พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 2007 เสียการควบคุม

หยางเจาชิงเงียบไป หลักการเหตุผลนี้เขาฟังเข้าใจ แต่ตรงหว่างคิ้วที่ฉายแววกังวลนั้นยากปิดบัง เพราะพระปีศาจหนานโปเคยเห็นเหยียนซิวลงมือแล้ว แม้จะไม่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเหยียนซิว แต่คนสร้างเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางก็คือพระปีศาจ เป็นไปไม่ได้ที่พระปีศาจจะจำไม่ได้ หลักฐานตีแผ่ความจริงวางอยู่อย่างนี้ ขอเพียงตำหนักสวรรค์พุ่งเป้าหมายตรวจสอบ ก็จะเกิดปัญหายุ่งยากแล้ว

เหมียวอี้ที่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง แม้จะหันหลังให้ แต่กลับรู้ถึงความคิดของเขา กล่าวช้าๆ ว่า “กุญแจสำคัญตอนนี้ก็คือทำให้คนสับสนจนแยกแยะไม่ออก ไม่ให้อำนาจแต่ละฝ่ายของตำหนักสวรรค์รวมตัวกันเพ่งเล็งมาที่พวกเรา ไม่มองจุดอ่อนเป็นวิกฤติตรงหน้า พระปีศาจปรากฏตัวอีกครั้ง ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ข่าวลือเป็นเพียงสิ่งที่ช่วยช่วงชิงเวลาให้พวกเรา ขอเพียงสามารถแทนที่ฮ่าวเต๋อฟางได้ก่อนเกิดเรื่อง แล้วได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้ว ข่าวลือก็จะเป็นเพียงข่าวลือ ไม่มีทางกลายเป็นเรื่องจริงได้!”

หยางเจาชิงเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คืออะไร? คือการสนับสนุนให้เฉาหม่านขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าตระกูล กดดันให้เฉาหม่านยอมจำนน หรือพูดได้อีกอย่างว่า ข่าวลือในตอนนี้ที่จริงแล้วพุ่งเป้าไปที่เฉาหม่าน ทางพระปีศาจหนานโปก็ต้องเหลือไว้เป็นทางหนีทีไล่เพื่อคุมให้เขาสงบ

หยางชิ่งกล่าวขณะไตร่ตรอง “หวังว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะกำจัดปีกพระปีศาจได้ ข่มพระปีศาจหนานโปเอาไว้ ไม่ให้เขาทำงานใหญ่สำเร็จ!”

ดาวเกาะคราม ปากทางเข้าตึกถ้ำที่สลักจากหินผาริมทะเลมรกต พระปีศาจหนานโปกำลังยืนรับลม ส่วนจั่วเอ๋อร์กำลังรายงานสถานการณ์ด้านนอกให้ฟังอยู่ข้างๆ

ฉากแบบนี้ทำให้แม้แต่จั่วเอ๋อร์เองก็ยังใจลอยนิดหน่อย ในปีนั้นตอนอยู่ตรงหน้าอิ๋งจิ่วกวงก็เป็นอย่างนี้ ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนเจ้านายแล้ว

เมื่อมีการช่วยเหลือจากกำลังของตระกูลอิ๋งแล้ว พระปีศาจหนานโปก็ผ่อคลายขึ้นเยอะ ถ้าเทียวไปเทียวมาอยู่คนเดียวก็เสียเวลาทั้งยังทำงานได้ประสิทธิภาพต่ำ ช่องทางข่าวสารสำเร็จรูปของตระกูลอิ๋งช่วยเขาได้มาก

“เสียหายมากเลยเหรอ?” พระปีศาจหนานโปกล่าวเสียงเรียบ

จั่วเอ๋อร์ยังนึกกลัวอยู่ในใจ “กำลังของตระกูลเซี่ยโห้วน่ากลัวจริงๆ ข้ายังนึกว่ากำลังที่ตระกูลอิ๋งซ่อนไว้จะเป็นความลับมาก แต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะรู้ความลับที่ปกปิดไว้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่ไม่เคยลงมือเท่านั้น พอลงมือก็สร้างความเสียหายให้พวกเราเยอะมาก ภายในเวลาสั้นๆ แบบนี้ ช่องทางข่าวสารในมือพวกเราถูกทำลายไปเกือบเครื่อง โชคดีที่ข้าถอนกำลังทันเวลา ไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาก็เลวรายจนไม่กล้าจิตนาการ ตอนนี้ช่องทางรายได้ลับของพวกเราเสียหายหนักมาก ในอนาคตจะต้องลดค่าบำรุงของสมาชิก จะทำให้ใจคนสั่นคลอนได้ง่าย ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นก็คือ ไม่รู้ว่าตอนหลังตระกูลเซี่ยโห้วยังจะเคลื่อนไหวอะไรอีก ดูจากสถานการณ์แล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนอยากจะทำลายกำลังของตระกูลอิ๋งในตอนนี้ให้หมด!”

“ตระกูลเซี่ยโห้วจะสืบสาวมาจนเจอที่นี่หรือเปล่า?” พระปีศาจหนานโปถามอย่างใจเย็น

จั่วเอ๋อร์ตอบว่า “ไม่ถึงขั้นนั้น ในปีนั้นข้าเป็นคนเตรียมที่นี่ด้วยมือตัวเอง เป็นหนึ่งในทางหนีทีไล่ของอ๋องสวรรค์อิ๋ง นอกจากข้ากับอ๋องสวรรค์อิ๋งก็ไม่มีใครรู้แล้ว น่าจะสืบไม่เจอที่นี่”

พระปีศาจหนานโปวางใจแล้วไม่น้อย “ดูท่าแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วคงรู้แล้วว่าพวกเราร่วมมือกัน พวกนั้นกำลังพุ่งเป้ามาที่ข้า”

จั่วเอ๋อร์มองสีหน้าของเขาแวบหนึ่ง แล้วถามอย่างลังเล “คงจะเป็นอย่างนั้น จะเป็นหนิวโหย่วเต๋อที่เปิดโปงหรือเปล่า?”

“ตระกูลเซี่ยโห้วใจกล้าไม่เบา เซี่ยโห้วท่าตายแล้ว ข้าไม่รีบสะสางบัญชีกับพวกเขา แต่พวกเขากลับใจร้อนมาหาเรื่องข้า ดีมาก ตั้งใจรอข้าให้ดีเถอะ!” พระปีศาจหนานโปแสยะยิ้ม แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “จะเป็นเขาเปิดเผยหรือเปล่าไม่สำคัญ ต่อให้รู้ว่าเขาเปิดเผยแล้วยังไง เจ้าเด็กนั่นมีกำลังทหารมาก พวกเราไม่มีหลักฐานไปต่อว่าเขา ตอนนี้ยังทำอะไรเขาไม่ได้ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะแตกคอกับเขา ตอนนี้การฟื้นพลังของข้าต่างหากที่สำคัญที่สุด พวกเจ้าต้องยอมรับความเสียหายไว้ก่อนชั่วคราว ข้าย่อมช่วยพวกเจ้าทวงคืนทั้งต้นทั้งดอกได้อยู่แล้ว! เป็นไปได้เก้าในสิบว่าข่าวลือข้างนอกเป็นฝีมือเขา ใช้ได้เลย ขนาดวิธีการนี้ก็ยังคิดได้ เรียบง่ายแต่ได้ผล!”

ปากก็พูดเหมือนผ่อนคลาย แต่ในใจกลับกลั้นไฟโกรธเอาไว้ เมื่อก่อนต่อให้น่าเกรงขามอย่างไรก็เป็นเมื่อก่อน ตอนนี้พลังสู้อีกฝ่ายไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงอดทนไว้

ไม่ว่าใครก็มีช่วงเวลาที่พลังสู้คนอื่นไม่ได้ทั้งนั้น ต่อให้เป็นเหมียวอี้ก็ตาม เรื่องอดทนรความอัปยศก็ใช่ว่าจะไม่เคยผ่านมาก่อน

จั่วเอ๋อร์ถอนหายใจ “ก็จริง นึกไม่ถึงว่าเจ้านั่นจะเป็นคนของหกลัทธิ ถูกหกลัทธิผลักดันออกมาอยู่ในที่แจ้งได้ ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย วิธีการพลิกแพลงสถานการณ์ในหลายปีมานี้ ดูไม่ออกเลยว่าเกี่ยวข้องอะไรกับหกลัทธิ อาศัยกำลังของเขาตอนนี้ ทั้งยังมีฮ่าวเต๋อฟางเป็นเกราะกำบัง ถ้าไม่มีหลักฐานมายืนยันความจริง ข่าวลือซี้ซั้วต่างๆ ทำให้คนแยกแยะลำบาก เกรงว่าตำหนักสวรรค์ก็คงไม่กล้าตรวจสอบเขาง่ายๆ เช่นกัน ไม่อย่างนั้นก็จะกดดันให้เขาก่อกบฏ!”

จู่ๆ พระปีศาจหนานโปก็หัวเราะเยาะ หลักฐานเหรอ? ตอนนี้เขาแปลกใจนิดหน่อย หนิวโหย่วเต๋อไม่รู้จริงๆ ว่าเขามองออกแล้วว่าเหยียนซิวใช้เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง หรือว่าแกล้งไม่รู้? แม้เขาจะไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้ลงมือ แต่พอกลับมาแล้วสืบข่าวเรื่องคนข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ ถามถึงหน้าตาที่ผิดปกติของเหยียนซิว ก็พุ่งเป้าหมายไปที่เหยียนซิวได้ทันที

ตามหลักแล้วเป็นไปไม่ได้ที่หนิวโหย่วเต๋อจะไม่รู้ แต่ยังสร้างข่าวลือแบบนี้มีจุดประสงค์อะไร มีความหมายเหรอ?

ในมือเขาใช่ว่าจะไม่มีไพ่ลับมาสู้กับหนิวโหย่วเต๋อ เรื่องสถานที่ผนึก เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางของเหยียนซิว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นจุดอ่อนที่เขากุมเอาไว้ในมือ

พอคิดไปคิดมา ก็ตัดสินใจจะหยั่งท่าทีของหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อย เขาหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจางผิง

บนตึกศาลา พวกเหมียวอี้กำลังคุยกัน

เหยียนซิวมาถึงแล้ว เดินตรงมาข้างกายเหมียวอี้แล้วรายงานว่า “ฝั่งพระปีศาจต้องการคุยกับนายท่านขอรับ”

เหมียวอี้แสยะหัวเราะ แล้วพยักหน้า

เหยียนซิวโยนจางผิงออกมา

จางผิงกวาดสายตามองคนพวกนี้แวบหนึ่ง หลังจากหยิบระฆังดาราออกมา ก็กุมหมัดคารวะเหมียวอี้ “ผู้ตรวจการใหญ่ ผู้สูงศักดิ์ถามเจ้าว่า ข่าวลือข้างนอกใช้ฝีมือเจ้าหรือเปล่า?”

เหมียวอี้เหล่ตาถาม “ใช่แล้วยังไง ไม่ใช่แล้วยังไง?”

จางผิงเขย่าระฆังดาราถ่ายทอดคำตอบไปให้พระปีศาจหนานโป พอได้ข้อความตอบกลับมาแล้วก็บอกอีกว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ทำถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะให้ผู้สูงศักดิ์ช่วยเจ้าจัดการสองเรื่องนั้นได้ยังไง? ถ้าจบเรื่องแล้วเจ้ากลับคำพูดจะทำยังไง?”

เหมียวอี้แสยะหัวเราะ “ข้าเคยบอกไปแล้ว ข้าไม่ยอมรับการถูกบีบ ข้ายอมรับการทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนเท่านั้น ถ้าเขาจัดการที่เรื่องบอกเรียบร้อยแล้ว ข้าก็ย่อมมอบของสิ่งนั้นให้เขา เรื่องบางเรื่องเขารู้อยู่แก่ใจ ไม่จำเป็นต้องแสร้งเลอะเลือน!”

หลังจากจางผิงบอกต่อแล้ว ก็เตือนว่า “ผู้สูงศักดิ์ยังยืนยันคำเดิม หวังว่าผู้ตรวจการใหญ่จะรักษาสัจจะ ไม่อย่างนั้นจะต้องรับผิดที่ตามมา!”

เหมียวอี้เอียงหน้ามองมา แล้วเหยียนซิวก็เก็บจางผิงเอาไว้อีก

ตอนที่เหยียนซิวหันตัวเดินไปข้างหลังเหมียวอี้ ก็พบว่าหยางชิ่งกำลังมองเขาอยู่ ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วต่างคนก็ต่างหลบสายตาอีก

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หยางชิ่งไม่ใช่คนโง่ พอจะเดาออกแล้วว่าทำไมตอนแรกจึงให้เหยียนซิวไปสืบเรื่องจูเก๋อชิง เพียงแต่ทุกคนไม่ได้เจาะกระดาษหน้าต่างเปิดโปงก็เท่านั้นเอง

จวนท่านปู่สวรรค์ นายบ่าวกำลังเดินไปเดินมาอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้า

“ตรวจสอบการป้องกันในบ้านให้มากหน่อย” เซี่ยโห้วลิ่งเดินมาถึงได้ต้นไม้แล้วเอามือลูบลำต้นที่หยาบขรุขระ ไม่รู้ว่าเขาเตือนเรื่องนี้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว

“ตรวจสอบตามกำหนดเวลามาตลอดขอรับ ไม่ให้พระปีศาจได้ฉวยโอกาส” เว่ยซูกล่าวอย่างเคารพ

“สืบเจอคนปล่อยข่าวหรือเปล่า?” เซี่ยโห้วลิ่งถาม

“เหมือนวางแผนมานานมากแล้ว สืบยาก ข่าวลือนี้เกิดขึ้นอย่างมีเงื่อนงำ” เว่ยซูกล่าว

เซี่ยโห้วลิ่งหรี่ตา “ข่าวลือที่ไร้เหตุผลที่มาที่ไปแบบนี้ ถ้าสืบไม่ได้อะไร งั้นก็เหลือความเป็นไปได้อย่างเดียวแล้ว ใครได้ประโยชน์ ก็เป็นคนนั้นที่ปลุกลมสร้างคลื่น!”

“นายท่านสงสัยหนิวโหย่วเต๋อหรือขอรับ?” คนอื่นไม่รู้ชัด แต่ฝั่งนี้กลับรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนของหกลัทธิ คนอื่นไม่รู้ชัดว่าใครได้ประโยชน์ แต่ฝั่งนี้กลับรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อทำลายการควบคุมจากตระกูลเซี่ยโห้วได้แล้ว จากนั้นก็พยักหน้าบอกว่า “ก็มีความเป็นไปได้ แต่ทำไมจู่ๆ หนิวโหย่วเต๋อถึงปล่อยข่าวในเวลานี้? หรือว่าเขารู้แล้วว่าพวกเรารู้กำพืดเขา?” เว่ยซูลังเล

“เจ้าสามแทบจะสวมกางเกงตัวเดียวกับเขาอยู่แล้ว เรื่องความลับรั่วไหลก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” เซี่ยโห้วลิ่งแสยะยิ้ม

เว่ยซูกล่าวอย่างระแวงสงสัย “ไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อมีอำนาจมากขนากนั้น จุดอ่อนนี้เท่ากับช่วยพวกเราควบคุมกำลังมหาศาลนี้ได้ ต่อให้คุณชายสามจะโง่ขนาดไหน แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำลายรากฐานของตระกูลเซี่ยโห้วเสียเอวหรอกขอรับ”

เซี่ยโห้วลิ่งเอามือไขว้หลังเดินอ้อมต้นไม้ใหญ่ “ก็หวังว่าจะไม่ใช่ ข้าก็แค่เดาเท่านั้น ตอนนี้อำนาจของหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่สิ่งที่หกลัทธิจะควบคุมได้แล้ว เป็นไปได้ว่าอาจะปล่อยข่าวเพื่อตัดสัมพันธ์กับหกลัทธิแล้วตั้งตัวเป็นอิสระ สรุปก็คือไม่ว่าจะยังไง พอปล่อยข่าวลือพวกนี้ออกมา ก็ช่วยหนิวโหย่วเต๋อความกังวลที่ซ่อนอยู่ในใจได้แล้ว หนิวโหย่วเต๋อหลุดพ้นจากการควบคุมของพวกเราแล้ว!” เขาส่ายหน้า “ปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน ตอนหลังค่อยมาคิดบัญชี แก้ปัญหาเรื่องพระปีศาจหนานโปก่อน ทางฝั่งตระกูลอิ๋งสืบไปถึงไหนแล้ว?”

“ดูจากสถานการณ์ที่สืบได้ หลังจากพระปีศาจหนานโปหลุดออกไป ผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋งก็มีชีวิตชีวาขึ้นเยอะมาก ตอนนี้ยังยืนยันไม่ได้ว่าเกี่ยวข้องกับพระปีศาจหนานโปหรือเปล่า กำลังขุด! นายท่านวางใจได้ กำลังของทั้งตระกูลเซี่ยโห้วกำลังรวมตัวกันเคลื่อนไหว เมื่อมีทิศทางให้ลงมือแล้ว นอกเสียจากว่าผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋งจะตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ไม่อย่างนั้นช้าเร็วก็ต้องขุดเจอพระปีศาจแน่ เขาหนีไม่พ้นหรอก!” เว่ยซูตอบ

“ตอนนี้ข้าสงสัยว่าเจ้าสามรู้ได้ยังไงว่าพระปีศาจกับผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋งสมคบกัน เจ้าสามมีเรื่องกำลังปิดบังพวกเราอยู่!” เซี่ยโห้วลิ่งกล่าว

เว่ยซูบอกว่า “อย่างน้อยตอนนี้ก็มีสิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ การที่พระปีศาจยิ่งใหญ่ขึ้นนั้นเป็นภัยคุกคามต่อคุณชายสาม เป็นไปไม่ได้ที่คุณชายสามจะทำซี้ซั้วกับเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้น พอมาคิดดูตอนนี้ พระปีศาจตัวคนเดียว ในเวลานี้ไม่อาจทำงานใหญ่สำเร็จได้แล้ว ต้องหากำลังพลที่สามารถสมคบกันได้แน่นอน กำลังของตระกูลอิ๋งคือตัวเลือกเดียว ทั้งสองฝ่ายมีผลประโยชน์ร่วมกัน ทิศทางที่คุณชายสามตามสืบน่าจะไม่ผิดพลาด หลังจากพระปีศาจหลุดออกมา ผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋งก็คึกคักขึ้นมากจริงๆ ที่กล่าวมาล้วนเป็นจุดที่น่าสงสัย”

“ไม่กลัวภัยข้างนอก กลัวก็แต่ความกังวลภายใน!” เซี่ยโห้วลิ่งเงยหน้าถอนหายใจ ในดวงตาฉายแววกระหายการฆ่า

เว่ยซูเงียบไป แม้หัวหน้าตระกูลจะไม่ได้พูด แต่เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนตั้งนานแล้วว่าหัวหน้าตระกูลคิดจะสังหารคุณชายสาม หัวหน้าตระกูลอุตส่าห์สิ้นเปลืองความคิดเพื่อโค่นล้มอิ๋งจิ่วกวง แต่กลับไม่ได้อำนาจบารมีเพื่อกุมอำนาจทั้งหมดของทั้งตระกูลเซี่ยโห้วอย่างที่หวังได้ ทำให้หัวหน้าตระกูลเริ่มมีใจชิงชังกับพี่น้องพวกนี้แล้ว โดยเฉพาะคุณชายสามที่อยู่ในที่แจ้ง หน้าไหว้หลังหลอกเขาจนทำให้หนิวโหย่วเต๋อเป็นใหญ่อยู่ที่แดนรัตติกาล ส่วนหนิวโหย่วเต๋อพอได้ลูกท้อมาก็ตอบแทนด้วยลูกสาลี่ ไม่ชิงอำนาจการควบคุมตลาดผี เห็นได้ชัดว่าสองฝ่ายสมคบกัน หัวหน้าตระกูลคงคิดจะลงมือตั้งนานแล้ว แต่ถ้าคิดจะอาศัยให้มือสังหารแทรกซึมเข้าไปในตึกศาลาสัตยพรตที่คุณชายสามควบคุมมาหลายปี ก็อาจจะเพ้อฝันไปหน่อย ถ้าจะใช้กำลังทหารบุกโจมตี ทัพใหญ่แดนรัตติกาลก็จะลงมือทันที หัวหน้าตระกูลหาโอกาสลงมือได้ยากมาก ถึงได้อดทนมาตลอดแบบนี้

ตลาดผี ตึกศาลาสัตยพรต เงาร่างของเฉาหม่านโดดเดี่ยวอยู่ในความมืด แววตาของเขาเหม่อลอยขณะมองแสงโคมไฟใกล้ริบหรี่นอกหน้าต่าง

“เถ้าแก่!” ชีเจวี๋ยถ่ายทอดเสียงหลังจากเคาะประตู

เฉาหม่านเรียกสติกลับมา แววตากลับมาล้ำลึกอีกครั้ง “เข้ามา!”

ชีเจวี๋ยกับเฉาเฟิ่งฉือเข้ามาด้วยกัน พอปิดประตูแล้ว ก็ทำความเคารพเฉาหม่านที่กำลังหันหลังให้

เฉาหม่านหันตัวกลับมานั่งลงหลังโต๊ะ ใช้สายตามองสอบสวนทั้งสองนานมาก แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ช่วงนี้ข้างนอกมีข่าวลือครึกโครม คราดว่าพวกเจ้าคงได้ยินแล้ว พวกเจ้าคิดว่ายังไง?”

………………

Comment

Options

not work with dark mode
Reset