พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 121

รบอสูรชั้นสอง

 

 

 

งูเขียวขนาดเท่าปากชามตัวหนึ่งขู่ฟ่อๆ เลื้อยมาตามทิศทางที่มั่วชิงเฉินอยู่ด้วยความเร็วยิ่ง เสียงเกล็ดที่ท้องเสียดสีกับพื้นทำให้คนขนลุกซู่

 

 

“อสูรปีศาจชั้นสอง!” มั่วชิงเฉินหันหลังหนีโดยไม่ลังเล

 

 

อสูรปีศาจชั้นสองเท่ากับระดับสร้างรากฐานระยะต้นในมนุษย์ แม้อสูรปีศาจในชั้นนี้เนื่องจากยังไม่เปิดผนึกปัญญาวิญญาณ ได้แต่จู่โจมตามสัญชาตญาณ กำลังความสามารถอ่อนกว่าผู้บำเพ็ญเพียรในระดับสร้างรากฐานระยะต้นสักหน่อย ทว่าก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรในระดับหลอมลมปราณจะรับมือได้

 

 

หากพูดว่ามั่วชิงเฉินเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณขั้นสมบูรณ์ ยังมีกำลังลองสักตั้ง กระทั่งสามารถเอาชนะ ทว่าต่อหน้าอสูรปีศาจระดับสร้างรากฐานแล้ว นางนอกจากหนีก็ไม่มีทางเลือกอื่น

 

 

มั่วชิงเฉินเสกคาถาเหยียบลมหนีไปข้างหน้า อีกาไฟกระพือปีกบินสู่ด้านบน

 

 

ทว่าไม่นานนัก มั่วชิงเฉินก็เลิกล้มที่จะวิ่งหนี ด้านหนึ่งโยนยันต์ตั้งใหญ่ออกมาขัดขวางงูเขียว อีกด้านหนึ่งปลุกอาวุธเวทรูปชามอย่างรวดเร็วแล้วครอบตนไว้ภายใน

 

 

ตาสีเขียวมัวของงูเขียวจ้องมั่วชิงเฉินที่หยุดลงกะทันหัน ส่งเสียงฟ่อๆ อย่างโกรธเคือง

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากแน่น สีหน้าซีดเซียว จิตใจกลับสงบลง

 

 

ในป่าทึบแห่งนี้ ไม่ใช่ที่ที่ดีในการวิ่งหนีจริงๆ โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณเช่นนาง ไม่มีพลังในการเหยียบสิ่งของโบยบิน ความเร็วของการวิ่งด้วยคาถาเหยียบลมเทียบกับอสูรปีศาจชั้นสองแล้วห่างกันไกล หากตนวิ่งต่อไปมีแต่จะถูกไล่ทัน แผนในบัดนี้ มีเพียงเสี่ยงชีวิตสู้กันสักตั้ง อาจยังมีโอกาสรอดชีวิตบ้าง!

 

 

งูเขียวนี้แม้ยังไม่เปิดผนึกปัญญาวิญญาณ กลับไม่ใช่สิ่งที่อสูรธรรมดาจะเทียบได้ เห็นสิ่งมีชีวิตที่ไล่อยู่หยุดลงกะทันหัน กลับรู้สึกแปลก มันยกครึ่งตัวบนขึ้นสูง หัวงูยื่นๆ หดๆ ดูเหมือนกำลังคิดอยู่ว่าสิ่งมีชีวิตนี้มีกระบวนท่าลับอะไรใช่หรือไม่

 

 

มั่วชิงเฉินจ้องกับงูเขียวด้วยสีหน้าเย็นชา มือหนึ่งกลับแอบเสกคาถาโบกค่ายธง ปลุกค่ายกลเงียบๆ

 

 

เพียงแต่นางด้านหนึ่งปลุกค่ายกล ด้านหนึ่งบังคับอาวุธเวทรูปชาม พลังจึงไม่ได้ดั่งใจอยู่บ้าง จึงไม่ทันได้เสกประเภทคาถาพันไม้แล้ว ได้เพียงหวังว่างูเขียวนี่จะงงนานอีกสักนิด ให้เวลานางเพียงพอในการวางค่ายกล

 

 

อาจเพราะสัญชาตญาณของอสูรปีศาจรู้สึกว่าสิ่งมีชีวิตตรงหน้ากำลังคิดแผนชั่วไม่เป็นผลดีต่อมัน งูเขียวไม่ครุ่นคิดอีกแล้ว ขู่ฟ่อหนึ่งทีแล้วฟาดหางไปที่มั่วชิงเฉิน

