ้านดอกสาลี่ที่เงียบสงบ สอนพวกเขาให้รู้หนังสือ นั่งสมาธิ วันหนึ่งอาจารย์เมาเล็กน้อย เผลอหลับไป เด็กอย่างเขาแปลกใจ จึงคลี่ม้วนภาพวาดข้างกายอาจารย์ออกดู เซียนในภาพวาดงดงามจับจิตจับใจเด็กอย่างเขายิ่ง

ปีนั้น เขาเก็บรังไหมขนาดใหญ่จากทะเลได้รังหนึ่ง แล้วคนในภาพวาดก็ปรากฏตัวขึ้นจริงๆ มิหนำซ้ำยังกลายเป็นอาจารย์ของเขาอีก เขาจึงคิดว่า โลกนี้มีปาฏิหาริย์จริงๆ

ปีนั้น อาจารย์ลงโทษเขาให้ขุดบ่อกับสร้างบ้าน ผู้ที่มักกลั่นแกล้งผู้อื่นอย่างเขารู้สึกโกรธ แต่ไม่กล้าพูดออกมา ทว่าระดับบำเพ็ญเพียรกลับเลื่อนขึ้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

เขาเคยเห็นความสวยงามของเขาลั่วเถา และเคยเห็นความเรียบง่ายสบายๆ ของเขาลั่วเฉิน เคยเห็นบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ของเหอกวงเจินจวิน และเคยเห็นรักแท้อันเร่าร้อนของลั่วหยางเจินจวิน ยังเคยเห็นผู้คนที่โดดเด่นมากมาย เคยได้ยินข่าวประหลาดและเรื่องลับที่เต็มไปด้วยสีสัน

โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรอันลี้ลับนี้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่คุ้มค่าให้เขาไปสำรวจ เขาคิดว่า จะคอยติดตามอยู่ด้านหลังนาง ทำความรู้จักกับโลกทั้งใบ

ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าหย่อนยานแม้แต่น้อย อยากจะตามให้ทันฝีเท้านาง

กลับไม่คิดว่า ยามที่ก่อแก่นทองคำได้ คือยามที่ห้วงฝันขาดสะบั้นลง

แก่นทองคำค่อยๆ จมลงไปในปากของมั่วชิงเฉิน ริมฝีปากทั้งสองสัมผัสกันในที่สุด ล้วนเย็นยะเยือกสุดจะเปรียบ

“อาจารย์ ข้ามอบแก่นทองคำคืนให้กับท่าน อาจารย์ ขอโทษด้วย…” ตู้รั่วหลับตาลง น้ำตาหยดหนึ่งหยดลงบนแก้มมั่วชิงเฉิน

เขาวางร่างมั่วชิงเฉินลงบนพื้นหญ้าเบาๆ แล้วพลอยดึงหญ้าต้นหนึ่งมาที่ริมฝีปาก เสียงเพลงไม่รู้ชื่อดังขึ้น

ท่วงทำนองผ่อนคลายเริงร่า ในสายตาที่รางเลือน ตู้รั่วคล้ายมองเห็นหมู่บ้านดอกสาลี่ที่คุ้นเคย ที่นั่นมีอาจารย์ มีเพื่อนที่ไม่รู้จักกลัดกลุ้ม ยังมีบ้านที่พวกเขาสร้างเองกับมือ

ความจริงแล้ว ในใจเขา หมู่บ้านดอกสาลี่สวยงามกว่าเขาลั่วเถาอีก

บทเพลงพลันหยุดลง ตู้รั่วก้าวเข้าไปยืนตรงหน้าเจ้าปีศาจลั่วเฟิง พลางพูดเสียงเย็นชา “เจ้าเริ่มลงมือได้”

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ขณะมองหนุ่มน้อยผู้ดื้อด้านเย็นชา จึงยกมุมปากขึ้นก่อนถาม “เจ้าเสียแรงเปล่าไปทำไม แก่นทองคำของเจ้ารักษาศพนางไม่ให้เน่าเปื่อยได้ก็จริง แต่มันก็เป็นเพียงผิวหนังภายนอกเท่านั้น”

“หยุดพล่ามได้แล้ว ลงมือเถิด” ตู้รั่วพยายามไม่หันกลับไปมองคนบนพื้นดิน จึงหลับตาลง

แต่เจ้าปีศาจลั่วเฟิงกลับเหลือบตามองมั่วชิงเฉิน

นึกไม่ถึงจริงๆ ว่า นางหนูผู้นี้มีอิทธิพลต่อจิตหนึ่งดวงของตนมากเพียงนี้ หลังผสานร่าง ไม่รู้ว่า…

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงหัวเราะเย็นชา สามวิญญาณหกจิตของเขาอยู่ครบ หรือจะกดจิตดวงนี้ไว้ไม่อยู่

คิดถึงตรงนี้ เจ้าปีศาจลั่วเฟิงก็ไม่ลังเลอีก ค่อยๆ ยื่นมือออก จับกระหม่อมตู้รั่ว

พลังปราณสีดำสายหนึ่งค่อยๆ ลอยออกจากกระหม่อม เข้าไปในร่างเจ้าปีศาจลั่วเฟิงช้าๆ

ตู้รั่วที่สูญเสียจิตวิญญาณไป มิได้กลายเป็นศพที่ไม่มีเนื้อหนังมังสาแบบมนุษย์ แต่กลายเป็นแสงวิญญาณหลายดวง ค่อยๆ หายไปในอากาศ

พอจิตเข้าร่าง สามวิญญาณเจ็ดจิตก็กลับเข้าที่เดิม เจ้าปีศาจลั่วเฟิงรีบนั่งขัดสมาธิ เริ่มหลอมจิตวิญญาณเข้าด้วยกัน

และในตอนนี้เอง เสียงคมกริบเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “เจ้าคนชั่ว เจ้าฆ่านายข้า ข้าจะฆ่าเจ้าเอง!”

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงลืมตาขึ้นทันที เห็นแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งเข้ามาดุจดาวตก

เนื่องจากจิตวิญญาณยังไม่มั่นคงอยู่บ้าง พอแสงเกือบถึงตรงหน้า เจ้าปีศาจลั่วเฟิงถึงได้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า แสงสีดำสายนี้คืออีกา เพียงแต่อีกาตัวนี้มีขนหางยาวมาก ขนสีดำทั้งตัวกลับเปล่งแสงสีทองอ่อนๆ ที่พิเศษสุดกลับเป็นกรงเล็บของมัน ที่มีด้วยกันสามกรงเล็บ!

“อีกาทองสามขา!” เจ้าปีศาจลั่วเฟิงร้องเสียงหลง

ขณะทำการหลอมรวมจิตวิญญาณ จิตดั้งเดิมของเจ้าปีศาจลั่วเฟิงก็สูญเสียความสามารถในการควบคุมร่างกาย และชั่วขณะนั้น สามกรงเล็บของอีกาไฟก็จับเข้าที่ทรวงอกเจ้าปีศาจลั่วเฟิงอย่างแรง

แสงสว่างเจิดจ้า โลหิตสาดกระจาย

จิตวิญญาณเจ้าปีศาจลั่วเฟิงคืนกลับที่เดิมในพริบตา พอได้รับพลังในการควบคุมร่างกาย จึงโคจรพลังทั้งร่างโบกใส่อีกาไฟอย่างแรง

อีกาไฟร้อง “อ๊ากก” ออกมาคำหนึ่ง ก่อนเปลี่ยนเป็นแสงสีดำพุ่งชนผนังถ้ำ แล้วร่างก็รูดลงตามผนังถ้ำตกสู่พื้นดิน กลายเป็นอีกาอ้วนท้วนเหมือนเดิม พร้อมลมหายใจรวยริน

ในถุงอสูรวิญญาณ หมาป่าน้อยกับเขาน้อยดิ้นรนอย่างคลุ้มคลั่งจากกับดักที่อีกาไฟใช้มัดพวกมันไว้ แต่กลับดิ้นไม่หลุดจากการมัดของวงแหวนพันธนาการอสูร

เขาน้อยถลึงตามอง น้ำตาบริสุทธิ์พรั่งพรูไม่หยุด

“หมาป่าน้อย ทำอย่างไรดี นายท่านตายแล้วจริงหรือ ทำไมพี่หญิงอู๋เย่ว์ไม่ให้เราออกไปเล่า”

หมาป่าน้อยเม้มปากแน่น ดวงตาสีโลหิตกะพริบพร้อมพายุกระหายโลหิตเย็นยะเยียบ

มันย่อมรู้ว่าเหตุใดอู๋เย่ว์ถึงทำเช่นนี้ มัดพวกมันไว้ในถุงอสูรวิญญาณ จะได้ไม่ถูกเจ้าปีศาจสังหาร

ทว่าอู๋เย่ว์มีสิทธิ์อะไรมาทำเช่นนี้ ตนก็เป็นสัตว์วิญญาณของนายท่านเหมือนกัน ตนยินยอมพุ่งออกไปแล้วสู้แค่ตาย!

หมาป่าน้อยก้มหน้า พยายามกัดวงแหวนพันธนาการอสูรสุดฤทธิ์ ปล่อยให้โลหิตหลั่งไหลจากแรงกัดอย่างไม่เสียดาย

“ข้าช่วยเจ้าได้” ดอกเบญจมาศแดง หนึ่งเดียวที่ไม่ถูกอู๋เยว์ใช้วงแหวนพันธนาการอสูรจับมัดไว้ ก้าวออกมาพูดอย่างระมัดระวัง

นอกกระเป๋าสัตว์อสูร เจ้าปีศาจลั่วเฟิงค่อยๆ ยืนขึ้น หรี่ตามองอู๋เย่ว์ “สมควรตาย…คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า ข้าจะถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดกับสัตว์วิญญาณของนางทำให้บาดเจ็บถึงสองครั้งได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ลงนรกไปพร้อมกับนายเจ้าเถอะ!”

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี
Status: Ongoing
สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset