พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 2010 มีฝีมือ แต่ไร้สมอง

เว่ยซูไม่สะดวกจะพูดเรื่องระหว่างพี่น้อง ถ้าเซี่ยโห้วท่าไม่อยู่แล้วก็ว่าไปอย่าง เขาจะต้องยืนฝ่ายหัวหน้าตระกูลอย่างซี่ยโห้วลิ่งเพื่อสู้กับเฉาหม่านแน่นอน แต่ประเด็นก็คือเซี่ยโห้วท่ายังไม่ตาย ถ้าตอนนี้เขายุให้พี่น้องตระกูลเซี่ยโห้วเข่นฆ่ากันเองก็จะไม่เหมาะสม

เซี่ยโห้วลิ่งไม่ได้ให้เว่ยซูแสดงท่าทีต่อคุณชายสาม เว่ยซูย่อมหลบเลี่ยงเรื่องนี้เช่นกัน ถามว่า “นายท่าน พระปีศาจต้องการบัวโลหิตไปทำอะไร?”

เซี่ยโห้วลิ่งส่ายหน้า “หนิวโหย่วเต๋อมาสืบเรื่องนี้กับข้า ตอนแรกข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าก็แค่ถามเขาว่าในมือเขามีของที่พระปีศาจต้องการหรือเปล่า เขาบอกว่าเขาโยนทิ้งไปนานแล้ว ในเมื่อเป็นของที่พระปีศาจอยากได้ ข้าก็เลยตรวจสอบทันที ผลปรากฏว่าตรวจสอบเจอจริง ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมพระปีศาจต้องการของสิ่งนั้น”

“เพราะอะไรขอรับ?” เว่ยซูถามอย่างใจจดใจจ่อ

เซี่ยโห้วลิ่งมองเขาพลางกล่าวช้าๆ “ถ้าพูดถึงปีศาจโลหิต พ่อบ้านเว่ยอาจจะรู้ไม่เยอะ แต่มีอยู่คนหนึ่งที่พ่อบ้านเว่ยคงพอจะรู้จัก ในบันทึกที่ข้าตรวจสอบ ตอนที่คนคนนั้นตาย พ่อบ้านเว่ยก็เหมือนจะอยู่ในเหตุการณ์ด้วย”

“ใครเหรอ?” เว่ยซูรู้สึกงง

“ปีศาจโลหิตสามารถใช้ค่ายกลมารโลหิตได้ พ่อบ้านเว่ยไม่นึกเชื่อมโยงถึงใครบ้างเหรอ?” เซี่ยโห้วลิ่งถามเสียงเรียบ

เว่ยซูนิ่งไปชั่วขณะ แล้วขมวดคิ้วกล่าวว่า “อย่าบอกนะว่าเป็นบรรพาจารย์อาวุโสมารโลหิต? ตามที่ปีศาจจิ้งจอกสามหางบอก ปีศาจโลหิตเป็นทายาทของบรรพาจารย์อาวุโสมารโลหิตไม่ผิดแน่ แล้วนี่เกี่ยวอะไรกับบรรพาจารย์อาวุโสมารโลหิต ในปีนั้นข้าได้รับคำสั่ง…” จู่ๆ ก็เงียบไป เบิกตากว้างขึ้นหลายส่วน “อย่าบอกนะว่ามารโลหิตในตำนานมีสมุนไพรจิตวิญญาณ?”

เซี่ยโห้วลิ่งตอบอย่างใจเย็น “ในบันทึกที่ข้าดูบอกไว้ว่า มารโลหิตโอ้อวดกับสหาย บอกว่าบังเอิญเก็บสมุนไพรจิตวิญญาณได้ต้นหนึ่งจากจุดลึกในดาราจักร ตราบใดที่สามวิญญาณเจ็ดดวงจิตไม่ดับสลาย  สมุนไพรจิตวิญญาณต้นนั้นก็สามารถช่วยงอกกายหยาบขึ้นมาใหม่ได้ เมื่อสามวิญญาณเจ็ดดวงจิตหลอมเป็นหนึ่งเดียวกันก็จะทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาใหม่ได้อีก กลับมาอยู่ในสภาพเดิม หลังจากท่านพ่อได้ยินข่าวก็สั่งให้เจ้าสืบเรื่องนี้ ผลปรากฏว่าตอนเจ้าไปถึงก็สายไปแล้ว มารโลหิตตกอยู่ในมือปราสาทดำเนินนภาเสียแล้ว”

เว่ยซูคิดใคร่ครวญ แล้วพยักหน้าบอกว่า “ไม่ผิดหรอก มีเรื่องแบบนี้อยู่จริงๆ ตอนที่บ่าวไปถึง คนของปราสาทดำเนินนภากำลังจะฆ่ามารโลหิตพอดี บ่าวขอให้ไว้หน้าสักครั้ง เลยได้ตัวมารโลหิตมาสอบสวน กดดันถามเรื่องที่อยู่ของสมุนไพรจิตวิญญาณ แต่มารโลหิตบอกว่าไม่มีสมุนไพรจิตวิญญาณอะไรนั่นเลย ถ้ามีสมุนไพรจิตวิญญาณอะไรนั่นจริง มีหรือที่จะโอ้อวดต่อภายนอก บ่าวใช้วิธีทรมานทุกอย่าง แต่สิ่งที่เขาสารภาพมาก็มีแค่เท่านั้น ตอนนั้นบ่าวคิดว่าก็ถูกอย่างที่เขาบอก ถ้าเขามีสมุนไพรจิตวิญญาณจริงก็คงรีบซ่อนแล้ โอ้อวดต่อภายนอกไม่ถือว่ารนหาที่ตายหรอกหรือ เมื่อถามไม่ได้ความอะไรก็ส่งมารโลหิตคืนให้ปราสาทดำเนินนภาจัดการ หรือว่า…”

เซี่ยโห้วลิ่งพยักหน้า “ชัดเจนมาก หากไร้ลมจะเกิดคลื่นได้อย่างไร สมุนไพรจิตวิญญาณคงจะมีอยู่จริง ตอนนั้นมารโลหิตคงต่อให้ตายก็คงไม่สารภาพ พอมาดูตอนนี้ ในเมื่อปีศาจโลหิตเป็นลูกหลานของมารโลหิต เช่นนั้นก็พอจะเข้าใจสภาพจิตใจของมารโลหิตได้ สมุนไพรจิตวิญญาณอยู่ในมือลูกหลาน ถ้าเขาบอกไปก็รอดอยู่ดี ทั้งยังจะทำให้ลูกหลานตัวเองพลอยลำบากไปด้วย ดังนั้นต่อให้ตายก็ไม่สารภาพ สุดท้ายสมุนไพรจิตวิญญาณถึงได้ตกอยู่ในมือปีศาจโลหิต ตอนหลังหนิวโหย่วเต๋อก็เอาไป”

เว่ยซูพยักหน้าขณะครุ่นคิด “ปีศาจโลหิตน่าจะไม่เอ่ยเรื่องนี้กับภายนอก ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อได้มาแล้วไม่รู้ว่ามันคืออะไรก็เป็นเรื่องปกติ แต่ปีศาจโลหิตตกอยู่ในมือพระปีศาจแล้ว อาศัยวิธีการของพระปีศาจ นางมิอาจไม่พูดความจริง นางหลอกลวงพระปีศาจไม่ได้ ส่วนพระปีศาจพอแน่ใจแล้วว่าสมุนไพรจิตวิญญาณอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อ เช่นนั้นสมุนไพรจิตวิญญาณก็มีอยู่จริง ไม่ใช่เรื่องโกหกแน่!”

เซี่ยโห้วลิ่งถอนหายใจยาว “ตอนนี้เจ้าน่าจะเข้าใจนะว่าทำไมพระปีศาจต้องการของสิ่งนั้น พระปีศาจอยากอาศัยสมุนไพรจิตวิญญาณสร้างกายหยาบขึ้นมาอีกครั้ง ข้าจะให้เขาสมหวังได้ยังไง ถ้าปล่อยให้เขาทำสำเร็จจริง ก็จะทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วประสบหายนะ ข้าเซี่ยโห้วลิ่งก็จะกลายเป็นคนบาปตลอดกาลของตระกูลเซี่ยโห้ว!”

“นายท่านเพิ่งบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อทิ้งสมุนไพรจิตวิญญาณต้นนั้นไปแล้วหรือขอรับ?” เว่ยซูขมวดคิ้ว

เซี่ยโห้วลิ่งแสยะยิ้ม จิบน้ำชาอึกหนึ่ง แล้วระเบิดคำหยาบออกมา “ทิ้งบ้าทิ้งพออะไรกัน! ถ้าข้าไม่รู้ว่ามันคือของอะไร ข้าก็คงโดนเขาหลอกไปแล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งนั้นคืออะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีสรรพคุณอะไร เอามาใช้ทำอะไร? คนเรากินยาซี้ซั้วได้เหรอ? มิหนำซ้ำยังเป็นของในค่ายกลมารโลหิตด้วย แต่ของที่แม้แต่พระปีศาจก็ยังต้องการ เขาจะต้องตระหนักได้แน่นอนว่ามีมูลค่าไม่ธรรมดา เลยมาสืบจากข้า ที่บอกว่าทิ้งไปแล้วคงเป็นแค่ข้ออ้าง ความจริงอยากจะรู้มูลค่าของมันต่างหากล่ะ”

เว่ยซูพยักหน้าช้าๆ ถามอีกว่า “นายท่านเตรียมจะทำอย่างไรขอรับ?”

“พระปีศาจต้องมีปณิธานแน่วแน่ต่อของสิ่งนี้แน่นอน เหมาะจะเอาเป็นเหยื่อล่อให้พระปีศาจออกมาพอดี จะได้ขุดรากถอนโคนพระปีศาจในรวดเดียว! สงสัยจะต้องไปจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลด้วยตัวเองสักเที่ยวแล้ว ไปเจรจากับหนิวโหย่วเต๋อดีๆ สักหน่อย” เซี่ยโห้วลิ่งกล่าว

“ถ้าหนิวโหย่วเต๋อไม่ยอมส่งให้จะทำอย่างไรขอรับ?” เว่ยซูถาม

เซี่ยโห้วลิ่งแสยะยิ้ม “เขาทำตามใจตัวเองไม่ได้หรอก ถ้าสุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราลงทัณฑ์ ข้าก็ทำได้เพียงเปิดเผยให้ตำหนักสวรรค์รู้ ให้พวกประมุขชิงบีบให้เขาส่งมา แต่ยังไงก็ต้องพยายามให้ของมาอยู่ในมือตระกูลเซี่ยโห้วให้ได้ก่อน ต่อให้ล่อพระปีศาจออกมาไม่ได้ แต่ข้าก็อยากเห็นกับตาว่ามันถูกทำลายแล้ว ให้ตกอยู่ในมือพระปีศาจไม่ได้เด็ดขาด เจ้าไปเตรียมตัว อย่าทำให้หนิวโหย่วเต๋อแตกตื่น พวกเราจะไปเยี่ยมอย่างกะทันหัน!”

“รับทราบ!” เว่ยซูพยักหน้า นายท่านรินน้ำชาให้ด้วยตัวเอง ไม่สะดวกจะไม่ไว้หน้า หลังจากดิ่มอึกเดียวหมดจอก ถึงได้รีบลุกขึ้นเดินออกไป

เมื่ออกจากสวนต้องห้ามแล้ว เว่ยซูก็รีบเข้ามาในห้องของตัวเอง หลบอยู่ในห้องมืด หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเซี่ยโห้วท่า เรื่องใหญ่ขนาดนี้เขาต้องรีบรายงานให้ทันเวลา

ฝั่งเซี่ยโห้วท่าก็เหมือนใช้ย่อยข้อมูลครู่หนึ่ง ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้ตอบเขา : เว่ยซู จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เจ้าไม่ต้องไปแล้ว

เว่ยซูแปลกใจ ถามว่า : ทำไมขอรับ?

เซี่ยโห้วท่า : ไม่ต้องถามว่าทำไม เจ้าหาข้ออ้างออกไปข้างนอก บอกว่าเบื้องล่างสืบได้เบาะแสของพระปีศาจหนานโป ต้องให้เจ้าไปจัดการด้วยตัวเอง ทางจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ให้เจ้ารองไปเองก็พอ เจ้ามาหาข้าสักเที่ยวเถอะ

เว่ยซูตระหนักได้ทันทีว่ามีเรื่องสำคัญต้องเตรียมการ ไม่อย่างนั้นนายท่านคงไม่เรียกตนไปพบง่ายๆ แบบนี้

ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาพูดไม่ออกก็คือ ข้ออ้างที่นายท่านชี้แนะเขาคร่ำครึเกินไปหรือเปล่า สืบเจอเบาะแสของพระปีศาจหนานโปแล้วงั้นเหรอ? ต่อไปเซี่ยโห้วลิ่งจะต้องจับตาดูแน่นอน ถ้าโดนถามขึ้นมา เขาจะตอบอย่างไรให้เรื่องจบ?

แต่เขาก็รู้ว่าเซี่ยโห้วท่าไม่ใช่คนที่ยิงธนูโดยไร้เป้า ในเมื่อพูดอย่างนี้แล้ว แสดงว่าต้องมีเหตุผลแน่นอน จึงตอบทันทีว่า : รับทราบ บ่าวเข้าใจแล้ว!

วันต่อมา หลังจากเว่ยซูช่วยเซี่ยโห้วลิ่งเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็รายงานเหตุผลเพื่อหลบเลี่ยงไม่ไปจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลด้วยกัน

พอเซี่ยโห้วลิ่งได้ยินว่าสืบเจอทิศทางการเคลื่อนไหวของพระปีศาจหนานโป ก็ย่อมปล่อยให้เว่ยซูออกไปโดยไม่ห้าม นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก สั่งให้เว่ยซูสืบมาให้ชัดเจน

เว่ยซูให้เซี่ยโห้วลิ่งออกจากจวนท่านปู่สวรรค์ไปก่อน

ถนนริมแม่น้ำเจริญรุ่งเรือง โรงเตี๊ยมตั้งเรียงราย ยิ่งมีสาวงามคอยโอบกอดคลอเคลีย มีพ่อค้าหาบเร่เดินไม่ขาดสาย

เว่ยซูเดินถือสุราอาหารออกมาจากกลุ่มคนบนถนน มายืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ กวาดสายตามองเรือลำหนึ่งที่มาจอดเทียบท่า แล้วจ้องเรือประมงลำหนึ่งที่ทาด้วยน้ำมันตั้งอิ้วจนเป็นมันวาว พอเห็นเซี่ยโห้วท่าที่แต่งตัวเป็นชาวประมงนั่งบนหัวเรือ ก็รีบลงบันไดไปทันที

พอเห็นเว่ยซู เซี่ยโห้วท่าก็คลายเชือก รอจนเว่ยซูขึ้นเรือมาแล้ว เซี่ยโห้วท่าก็แจวเรือออกจากฝั่ง

ขณะมองชาวประมงที่มีท่าทางชำนาญ เว่ยซูก็ยิ้มเจื่อน

แต่ก็ไม่ต้องพูดถึงเลย คนในแดนฝึกตนใช้วิธีการเป็นชาวประมงเพื่อปะปนอยู่ในโลกมนุษย์นั้นคือหนึ่งในการอำพรางตัวตนที่ดีที่สุด นอกจากจะไม่ต้องกังวลว่าคนรอบข้างเกิดแก่เจ็บตายแต่มีเจ้าคนเดียวที่แก่แล้วไม่ตาย ยังได้แฝงตัวอยู่ในกลุ่มมนุษย์อีก ไปไหนมาไหนคนเดียว ถ้าตรงไหนเจอฝั่งอยากจะจอดเทียบท่าก็ไปได้เลย ไม่เหมือนตัวตนอื่นที่ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ

เรือลอยไปกลางแม่น้ำ เซี่ยโห้วท่าวางมือเดินเข้ามา เว่ยซูวางสุราอาหารเรียบร้อยแล้ว จากนั้นนั่งตรงข้ามเซี่ยโห้วท่าแล้วบอกว่า “นายท่าน อาหารทะเลตามที่ท่านขอมา” พูดจบก็รินสุราให้เขา

เซี่ยโห้วท่ายกตะเกียบคีบกุ้งขึ้นมากิน ดื่มสุราย้อมใจอึกหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “เจ้ารองมีฝีมือให้การปรุงปลาไม่เลวเลย หลังจากวันนี้ เกรงว่าคงไม่มีโอกาสได้ชิมอีกแล้ว”

เว่ยซูยิ้มบางๆ นึกว่าเขาหมายความว่าตัวเองแกล้งตายจึงไปโผล่ตรงหน้าคุณชายรองไม่ได้อีกแล้ว

“เขาไปจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลแล้วสินะ?” เซี่ยโห้วท่าที่ชิมอาหารทะเลเอ่ยถาม

“ก่อนจะมาถึงที่นี่ ในบ้านส่งข่าวมา ว่าคุณชายรองออกเดินทางแล้วขอรับ” เว่ยซูกล่าว

“ก่อนเขาจะไปที่นั่น ไม่ติดต่อเจ้าหกไปสืบถามสถานการณ์ทางจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลสักหน่อยเหรอ? บุ่มบ่ามไปอย่างนี้น่ะเหรอ?” เซี่ยโห้วท่าถามด้วยน้ำเสียงปกติ

“ติดต่อแล้วขอรับ แต่คุณชายหกไม่รู้เป็นอะไร ยังติดต่อไม่ได้ นายท่าน ท่านหมายความว่าอะไร?” เว่ยซูถาม

เซี่ยโห้วท่าวางตะเกียบ แล้วจู่ๆ ก็เผยรอยยิ้มข่มขื่น ขณะมองอาหารในจาน เขาก็ส่ายหน้าถอนหายใจ “เจ้ารองเอ๋ย มีแต่ฝีมือ แต่กลับไร้สมอง ข้าให้โอกาสเขาแล้ว แต่เขากลับดึงดันจะไปรนหาที่ตาย พวกเจ้าน่ะ จะให้ข้าพูดอะไรกับพวกเจ้าดี เฮ้อ!”

ไปรนหาที่ตาย? เว่ยซูตกใจ “นายท่าน เหตุใดจึงเอ่ยเช่นนี้?” พูดจบก็หยิบระฆังดาราขึ้นมา ต้องการจะเตือนเซี่ยโห้วลิ่งให้ทันเวลา

เซี่ยโห้วท่าใช้ตะเกียบชี้ระฆังดาราในมือเขา แล้วโบกมือสื่อว่าไม่ต้องทำอย่างนั้น แล้วถามว่า “ยังจำได้มั้ยว่าครั้งก่อนเจ้ามาหาข้าทำไม?”

เว่ยซูแข็งใจเก็บระฆังดารา พยายามนึกแล้วตอบว่า “จำได้ขอรับ เรื่องที่คุณชายรองลงมือโค่นล้มตระกูลอิ๋ง”

เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจ “เจ้าบอกว่าเจ้ารองโดนหนิวโหย่วเต๋อจูงจมูก กังวลว่าเจ้ารองจะเสียเปรียบ เจ้าบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อสงบนิ่งเยือกเย็นต่อเจ้ารองเกินไป เหมือนมีแผนสำรองอะไร”

เว่ยซูพยักหน้าซ้ำๆ “ตอนนั้นนายท่านบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อมีแผนสำรองจริงๆ บอกว่า หนิวโหย่วเต๋อตัวอยู่ที่แดนรัตติกาลแต่ยังสงบนิ่งต่อเจ้ารองได้ขนาดนี้’ แล้วก็เงียบไป บ่าวถึงได้ถามนายท่าน แต่นายท่านไม่ยอมตอบ”

เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้าถอนหายใจอีก “ข้าไม่ได้บอกเหรอ? ข้าบอกว่าการที่เจ้ารองใช้วิธีการโค่นล้มอิ๋งจิ่วกวงมาสร้างบารมีภายในตระกูล เกรงว่าจะสูญเปล่า ข้าบอกว่าในระยะยาวเจ้ารองเลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้รับการสนับสนุนจากพี่น้อง ข้าบอกว่าพวกพี่น้องของเจ้ารองไม่ขัดแข้งขัดขาเขาก็ดีแค่ไหนแล้ว ข้าบอกว่าหนิวโหย่วเต๋ออยู่ที่แดนรัตติกาลแต่สงบนิ่งเยือกเย็นต่อเจ้ารองได้ขนาดนี้…ที่ข้าพูดไปยังไม่มากพออีกเหรอ? เจ้าคิดว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของเจ้าสามกับหนิวโหย่วเต๋อเป็นยังไง?”

เว่ยซูยังครุ่นคิดถึงความหมายในคำพูด พอได้ยินประโยคสุดท้ายก็ถามอย่างตกใจว่า “ตอนนั้นนายท่านก็รู้แล้วเหรอว่าคุณชายสามกับหนิวโหย่วเต๋อสมคบกัน?”

เซี่ยโห้วท่ากินอาหารอย่างช้าๆ “พวกเจ้าน่ะ รู้ตัวทีหลังตลอด ตอนนี้เพิ่งมารู้ว่าเจ้าสามกับหนิวโหย่วเต๋อสมคบกัน สายไปหน่อยหรือเปล่า? หนิวโหย่วเต๋อใช้ประโยชน์จากเจ้าสามช่วงชิงเวลาสำเร็จแล้ว ปรับปรุงกำลังพลได้เรียบร้อยแล้ว ควบคุมแดนรัตติกาลไว้ในมืออย่างแน่นหนา ตอนนี้แดนรัตติกาลไม่ได้อยู่ในอำนาจการตัดสินใจของเจ้าสามอีกแล้ว โอกาสที่ดีที่สุดผ่านไปแล้ว พูดเรื่องนี้ไปก็ไม่มีความหมายอีก ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง ทำไมเจ้าสามจึงไปสมคบกับหนิวโหย่วเต๋อได้?”

…………………

Comment

Options

not work with dark mode
Reset