 

 

เสียงดังผลัวะหนึ่งเสียง หางหูกวาดผ่านอาวุธเวทรูปชาม แสงวิญญาณพรั่งพรู มั่วชิงเฉินตัวสั่นเทา พลังวิญญาณในกายยิ่งพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่งค้ำชูอาวุธเวทไว้

 

 

งูเขียวเห็นสิ่งมีชีวิตกระจ้อยร่อยตรงหน้าไม่ได้ถูกหางตบตายในทีเดียว แต่กลับรู้สึกเจ็บส่วนหางเนืองๆเพราะการกระแทก มันโกรธจัด หางงูฟาดใส่ชามใหญ่ไม่หยุด ในชั่วเวลาหนึ่งเสียงผลัวะๆ ดังไม่หยุด ชามใหญ่ส่งเสียงครืนๆ

 

 

หนึ่งที สองที สามที…พูดแล้วเหมือนยาวนาน ที่จริงเพียงชั่วอึดใจงูเขียวก็ฟาดหางงูใส่ชามใหญ่ไปสิบกว่าทีแล้ว พลังวิญญาณในกายมั่วชิงเฉินถูกใช้ไปจนเหลือไม่เท่าไรแล้ว

 

 

ที่จริงพลังป้องกันของอาวุธเวทรูปชามนี้ไม่อ่อน เพียงแต่มั่วชิงเฉินตบะต่ำเกินไป ไม่อาจสำแดงอานุภาพของมันถึงที่สุด นี่ถึงได้ถูกอสูรปีศาจชั้นสองตัวหนึ่งต้อนจนจนมุม

 

 

“อืม!” มั่วชิงเฉินหอบหายใจทีหนึ่ง ในที่สุดในขณะที่ชามใหญ่โคลงเคลงใกล้ล่มก็โบกค่ายธงแล้วโยนจานค่ายกลออกไป

 

 

จนถึงยามนี้ นางถึงมีโอกาสหยิบยาลูกกลอนเติมวิญญาณกลืนลงไป พลังวิญญาณที่ใกล้เหือดแห้งในร่างได้รับการเติมอย่างช้าๆ

 

 

ทีแรกงูเขียวกำลังโจมตีชามใหญ่อย่างแข็งขัน กลับพบว่าภาพตรงหน้าจู่ๆ ก็เปลี่ยนไป เดิมทีเป็นป่าทึบต้นไม้สูงเสียดฟ้า ในพริบตาก็กลายเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา ดอกกล้วยไม้หลากสีแย่งกันเบ่งบาน สายลมเฉื่อยๆ พัดกลิ่นหอมละมุนมาเป็นระลอก

 

 

ด้วยปัญญาของงูเขียว มันไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าตรงหน้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่จู่ๆ สภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยหายไปแล้ว ทำให้มันกังวลโดยสัญชาตญาณ

 

 

มั่วชิงเฉินที่ควบคุมค่ายธงอยู่เห็นท่ารีบปล่อยเถาวัลย์สีเหลืองเขียวที่พันอยู่ด้วยกันเส้นหนึ่งออกไปทันที

 

 

เถาวัลย์สีเหลืองเขียวสลับกันชนิดนี้ที่จริงหลังจากงมอยู่หลายครั้ง เป็นเถาวัลย์ที่นำเถาวัลย์สีเหลืองที่มีความเหนียวอย่างยิ่งยวดและเถาวัลย์สีเขียวที่สามารถพันธนาการวิญญาณได้มาพันเข้าด้วยกัน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เป้าหมายเมื่อถูกพันไว้แล้วก็จะดิ้นไม่หลุด อีกทั้งพลังวิญญาณยังถูกพันธนาการไว้

 

 

เพียงแต่คาถาพันไม้เช่นนี้ต้องการความคุ้นเคยในคาถาถึงขีดสุดและการควบคุมพลังวิญญาณอย่างละเอียดอ่อนอย่างพอดิบพอดี นางใช้เวลาหลายปีเต็มกว่าจะฝึกสำเร็จ

 

 

งูเขียวยังสับสนอยู่ เถาวัลย์เลื้อยมาพันร่างของมันเข้าในทันใด มั่วชิงเฉินสีหน้าปีติ เมื่อใดที่อสูรปีศาจถูกพันธนาการวิญญาณไว้ เช่นนั้นก็จะสูญเสียการคุกคาม ต่อให้ร่างกายแข็งแกร่งเพียงใดก็มักมีวิธีทรมานมันจนตาย

 

 

ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นทำให้มั่วชิงเฉินกลับต้องเปลี่ยนสีหน้า เมื่องูเขียวนั้นรู้สึกได้ว่าถูกพันธนาการ ตัวงูก็ดิ้นอย่างรุนแรง ไม่คิดเลยว่าถูกมันดิ้นหลุดเสียแล้ว!

 

 

แย่แล้ว ปกติแล้วงูก็สามารถมุดเข้าปากถ้ำที่เล็กกว่าขนาดตัวของมัน งูเขียวตัวนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

 

 

งูเขียวที่ดิ้นหลุดมาได้โกรธเกรี้ยวยิ่งนัก ก็ไม่สนแล้วว่าตรงหน้าเป็นเช่นไร บิดตัวออกแรงจู่โจมเข้ามา

 

 

มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากไว้แน่น ยกมือขึ้นปล่อยเข็มสีเขียวหลายเล่ม กลับพบว่าด้านนอกตัวงูมันเลื่อมและเหนียว ไม่คิดเลยว่าเข็มสีเขียวจะไม่มีแรง เมื่อถูกตัวงูก็ลื่นหล่นลงตามๆ กัน

 

 

“แว้ดๆ!” ตามเสียงร้องของอีกา ลูกไฟก้อนหนึ่งร่วงลงมา

 

 

งูเขียวที่เดิมทีไม่รู้สึกรู้สมต่อการโจมตีทุกรูปแบบของมั่วชิงเฉินกลับหดตัวในบัดดล ส่งเสียงฟ่ออย่างเจ็บปวด

 

 

มั่วชิงเฉินเกิดปีติ เหตุใดตนจึงลืมได้ งูเขียวตัวนี้อาศัยอยู่ในป่าทึบ เป็นไปได้มากที่จะเป็นอสูรปีศาจธาตุไม้ ร่างกายของมันเป็นมันเงาทนทาน พลังการป้องกันทางกายภาพแข็งแกร่ง มีแรงต้านทานต่อคาถาธาตุไม้ที่ตนปลุกพลังวิญญาณ ทว่าคาถาธาตุอื่นกลับไม่แน่ โดยเฉพาะทอง ไฟสองธาตุ น่าจะเป็นวิธีที่ดีในการต่อกรกับมัน

 

 

โดยเฉพาะ นิสัยและลักษณะของงู…

 

 

นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินโบกค่ายธงในมือ งูเขียวพบด้วยความตื่นตระหนกว่าสภาพแวดล้อมที่อยู่กลายเป็นทุ่งหิมะขาวโพลนในบัดดล หิมะยังโปรยปรายลงจากฟ้าเป็นแผ่นๆ

 

 

ต่อให้มันเป็นอสูรปีศาจชั้นสอง ก็ต้านธรรมชาติของสัตว์ไม่อยู่ อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ทำให้มันรู้สึกร่างกายแข็งทื่อ ง่วงนอนขึ้นมาทันที

 

 

เห็นร่างกายของงูเขียวค่อยๆ ขดขึ้นมา การเคลื่อนไหวเชื่องช้าลง มั่วชิงเฉินที่จ้องฉากเหตุการณ์ภายในค่ายกลกลับไม่กล้าผ่อนคลายแม้แต่น้อย มองอย่างไม่ขยับเขยื้อน ไม่กล้าจู่โจมผลีผลาม

 

 

เพียงชั่วอึดใจ ค่ายกลสี่ฤดูเล็กก็ถูกนางปลุกแล้วสองด้าน บวกกับการโจมตีเมื่อครู่ ยาลูกกลอนเติมวิญญาณเติมวิญญาณไม่ทันเอาเสียเลย นางประคองค่ายกลนี้ได้อีกไม่นานแล้ว

 

 

ดังนั้น นางจำเป็นต้องคว้าโอกาสเพียงหนึ่งเดียวไว้ สำเร็จหรือไม่อยู่เพียงการกระทำนี้!

 

 

ในยามนี้เอง! ในตามั่วชิงเฉินเป็นประกายแวบหนึ่ง แล้วโยนยันต์กระสุนน้ำแข็งออกจากมือทันที จู่โจมเข้าที่จุดตายของงูเขียวพอดี

 

 

ร่างกายของงูเขียวแข็งขึ้นทันใด กลายเป็นแท่งน้ำแข็งในพริบตา

 

 

มั่วชิงเฉินเก็บค่ายธงขึ้น แต่ไม่ได้เดินเข้าไป แต่กลับกลืนยาลูกกลอนเติมวิญญาณลงไป นั่งขัดสมาธิลงเริ่มฟื้นฟูพลังวิญญาณ

 

 

กระทั่งร่างกายกลับสู่ภาวะปกติ นางถึงรีบเดินไปที่งูเขียวในไม่กี่ก้าว

 

 

มองดูงูเขียวที่แข็งทื่อ มั่วชิงเฉินฝืนทนความขยะแขยงหวาดกลัวต่อสัตว์ชนิดนี้ตามนิสัยธรรมชาติของเด็กผู้หญิง หยิบอาวุธเวทกระบี่บินชั้นต่ำที่ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไรแล้วออกมา ถลกหนังงูออก เอาดีงูออกมา เก็บเข้าถุงเก็บวัตถุของตนให้หมด

 

 

จัดการทั้งหมดนี่เสร็จ มั่วชิงเฉินที่ตั้งใจละเลยความคลื่นไส้ของตนหันหลังเดินกลับไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรสองคนที่ถูกนางฆ่าก่อนหน้านี้

 

 

“แว้ดๆ สิ่งนี้เจ้าเอาหรือไม่?” อีกาไฟที่อยู่ข้างหลังเรียก

 

 

มั่วชิงเฉินหันหน้าไป เห็นมันหยุดอยู่กลางอากาศ ยื่นปีกออกข้างหนึ่งชี้เนื้องูที่กองอยู่บนพื้น

 

 

มั่วชิงเฉินรีบส่ายศีรษะ นางรู้ว่าเนื้อของอสูรปีศาจชั้นสองสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้วบำรุงร่างกายดีนัก หากเป็นสิ่งอื่นก็แล้วไป ทว่านี่เป็นเนื้องู นางไม่อาจเอาชนะสภาพจิตใจเช่นนั้นได้จริงๆ

 

 

อีกาไฟเห็นมั่วชิงเฉินส่ายศีรษะ ดีใจร้องแว้ดๆ ไปสองที แล้วรีบร่อนลงไปกินอย่างเอร็ดอร่อย

 

 

มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก กลับไม่ได้พูดอะไร อย่างไรเสียเมื่อครู่ก็ได้อีกาไฟเตือนสติ ตนถึงได้ใช้ความอ่อนสยบความแข็ง หลุดจากสภาพอับจนหนทาง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรสองคนนี้จนใช้ได้จริงๆ ไม่นึกว่าในถุงเก็บวัตถุมีเพียงยันต์โอสถและหญ้าทิพย์จำนวนหนึ่ง อย่าว่าแต่อาวุธเวทเลย แม้แต่หินวิญญาณก็มีไม่กี่ก้อน

 

 

มั่วชิงเฉินถอนใจอึดหนึ่ง ดูท่าสองคนนี้หากไม่ใช่มาจากตระกูลเล็กๆ ก็มาจากสำนักเล็กๆ เกรงว่ายังเป็นประเภทที่ไม่ได้รับความสำคัญอีกต่างหาก ยิ่งกว่านั้นดูตามนี้แล้ว สองคนนี้ก็ไม่ได้ปล้นฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรอื่น น่าจะรู้ตัวว่าความสามารถไม่ถึง เกรงว่าจนกระทั่งเห็นตนเข้า ถึงรู้สึกว่าพบแกะอ้วน ยอมเสี่ยงอันตรายลงมือสักตั้ง

 

 

ทว่านางก็ไม่เสียใจ คนอื่นจะน่าสงสารเพียงใด ในเมื่อมาปล้นฆ่าตน หรือว่ายังจะให้ตนทำใจดีปล่อยไปหรืออย่างไร?

 

 

พูดได้เพียงว่า แต่ละคนล้วนต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตน อารมณ์ชั่ววูบ ที่ต่างกันคือความเป็นความตาย

 

 

หลังจากผ่านการต่อสู้กับอสูรปีศาจหลายสิบครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่ตนฆ่าคน ทว่าย่อมต้องมีสักวันมิใช่หรือ? มั่วชิงเฉินสงบลงอย่างรวดเร็ว เริ่มเก็บกวาด

 

 

“ใคร?” มั่วชิงเฉินที่กำลังจะดีดเพลิงแท้ทำลายร่องรอยศพหันหลังไปทันที อาวุธเวทรูปชามหมุนอยู่ในมือ คันไม้คันมืออยากจะลอง

 

 

“ศิษย์น้องชิงเฉิน ข้าเอง” เสียงที่คุ้นเคยทำให้มั่วชิงเฉินโล่งใจ ผ่านศึกมาสองครั้งติดกัน แม้สภาพร่างกายฟื้นฟูแล้ว ทว่าด้านจิตใจไม่อยากรีบเข้าสู่การรบทันทีอีกจริงๆ

 

 

ต้วนชิงเกอที่เดินมารูปร่างสูงโปร่ง เพียงไม่กี่วันใบหน้าที่สวยสดงดงามไม่คิดว่าจะมีความเย็นชาเพิ่มเข้ามา

 

 

“ศิษย์พี่ชิงเกอ เหตุใดเจ้า…” มั่วชิงเฉินเห็นเป็นต้วนชิงเกอจริงๆ จึงเรียกอย่างดีใจ

 

 

ต้วนชิงเกอก็สีหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน รีบเดินเข้ามาว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน ในที่สุดเราก็เจอกันแล้ว หลายวันมานี้ข้ากลัวเจ้าคนเดียวรับมือไม่ไหว รอเจ้าที่ที่นัดหมายอยู่นานเห็นเจ้าไม่มาเสียที ข้ากลัวว่าเจ้าจะเจอเรื่องอะไรเข้า จึงเดินมาดู โชคดีที่ไม่ได้เดินผิดทาง”

 

 

มั่วชิงเฉินอมยิ้มว่า “ศิษย์พี่เจ้าคาดการณ์ดั่งเทพจริงๆ ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ก็ช่วยน้องเก็บกวาดที่นี่เถอะ”

 

 

มองดูศพสองศพบนพื้น ต้วนชิงเกอแอบว่าเดิมทีนึกว่าหลายปีมานี้มั่วชิงเฉินเอาแต่ก้มหน้าก้มตาบำเพ็ญเพียร ไม่เคยผ่านการฆ่าฟัน อยู่ในแดนลี้ลับนี้เพียงลำพังยากจะประคองไหว บัดนี้ดูแลกลับเป็นตนที่คิดมากเกินไปแล้ว ศิษย์น้องอายุน้อยคนนี้ สภาพจิตใจโดดเด่นกว่าที่ตนคิดมากนัก

 

 

ด้านหนึ่งนางดีดเพลิงแท้ออกทำลายร่องรอยศพด้านหนึ่งถามว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน หลายวันมานี่เจ้าเก็บเกี่ยวอะไรได้บ้างหรือไม่?”

 

 

มั่วชิงเฉินชะงักทีหนึ่ง ด้วยความสัมพันธ์หลายปีของทั้งสองคน นางย่อมไม่กลัวที่จะบอกต้วนชิงเกอว่าตนได้กล้วยไม้ทองใบคู่มาแล้ว ทว่ากล้วยไม้ทองใบคู่ต้นนั้นตนไม่คิดจะมอบให้สำนัก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วกลับไม่อาจบอกความจริงได้เสียแล้ว จึงว่า “เด็ดได้สมุนไพรทิพย์หายากมาต้นหนึ่ง คิดว่านำมาแลกโอสถสร้างรากฐานไม่เป็นปัญหา ศิษย์พี่ เจ้าล่ะ?”

 

 

“เช่นนั้นก็ดี ข้าโชคดี เด็ดกล้วยไม้ทองใบคู่ได้สองต้น เดิมคิดว่าหากเจ้าไม่มี แบ่งเจ้าต้นหนึ่งก็แล้วกัน บัดนี้ดูแล้วกลับไม่ต้องแล้วล่ะ” ต้วนชิงเกอยิ้ม

 

 

มั่วชิงเฉินแอบซาบซึ้ง แต่กลับไม่ใช่คนชอบเอ่ยคำขอบคุณ จึงถอนใจว่า “เฮ่อ รู้แต่แรกข้าก็ไม่พูดแล้ว ศิษย์พี่ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่จะอยู่นานได้ พวกเราไปเถอะ”

 

 

ใครจะรู้ว่าเรื่องไม่คาดคิดมักจะมาไม่ขาดสาย มั่วชิงเฉินเพิ่งพูดจบ ก็ได้ยินอีกาไฟร้องแว้ดๆ มีเสียงว่า “ศิษย์พี่ รีบดูเร็ว นี่เป็นศพของอสูรปีศาจชั้นสอง!”

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset