พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 205 เจ้าสำนักมาฟ้อง

นักพรตจื่อซีพูดจบ ก็จ้องมองกู้หลี

 

 

กู้หลีกลับเพียง ‘เอ่อ’ เสียงหนึ่งอย่างนิ่งเรียบ จากนั้นโบกแขนเสื้อสีเทาอันกว้างใหญ่ เบื้องหน้าก็ปรากฏโต๊ะไม้เก้าอี้ไม้ไผ่ขึ้น แล้วพูดกับนักพรตจื่อซีและนักพรตหมิงจ้าวว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่สาม นั่ง”

 

 

นักพรตจื่อซีนั่งลงเต็มก้นอย่างไม่เกรงใจ แล้วยื่นมือออกมา “ศิษย์น้องเหอกวง ครั้งก่อนมาเจอศิษย์หลานชิงเฉินเข้าโดยบังเอิญ เด็กคนนั้นก็ช่างรู้เรื่อง มอบสุราชั้นดีให้ข้าหลายขวดน้ำเต้าด้วยความกตัญญู รสชาติช่างไม่เลวจริงๆ เพียงแต่น่าเสียดายอาจารย์ท่านได้กลิ่นสุราเข้า ถูกเอาไปหมดเลย แค่กๆ ศิษย์น้องเหอกวงเอ๋ย เจ้าลองดูว่าให้ศิษย์พี่อีกสักหลายสิบขวดได้หรือไม่?”

 

 

หลายสิบขวด?

 

 

แม้แต่กู้หลีก็มือสั่นทีหนึ่ง แล้วถึงเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ที่เหอกวงนี่ไม่มีสุราชั้นดีแล้ว”

 

 

นักพรตจื่อซีค้อนให้ควักใหญ่ “ใครจะเชื่อน่ะ ศิษย์น้องเหอกวง ไม่ใช่ข้าว่าเจ้านะ เจ้าอะไรก็ดีไปซะหมด มีเพียงเรื่องสุราที่ใจแคบเกินไปหน่อย อาจารย์ยังพูดเลยว่า สุราชั้นดีเช่นนี้ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะแอบไว้ซ่อนไว้ตลอด ไม่รู้จักเอาไปแสดงความกตัญญูต่อท่าน กลับไปต้องตักเตือนเจ้าเสียหน่อย ยังดีที่ได้ศิษย์พี่ข้ารั้งไว้ ศิษย์น้องเอ๋ยไหนๆ สุรานั่นศิษย์เจ้าเป็นคนหมักนี่นา เจ้าจะเอาเท่าไรก็มีเท่าไรมิใช่หรือ”

 

 

ฝีปากฉะฉานของนักพรตจื่อซีกู้หลีได้รับการสอนสั่งมาตั้งนานแล้ว ยามนี้จึงเอ่ยอย่างไม่กระโตกกระตากว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ก็รู้ ชิงเฉินนางเพิ่งกลับสำนักไม่นานก็ไปโถงลงทัณฑ์แล้ว เหอกวงยังไม่ทันได้หาศิษย์ขอสุราดื่มเลย”

 

 

นักพรตจื่อซีหยิบผลไม้ทิพย์ผลหนึ่งติดมือขึ้นมาช่างๆ ดู แล้วยิ้มว่า “ศิษย์หลานชิงเฉินโชคไม่ดีจริงๆ อยู่ดีๆ ต้องเดือดร้อนเพราะนางหนูหรวนนั่น เพิ่งกลับมาก็ถูกขังในโถงลงทัณฑ์เสียแล้ว”

 

 

กู้หลียิ้มแผ่วเบา “โถงลงทัณฑ์แม้ลำบาก กลับใช่ว่าไม่เป็นการขัดเกลาชนิดหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นนี่เพียงแค่ไม่กี่เดือนก็ออกมาแล้ว”

 

 

นักพรตจื่อซีจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา “นึกไม่ถึงว่าศิษย์น้องเหอกวงจะเข้มงวดกับศิษย์ถึงเพียงนี้ มิน่าศิษย์หลานชิงเฉินจึงโดดเด่นถึงเพียงนี้ ด้วยตบะระดับสร้างรากฐานระยะกลางอันกระจ้อยร่อย ก็สามารถบำเพ็ญเพียรอย่างลำเค็ญในถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดได้แล้ว”

 

 

“อะไรนะ?” ใบหน้าสงบเหมือนสายลมพัดผ่านเบาๆ ของกู้หลีในที่สุดก็ปรากฏความประหลาดใจขึ้นสายหนึ่ง

 

 

นักพรตหมิงจ้าวร้อนใจจนขยิบตาให้นักพรตจื่อซีติดๆ กัน นักพรตจื่อซีกลับไม่ได้สังเกต ปิดปากเอ่ยอย่างอารมณ์เสียว่า “เอ๊ะ อาจารย์ไม่ได้บอกศิษย์น้องเหอกวงว่าศิษย์หลานชิงเฉินและศิษย์หลานเทียนหยวนถูกขังในถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดด้วยกันหรือ?”

 

 

กู้หลีเม้มปากแน่น นัยน์ตามืดมน

 

 

“ศิษย์หลานชิงเฉินเพิ่งถูกปล่อยออกมา ก็รับคำสั่งของศิษย์น้องเจ้าสำนักไปจัดการนางหนูน้อยนิกายเหอกวงกลุ่มนั้นแล้ว ก็ไม่รู้ว่ายามนี้เหตุการณ์เป็นเช่นไรแล้ว…” นักพรตจื่อซีเอ่ยพลางกัดผลไม้ทิพย์คำหนึ่ง เมื่อน้ำผลไม้ไหลเข้าท้อง แล้วอดหรี่ตาขึ้นอย่างพึงพอใจไม่ได้

 

 

ทันใดนั้นกู้หลีก็ลุกขึ้นยืน

 

 

นักพรตหมิงจ้าวตกใจแทบกระโดด รีบเด้งขึ้นมาทันทีว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้า เจ้าอย่างวู่วามเชียว การ ‘เยือนสำนัก’ สำนักที่ถูกท้า ไม่มีเหตุผลที่ผู้อาวุโสจะออกไป!”

 

 

นี่นับว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่รู้กันของการเยือนสำนักแล้ว สำนักหนึ่งมุ่งหน้าไปท้ารบอีกสำนักหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรที่เขตแดนสูงกว่าศิษย์ที่ถูกท้าหนึ่งเขตแดนใหญ่ของสำนักนั้นไม่อาจปรากฏตัวได้ แม้ชมการรบก็ไม่ได้

 

 

สาเหตุง่ายมาก การปรากฏตัวของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงคนหนึ่ง เห็นชัดว่าจะสร้างแรงกดดันด้านจิตใจอย่างใหญ่หลวงให้ศิษย์ของฝ่ายตรงข้าม

 

 

กู้หลีนิ้วมือพลิ้วไหว ปราณวิญญาณปรากฏขึ้นรางๆ ที่ปลายนิ้ว จากนั้นแสงวิญญาณสายหนึ่งซัดไปทางป่าไผ่ แล้วยิ้มนิ่งเรียบให้นักพรตหมิงจ้าว “ศิษย์พี่สามเข้าใจผิดแล้ว เพียงแต่มีคนแตะถูกเขตอาคมของป่าไผ่ เหอกวงเปิดผนึกเขตอาคมออกเท่านั้น”

 

 

นักพรตหมิงจ้าวยิ้ม นั่งลงอย่างกระอักกระอ่วน ทว่าก้นยังไม่ทันนั่งนิ่ง ก็ต้องเด้งขึ้นมาอีก

 

 

เห็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งในชุดดำแขนกว้าง ด้านหน้าหน้าอกประทับสัญลักษณ์พรรคเหยากวงเมฆมงคลติดกันสามก้อนเดินสวบๆ เข้ามา คือเจ้าสำนักนักพรตฟางเหยานั่นเอง ด้านหลังยังมีศิษย์ผู้ดูแลตามมาด้วยคนหนึ่ง

 

 

“ศิษย์พี่ (ศิษย์น้อง) เจ้าสำนัก” พวกกู้หลีสามคนเอ่ยทักทายพร้อมกัน

 

 

นักพรตฟางเหยาเห็นพวกนักพรตจื่อซีสองคนอยู่นี่ก็ชะงักแผ่วเบาทีหนึ่ง จากนั้นเบือนสายตาไปที่กู้หลี “ศิษย์น้องเหอกวง”

 

 

กู้หลียื่นมือออกว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนักเชิญนั่ง”

 

 

นักพรตฟางเหยาสะบัดแขนเสื้อแล้วนั่งลง จากนั้นว่า “ศิษย์น้องเหอกวง วันนี้ข้ามาหาเจ้า เพราะเรื่องของศิษย์หลานชิงเฉิน”

 

 

กู้หลียิ้มว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนักเกรงใจเกินไปแล้ว อุตส่าห์มาบอกข้าด้วยตนเอง เรื่องที่ศิษย์ข้าถูกปล่อยออกมาศิษย์พี่จื่อซีได้บอกข้าแล้ว”

 

 

นักพรตฟางเหยากระตุกหนังหน้าทีหนึ่ง ฝืนยิ้มว่า “ที่ข้าพูดถึงคืออีกเรื่องหนึ่ง”

 

 

“เอ่อ คือเรื่องที่บัดนี้ศิษย์ข้ากำลังประมือกับศิษย์นิกายเหอฮวนใช่หรือไม่ เรื่องนี้ศิษย์พี่จื่อซีก็พูดถึงแล้วเช่นกัน ที่แท้คือศิษย์พี่เจ้าสำนักไม่วางใจพลังความสามารถของศิษย์ข้า…” กู้หลีเข้าใจขึ้นมาในทันใด

 

 

นักพรตฟางเหยาหน้าบึ้งแล้วจริงๆ “ไม่ใช่เรื่องนี้!”

 

 

กู้หลีชะงัก ใบหน้าที่สดใสในที่สุดก็ปรากฏความสงสัยขึ้นสายหนึ่ง “เป็นอันใดหรือ หรือว่าศิษย์พี่เจ้าสำนักมิได้มาเพราะห่วงใยสถานการณ์การ ‘เยือนสำนัก’ หรือ?”

 

 

นักพรตฟางเหยากัดฟันแล้วว่า “แน่นอนไม่ใช่!” พูดถึงตรงนี้จู่ๆ ก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ สูดหายใจเข้าอึดหนึ่งอย่างแรงถึงเอ่ยว่า “เรื่อง ‘เยือนสำนัก’ เกี่ยวข้องถึงหน้าตาของเหยากวงข้า ศิษย์พี่ในฐานะเจ้าสำนักเหยากวงจะไม่ห่วงใยได้อย่างไร! เพียงแต่ข้ามาครั้งนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งจะขอคำปรึกษาศิษย์น้องเหอกวง”

 

 

“ศิษย์พี่เจ้าสำนักเชิญกล่าว” กู้หลีมองดูสีหน้าที่บึ้งขึ้นเรื่อยๆ ของนักพรตฟางเหยา ในใจจู่ๆ ก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นสายหนึ่ง หรือว่า…ศิษย์ของตนนั่นก่อเรื่องอีกแล้ว?

 

 

เอ่อ ชิงเฉินนางค้อมต่ำเชื่อฟังมาตลอด ในฐานะอาจารย์ตนจะใช้คำว่า ‘อีก’ ได้เช่นไรกันนะ กู้หลีรีบทิ้งการเดานี้ทิ้งไป รู้สึกผิดเล็กน้อย

 

 

กลับได้ยินนักพรตฟางเหยาเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ศิษย์หลานชิงเฉินระเบิดถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดในโถงลงทัณฑ์ทิ้งแล้ว ศิษย์น้องเหอกวง เจ้าว่าเรื่องนี้จะแก้ไขเช่นไร? หืม? ศิษย์น้องเหอกวง?”

 

 

เป็นครั้งแรก ที่นักพรตฟางเหยาพบว่าบนใบหน้าศิษย์น้องที่จิตใจเปิดเผย อ่อนโยนใจเย็นมาตลอดผู้นี้ปรากฏสีหน้างงเป็นไก่ตาแตก

 

 

นักพรตจื่อซีที่อยู่ข้างๆ ยิ่งเกินจริง มือที่ถือผลไม้ทิพย์คลายออก ผลไม้ทิพย์หล่นใส่เท้าของนักพรตหมิงจ้าวเข้าพอดี

 

 

นักพรตหมิงจ้าวตกใจสะดุ้งโหยง กลับเป็นคนแรกที่ได้สติกลับมา “อะ…อะไรนะ ศิษย์หลานชิงเฉินระ…ระเบิดถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดแล้ว?”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณผู้ทรงเกียรติถึงกับตกใจจนติดอ่างขึ้นมา

 

 

นักพรตจื่อซีเม้มปากแน่น สีหน้าประหลาดมาก เพียงชั่วครู่ในที่สุดก็ทนไม่ไหวหัวเราะลั่นขึ้นมา “ศะ…ศิษย์น้องเหอกวง เจ้าช่างสายตาไม่เหมือนใครจริงๆ รับศิษย์หัวแก้วหัวแหวนเช่นนี้ไว้ น่าเสียดาย น่าเสียดายไยข้าถึงไม่พบให้เร็วกว่านี้ก้าวหนึ่งนะ”

 

 

นักพรตหมิงจ้าวเห็นด้วยติดๆ กันว่า “ก็ถูก ศิษย์หลานชิงเฉินมีท่วงท่าของศิษย์พี่ใหญ่สมัยเยาว์วัยจริงๆ”

 

 

นักพรตฟางเหยาสีหน้ายิ่งบึ้งขึ้นแล้ว ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าอะไรเรียกว่าคานบนไม่ตรงคานล่างย่อมบิดเบี้ยวแล้ว

 

 

ผ่านไปครึ่งค่อนวันกู้หลีถึงกลับมามีสีหน้าปกติ มองนักพรตฟางเหยาแล้วว่า “ไม่ทราบความหมายของศิษย์พี่เจ้าสำนักคือ?”

 

 

นักพรตฟางเหยาแสยะมุมปากว่า “เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ย่อมต้องรายงานท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งอยู่แล้ว”

 

 

“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งระยะนี้กักตนติดๆ กัน ต้องหนักใจเพราะเรื่องพวกนี้ตลอดคงไม่ค่อยดีกระมัง ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมห้องน้ำแข็งหมายเลขแปดก็ปล่อยให้เหอกวงเป็นคนออก ท่านว่าเป็นเช่นไร?” กู้หลีถามขึ้น

 

 

นักพรตฟางเหยาส่ายหน้า “ศิษย์น้องเหอกวงพูดได้พิกลนัก ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมปล่อยให้เจ้าออกนั่นเป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว ทว่าหากต่อไปศิษย์เอาเป็นเยี่ยงอย่าง วันนี้ระเบิดโถงลงทัณฑ์เสีย พรุ่งนี้เผาโถงรับแขกเสีย แล้วค่อยล้วงหินวิญญาณออกมาซ่อม เช่นนั้นมิเสียระเบียบแย่หรอกหรือ”

 

 

นักพรตจื่อซีทำสีหน้าจริงจังแล้ว เหล่ไปที่นักพรตฟางเหยาว่า “ศิษย์น้องเจ้าสำนัก เจ้าจะเอาเช่นไรกันแน่พูดมาเถอะ”

 

 

นักพรตฟางเหยาดูเหมือนเกรงกลัวนักพรตจื่อซีพอสมควร ถึงเอ่ยว่า “ศิษย์น้องเหอกวงว่าเช่นนี้เป็นอย่างไรบ้าง บัดนี้ศิษย์หลานชิงเฉินกำลังสู้กับนิกายเหอฮวนอยู่ หากนางสามารถชนะเจ็ดคนตามลำพัง เช่นนั้นก็ถือว่าทำคุณถ่ายโทษ เรื่องที่ผ่านมาไม่สืบสาวราวเรื่องอีก หากหลังจากนางสู้ชนะสามคนแล้วพลังวิญญาณไม่พอจำเป็นต้องให้คนอื่นออกศึก หรือว่ายังไม่ชนะสามคนก็พ่ายแพ้ เช่นนี้เรื่องนี้ยังคงต้องรบกวนท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งตัดสินใจอยู่ดีเป็นเช่นไร?”

 

 

กู้หลีเม้มปาก เอ่ยเนิบๆ ว่า “ก็ตามที่ศิษย์พี่เจ้าสำนักว่ามา ทว่าสั่งสอนไม่เข้มงวดเป็นความผิดของอาจารย์ หากว่ารบกวนไปถึงท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่ง มีการลงโทษอันใดเหอกวงจะขอรับโทษพร้อมศิษย์ไม่รักดีด้วย”

 

 

“หึๆ ศิษย์น้องเหอกวงช่างรักศิษย์ยิ่งนัก” นักพรตฟางเหยาพูดพลางหันหน้าไปเอ่ยกับศิษย์ผู้ดูแลที่อยู่ด้านหลังว่า “ส่งสารบอกเรื่องนี้แก่ศิษย์ผู้ดูแลที่อยู่ที่เชิงเขา ให้บอกต่อศิษย์หลานชิงเฉิน ถือโอกาสถามสถานการณ์ว่าเป็นเช่นไรแล้ว”

 

 

“ขอรับ!” ศิษย์ผู้ดูแลด้านหลังยกมือโยนยันต์ส่งสารออกไปแผ่นหนึ่ง ไม่นานนักก็มีคลื่นพลังวิญญาณส่งมา ยันต์ส่งสารแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ

 

 

ศิษย์คนนั้นใช้จิตตระหนักกวาดยันต์ส่งสารนั่นทีหนึ่ง สีหน้าประหลาดขึ้นมาในทันใด

 

 

“เป็นอันใดหรือ?” นักพรตฟางเหยาถามขึ้น

 

 

กู้หลีก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไม่คาดคิด เขาไม่ได้กลัวว่าศิษย์ของตนพ่ายแพ้แล้วหรอกนะ หากแต่กลัวว่านางหนูนั่นจะก่อเรื่องอะไรที่จบไม่สวยขึ้นมาอีก

 

 

เมื่อนึกถึงนางอยู่ในถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดมาหลายเดือน ในใจก็บีบรัดคราหนึ่ง

 

 

ศิษย์ผู้ดูแลตอบว่า “เรียนท่านอาจารย์อาเจ้าสำนัก ศิษย์น้องมั่วชนะติดกันสามคนแล้วขอรับ”

 

 

นักพรตฟางเหยาขมวดคิ้ว “เมื่อเป็นเช่นนี้ ไยเจ้าถึงทำสีหน้าเช่นนั้น?”

 

 

ศิษย์ผู้ดูแลมุมปากกระตุกแล้วกระตุกอีก ถึงว่า “ยันต์ส่งสารของศิษย์น้องที่เชิงเขาบอกว่า ศิษย์สามคนทางนิกายเหอฮวนนั้นจุดจบค่อนข้าง…อนาถขอรับ”

 

 

นักพรตฟางเหยาหนักใจขึ้นทันที “หรือว่าเกิดอันตรายถึงชีวิตแล้ว?”

 

 

เรื่องก่อนหน้านี้ยังนับว่าเรื่องเกิดเพราะมีสาเหตุพอให้อภัยได้ หากเกิดเรื่องถึงชีวิตขึ้นอีก พรรคเหยากวงและนิกายเหอฮวนทีนี้ก็นับว่าผูกความแค้นกันแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ

 

 

ศิษย์ผู้ดูแลส่ายหน้าว่า “ไม่ ไม่ขอรับ เพียงแต่ศิษย์คนที่หนึ่งถูกศิษย์น้องใช้กลีบบุปผาที่เกิดจากปราณกระบี่กรีดแผลนับไม่ถ้วนเหมือนมีดกรีด ได้เจ็บปวดจนหมดสติไปแล้ว ศิษย์คนที่สองหลังจากถูกศิษย์น้องกำราบยังคิดจะจู่โจม ถูกศิษย์น้องมั่วใช้ก้อนอิฐตบไปทีหนึ่ง ก็ถูกตบสลบแล้วเช่นกัน ศิษย์คนที่สามถูกตาข่ายเถาวัลย์ที่ศิษย์น้องมั่วปล่อยออกมาคลุมไว้แล้วแขวนบนต้นไม้ บัดนี้การประลองได้หยุดลงชั่วคราว ศิษย์นิกายเหอฮวนกำลังยุ่งอยู่กับการช่วยศิษย์คนนั้นลงมาขอรับ น่าสงสารที่ศิษย์คนนั้นยังใส่กระโปรงด้วยน่ะขอรับ…”

 

 

พูดถึงตรงนี้รู้ตัวว่าพลั้งปาก จึงรีบหยุดทันที แล้วมองพวกอาจารย์อาด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสี่ท่านกลับเงียบลงพร้อมกัน

 

 

ใต้เชิงเขา ศิษย์พรรคเหยากวงอารมณ์ยิ่งนานยิ่งตื่นเต้น โดยเฉพาะศิษย์ชายทั้งหลาย ต่างจ้องมองนักบำเพ็ญหญิงชุดเหลืองที่แขวนอยู่บนต้นไม้คนนั้น

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนสองคนกำลังใช้กระบี่บินตัดตาข่ายเถาวัลย์สีเขียว ร้อนใจอยู่กับการช่วยศิษย์ร่วมสำนักลงมา

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากมองอยู่ สีหน้าสงบราบเรียบ กลับฉวยโอกาสที่ผู้คนต่างสนใจด้านนั้นแอบกลืนโอสถเติมวิญญาณเข้าไปกำหนึ่ง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสามคนนี้ตบะพอฟัดพอเหวี่ยงกับนาง แม้ตนอาศัยการควบคุมพลังวิญญาณที่ละเอียดอ่อน เคล็ดกระบี่อันโดดเด่น บวกกับประสบการณ์รบจริงที่ล้นหลาม จิตตระหนักยังสูงกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน ชนะสามคนติดกันอย่างสบายๆ ทว่ากลับเผาผลาญพลังวิญญาณอย่างน่าตกใจ

 

 

เคล็ดกระบี่ต้องผลาญพลังวิญญาณมากกว่าอาวุธเวทและการใช้พลังวิญญาณเร่งเมล็ดพันธุ์ให้กลายเป็นคาถามาก

 

 

ต่อจากนี้หากเปลี่ยนคนก็ช่างเถอะ ทว่าหากคิดจะสู้ต่อไป ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนพวกนั้นไม่มีทางให้นางมีโอกาสเติมพลังวิญญาณหรอกนะ

 

 

ในเมื่อพวกนางไม่ให้ ก็ว่าไม่ได้ที่ตนได้แต่สร้างความยุ่งยากให้พวกนางเล็กน้อยเพื่อช่วงชิงเวลาแล้ว

 

 

มองผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเหลืองในตาข่ายยักษ์อีกปราดหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเอาศีรษะลงขาชี้ฟ้าถูกกักอยู่ในตาข่ายยักษ์อย่างแน่นหนา กระโปรงเลื่อนลงไป กางเกงขายาวแนบตัวผ้าต่วนสีเหลืองบางข้างในก็เลื่อนลงมาเช่นกัน เผยให้เห็นขาอ่อนขาวจั๊วะท่อนใหญ่

 

 

เหตุการณ์สุดจะควบคุมได้ ไม่ใช่ข้าชั่วร้ายจริงๆ นะ!

 

 

มั่วชิงเฉินเบือนหน้าไป คิดอย่างเงียบๆ

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset