พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 998 หนึ่งท่าสังหาร

บทที่ 998 หนึ่งท่าสังหาร

ทะเล! ทะเลที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา!

กลุ่มคนเหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงบนเกาะแห่งหนึ่ง ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ มาเหยียบลงบนภูเขาไฟบนเกาะ เกาะแห่งนี้มีขนาดไม่เล็ก

กลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงปากภูเขาไฟก้มมองลงไปที่ท้องภูเขาไฟ เห็นได้ชัดว่าเลี่ยหวนกับหูเฟยรู้สึกคุ้ยเคยกับลักษณะพื้นภูมิแบบนี้มาก เหมียวอี้จึงถามว่า “ที่นี่เหมาะจะให้พวกเจ้าวางค่ายกลเพลิงอัคคีหรือเปล่า?”

สองสามีภรรยาสบตากันแวบหนึ่ง แล้วกระโดดลงไปสำรวจโดยตรง

หลังจากขึ้นมาแล้ว เลี่ยหวนก็ส่ายหน้าบอกว่า “ปัจจัยสู้เขาเพลิงนภาไม่ได้ แต่ถ้าให้วางค่ายกลอย่างเดียว ก็ยังพอถูๆ ไถๆ ไปได้อยู่”

“ได้ งั้นพวกเราก็พักกันที่นี่แหละ พวกเจ้าวางค่ายกลได้เลย”

เหมียวอี้เพิ่งจะออกคำสั่งตรงนี้ แต่จู่ๆ ก็มีเสียงตะโดนดังมาจากที่ไกลๆ “ใครมันบุกเข้ามาในอาณาเขตของตาแก่คนนี้วะ?”

ทุกคนเอียงหน้ามองตามเสียง เห็นเงาคนสามคนเหาะมาจากใต้หน้าผาตรงจุดไกลๆ ตอนนี้กำลังลอยอยู่บนฟ้า ผู้ที่นำหน้ามาคือชายชราผมเขียวคนหนึ่ง ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นสอง ทางซ้ายและขวาคือ ข้างซ้ายและข้างขวาคือสตรีวัยกลางคนที่สวมชุดเขียวสองคน หน้าตาเหมือนฝาแฝด ให้ความรู้สึกเดียวกับสองพี่น้องโอวหยาง บนกายทั้งสามมีปราณปีศาจเหมือนกัน กำลังจ้องทุกคนที่อยู่บนปากภูเขาไฟเบื้องล่างด้วยสายตาเกรี้ยวโกรธ

เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าไม่สนหรอกว่าเกาะนี้จะเป็นของใคร ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะยึดเกาะนี้ไว้ใช้งาน ปีหน้าพวกเจ้าค่อยกลับมาก็แล้วกัน”

ชายชราชุดเขียวตะคอกถามอย่างดุดัน “เป็นใครกันมาพูดจาอวดดี เจ้าบอกว่าจะยึดก็แปลว่าจะยึดได้เหรอ?”

เหมียวอี้ส่งสัญญาณให้ทางซ้ายทางขวาเล็กน้อย บนตัวของทุกคนมีหมอกสีทองลอยขึ้นมา ชั่วพริบตาเดียวเกราะรบสีทองของตำหนักสวรรค์ก็คลุมร่างกายแล้ว สีทองระยิบระยับจ้าตาอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกราะรบบนตัวเหมียวอี้สะดุดตาที่สุด เกราะรบห้าแถบสีทองอร่ามกึ่งโปร่งแสง ทำให้นักพรตปีศาจทั้งสามตกตะลึงอ้าปากค้าง

เหมียวอี้ตะคอกว่า “พวกเราได้รับบัญชาสวรรค์ให้มาทำงาน ใครกล้ามาขัดอำนาจสวรรค์ ฆ่าไม่ละเว้น! ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”

ชายชราชุดเขียวหัวหด ใบหน้าฉายแววหวาดกลัว รีบกุมหมัดคารวะซ้ำๆ แล้วรีบอุ้มสตรีวัยกลางคนสองคนที่ตกใจจนหน้าถอดสีหนีไป หายไปยังท้องฟ้าที่อยู่ไกลๆ ไม่กล้าพูดมากเลยสักคำ

เลี่ยหวนหัวเราะเบาๆ พลางตบเกราะทองบนร่างกายตัวเอง “สงสัยหนังเสือบนตัวจะมีอานุภาพน่าหวาดกลัวมากจริงๆ”

เหมียวอี้หันซ้ายหันว่า “พวกเจ้าห้าคนค้นหาให้ทั่วเกาะ ไล่คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปให้หมด ใครขัดคำสั่ง ฆ่า!”

“รับทราบ!” ชิงเฟิง โพ่คง ราชาปีศาจทะเลคราม เลี่ยหวนและหูเฟยกุมหมัดน้อมรับคำสั่ง จากนั้นก็แยกกันค้นหาไปทั่วทั้งสี่ทิศโดยใช้ปากภูเขาไฟเป็นจุดศูนย์กลาง

มีเพียงอิงอู๋ตี๋ที่ยังยืนเอามือไขว้หลังอยู่ข้างเหมียวอี้ ถามว่า “สถานที่นี้มีประโยชน์ต่อการฝึกตนของเจ้าเหรอ? ดูเหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษนะ!”

เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่กี่ปีมานี้ข้าคอยสืบข่าวมาตลอด สถานที่ที่เหมาะสมกว่านี้ก็มีเหมือนกัน เพียงแต่อยู่ห่างจากดาวเทียนหยวนมากเกินไป นอกจากจะไปกลับลำบากแล้ว ดีไม่ดีอาจจะโดนศัตรูจับจ้องได้ ยังเป็นที่นี่ที่พอถูไถไปได้”

ที่จริงเขาต้องการหาบริเวณที่น้ำทะเลลึกเพื่อฝีกตน แต่จนใจที่อาศัยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ ทะเลลึกทั่วไปใช้ไม่ได้ผลสักเท่าไร แต่เมื่อมีกลุ่มปีศาจเฒ่าของทะเลดาวนักษัตรมาด้วย ก็ยังพอถูไถฝึกตนที่นี่ได้ เขาสืบข้อมูลมาแล้ว ว่าจุดที่ห่างจากตรงนี้ไม่ไกลมากคือน่านน้ำที่ลึกที่สุดของดาวเทียนหยวน ดังนั้นถึงได้พาคนมาที่นี่ เจ้าของเดิมของเกาะนี้โชคร้ายไปหน่อยก็เท่านั้นเอง

“ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งปี จะฝึกอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเหรอ?” อิงอู๋ตี๋ถาม

“ลองดูก่อนแล้วกัน ข้าก็เลยเชิญพี่สามมาช่วยเป็นเพื่อนตอนฝึกนี่ไง” เหมียวอี้ตอบ

“ถ้าต้องการความร่วมมืออะไร เจ้าก็บอกมาได้เลย” อิงอู๋ตี๋พยักหน้า

หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม พวกชิงเฟิงก็ทยอยกันกลับมา กลับมารายงานว่าไม่พบคนอื่นบนเกาะแล้ว

จกานั้นพวกเขาก็ขุดห้องถ้ำหลายห้องบนหน้าผารอบๆ ปากภูเขาไฟ เอาไว้หลบแดดหลบฝน

พวกเขาไม่รีบฝึกตนในวันนั้น เหมียวอี้ต้องการสำรวมจิตใจก่อน เก็บสำรวมร่างกายและจิตใจออกมาจากความสับสนอลหม่านของโลกภายนอก ที่เหล่าไป๋เคยชี้แนะว่าให้เขาอยู่ในสภาพตัดขาดจากโลกภายนอกยามฝึกตน เขายังคงจำได้ ทุกๆ วันในตอนนั้นในใจของเขามีแต่เรื่องการฝึกตนเท่านั้น เรียกได้ว่าจิตใจไม่วอกแวก

และสิ่งที่เขาอยากจะเรียนรู้ให้บรรลุก็มีสองอย่าง

อย่างแรก หนึ่งทวนสิบสังหารของตัวเองสามารถแยกออกจากันได้หรือไม่? ไม่อย่างนั้นถึงแม้มันจะมีอานุภาพเยอะมาก แต่พอลงมือครั้งเดียวตัวเองก็หมดแรง ไม่มีกำลังไว้ใช้ตอนหลังอีก กระบวนท่านี้ไม่เหมาะจะนำมาใช้ต่อสู้เลย เหมาะจะเอาไว้ใช้ตอนต้องสู้สุดกำลังเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นการรนหาที่ตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากได้ประมือกับปีศาจโลหิตครั้งก่อน เขาก็พบว่าอานุภาพของหนึ่งทวนสิบสังหารเพิ่มขึ้นหลายเท่า ทั้งยังมีตัวแปรใหม่ปรากฏขึ้นมา ยิ่งกระตุ้นให้เขาอยากจะใช้กระบวนท่าหนึ่งทวนสิบสังหารได้อย่างอิสระยิ่งขึ้น หลายปีมานี้เขาครุ่นคิดและเตรียมตัวมาตลอด

อย่างที่สอง เขาอยากจะรู้ว่าจุดสีดำบนหัวทวนที่เกิดขึ้นตอนใช้ท่าหนึ่งทวนสิบสังหารครั้งก่อนคืออะไรกันแน่ เหตุใดจึงทำให้อานุภาพยามออกทวนเพิ่มขึ้นหลายเท่า ในเมื่อในโผล่อยู่บนหัวทวนได้ แล้วจะควบคุมให้มันอยู่บนหมัดของตัวเองได้หรือเปล่า? ถ้าหากทำอย่างนั้นได้ อาศัยการตอบสนองที่รวดเร็วของเขาบวกกับอานุภาพนี้ ก็สามารถจินตนาการถึงลัพธ์ได้เลย

สำหรับเขา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยพบมาก่อน เหล่าไป๋ไม่เคยชี้แนะเรื่องนี้ เขาจึงอยากจะบุกเบิกมันสักหน่อย

“คุณชายสาม คุณชายห้า รีบมาดูสิ พวกเราเจอสถานที่ดีๆ แล้ว” หูเฟยพลันโฉบผ่านท้องฟ้าเข้ามา แล้วตะโกนโหวกเหวกอย่างตื่นเต้นดีใจอยู่ตรงนั้น

คนอื่นๆ ไม่รู้ว่านางค้นพบอะไร พอวิ่งตามนางไปดู ทุกคนก็พูดไม่ออกทันที ที่แท้ก็เป็นหาดทรายผืนหนึ่ง

แต่หาดทรายผืนนี้งดงามมาก ทรายเหมือนกับหยกขาวที่โดนบดให้ละเอียด สะอาดบริสุทธิ์ คลื่นสีเขียวครามที่ขึ้นๆ ลงๆ ซัดฟองคลื่นสีขาวบริสุทธ์ ให้ไหลขึ้นและไหลลง ต้นมะพร้าวที่อยู่หลังฝั่งราวกับภาพวาด ทิวทัศน์สวยงามมากจริงๆ

“ประสบการณ์น้อยเลยเห็นเป็นเรื่องแปลก!” ราชาปีศาจทะเลครามพูดจาดูถูก เขาบุกตะลุยไปทั่วมหาสมุทรมาทั้งชีวิต แค่หาดทรายผืนเดียวไม่นับว่าแปลกใหม่อะไร

หูเฟยกลับเตะรองเท้าปักลายออก เดินเท้าเปล่าพร้อมยกกระโปรงขึ้น โห่ร้องอย่างตื่นเต้นเบิกบานใจ เหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสาคนหนึ่ง ทิ้งรอยเท้าสองข้างไว้บนหาดทรายสีขาวบริสุทธิ์ เพียงแต่ตอนที่วิ่งกลับมา หน้าอกของนางก็เรียกได้ว่าโดนคลื่นลูกใหญ่ซัด ทำให้คนกังวลว่าเนื้อกลมๆ สองก้อนที่โผล่ออกมาครึ่งหนึ่งของนางจะกระโดดเด้งออกมา

เห็นเพียงนางพุ่งตัวไปทางทะเลสีเขียวคราม กระโดดโลดเต้นอย่างเริงร่าแล้วกระโจนลงไปในฟองคลื่น

เหมียวอี้และคนอื่นๆ ส่ายหน้าพูดไม่ออก เป็นปีศาจที่มีชีวิตอยู่มาตั้งกี่ปีแล้ว ยังมีนิสัยประหลาดแบบนี้อีกเหรอ

ก็แค่หาดทรายผืนเดียวเอง! เลี่ยหวนอับอายนิดหน่อย กังวลว่าเหมียวอี้และคนอื่นๆ จะเข้าใจผิดสงสัยว่าเมียตัวเองกำลังตบตาทุกคนอยู่ จึงอธิบายว่า “คุณชายสาม คุณชายห้า ผู้หญิงคนนี้ก็แค่คึกคะนอง พวกท่านเป็นผู้ใหญ่อย่าถือสาผู้น้อยเลย อย่าไปถือสาคนอ่อนด้อยประสบการณ์อย่างนาง”

ใครจะไปไปถือสาคนอ่อนด้อยประสบการณ์อย่างนางล่ะ! เหมียวอี้หันกลับมาถามว่า “ชิงเฟิง ได้ยินว่าหนึ่งท่าสังหารของเจ้ามีอานุภาพไม่ธรรมดา ให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อยได้มั้ย ไม่แน่ว่าอาจจะมีประโยชน์กับการฝึกตนในครั้งนี้ของข้า”

“คุณชายห้าอยากจะเปิดหูเปิดตาอย่างไรล่ะ?” ชิงเฟิงถาม

เหมียวอี้ยืนตรงหน้าเขา แล้วจู่ๆ ก็ขยับร่างเสียงดังพรึ่บ เท้าสองข้างไถลถอยหลังแนบหาดทรายออกไปไกลหลายจั้ง “เจ้าโจมตี ข้าตั้งรับ ดูว่าข้าจะต้านทานได้หรือไม่!”

เมื่อชิงเฟิงได้ยินดังนั้น ก็ดูลังเลนิดหน่อย

อิงอู๋ตี๋รู้ถึงความลำบากใจของเขา จึงเตือนว่า “น้องชาย ข้ารู้ว่าการตอบสนองของเจ้าก็รวดเร็วเหมือนกัน แต่หนึ่งท่าสังหารของชิงเฟิงมีอานุภาพไม่ธรรมดา ถ้าหากหลบไม่ทันขึ้นมา ต่อให้เป็นปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียนก็ต้านทานไม่ไหว! ระยะห่างของพวกเจ้าสองคนใกล้กันเกินไปแล้ว!”

ชิงเฟิงบอกเช่นกันว่า “คุณชายห้า ถ้าข้าลงมือด้วยกำลังทั้งหมดที่มี พอได้เริ่มลงมือ ยังไม่ทันรอให้ใช้พลังจนหมด ตัวข้าเองก็ควบคุมไม่ได้แล้ว ถ้าหากข้ายั้งมือปลดปล่อยไม่เต็มที่ ก็จะแสดงอานุภาพออกมาไม่ได้”

เมื่อกล่าวมาแบบนี้ เหมียวอี้ก็ตาเป็นประกาย ราวกับค้นพบความรู้สึกร่วมเวลาป่วยโรคเดียวกัน

เลี่ยหวนกับราชาปีศาจทะเลครามก็พยักหน้าเช่นกัน “คุณชายห้า หนึ่งท่าสังหารของทูตขวาชิงไม่ใช่เล่นๆ นะ จะทดสอบซี้ซั้วไม่ได้ หาอย่างอื่นมาทดสอบเถอะ!”

เหมียวอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วชี้ที่ข้างหัวไหล่ บอกใบ้ว่าอย่าโจมตีโดนตัวเขา ให้โจมตีมาข้างๆ เขา “ดูว่าข้าจะหยุดยั้งได้หรือเปล่า!”

ทุกคนพยักหน้า แบบนี้ก็พอได้

ชิงเฟิงก็พยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรมากอีก ในชั่วพริบตาเดียวก็ยืนนิ่งสงบ ท่าทางเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบดุร้าย อากาศที่อยู่รอบข้างราวกับแข็งตัวในชั่วอึดใจเดียว ยังไม่ทันได้ลงมือ ลักษณะพลังที่แสดงออกมาก็ทำให้คนสะเทือนใจแล้ว นี่คือสิ่งที่สะท้อนออกมายามรวบรวมจิงชี่เสิน[1]ให้อยู่ในจุดสูงสุด

เหมียวอี้รู้สึกฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่า เอียงหน้าเล็กน้อย หลับตาลงช้าๆ รวบรวมจิงชี่เสินของตัวเองให้อยู่ในจุดสูงสุดเช่นกัน

ทุกคนประหลาดใจ เมื่อเผชิญกับหนึ่งท่าสังหารของชิงเฟิง ไม่น่าเชื่อว่าคุณชายห้ายังจะกล้าหลับตา แบบนี้ประมาทไปหน่อยหรือเปล่า

แต่มีเพียงคนมีทักษะที่เข้าใจเรื่องนี้เท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าใจอะไรบางอย่างได้ ตอนนี้ในดวงตาชิงเฟิงฉายแววเย็นเยียบแล้ว

คนที่ยืนอยู่ทั้งสองฝั่งพลันรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดกลุ่มหนึ่ง ราวกับต้องการจะดูดตัวเองเข้าหาชิงเฟิง ทางฝั่งชิงเฟิงเหมือนกับมีหลุมดำของอากาศหลุมหนึ่ง แล้วก็เหมือนมีพลังที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งที่ทำให้ทุกคนนิ่งชะงัก พวกเขายังไม่ทันรู้ตัวว่ามันคืออะไร ชิงเฟิงก็หายไปจากฉากที่กำหนดไว้แล้ว เงาสีเขียวพร้อมกับกลิ่นอายสังหารที่ทำให้คนต้องกลั้นหายใจมาปรากฏอยู่ตรงข้างกายเหมียวอี้ในชั่วพริบตาเดียว

ทุกคนอ้าปากค้าง เรียกได้ว่าตกตะลึงมาก จับได้แล้ว! ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร แทบจะไร้ซึ่งสุ้มเสียง ไม่น่าเชื่อว่าเหมียวอี้จะคว้าแขนของชิงเฟิงไว้ได้!

ถึงแม้เหมียวอี้จะคว้าแขนของชิงเฟิงเอาไว้ได้ แต่กลับโดนแรงโจมตีมหาศาลกลุ่มหนึ่งพาให้ไถลไปข้างหลังพร้อมกัน

ไถลออกไปไกลสิบกว่าจั้ง ตอนนี้เงาร่างของชิงเฟิงถึงได้ปรากฏขึ้นจากภาพลวงตา เงาร่างทั้งสองที่ไถลออกมาหยุดนิ่งพร้อมกัน

เหมียวอี้กลับเบิกตากว้าง เขาหันไปมองชิงเฟิงและปลายนิ้วสองนิ้วที่ชี้ออกมา พบว่าปลายนิ้วอีกฝ่ายมีแสงกระบี่ที่มีพลังน่าเกรงขามปรากฏออกมา และตรงยอดของแสงกระบี่ก็มีจุดสีดำเล็กๆ จุดหนึ่งกำลังหมุนวน สภาพเหมือนตอนที่เขาใช้ท่าหนึ่งทวนสิบสังหาร

ตามที่จุดสีดำเล็กๆ นั่นค่อยๆ หายไป ลมพายุที่หมุนวนก็กำลังเริงระบำอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน

ในที่สุดเขาก็เข้าใจถึงสิ่งที่อิงอู๋ตี๋บอกแล้ว ต่อให้ปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียนให้กำลังปะทะกับชิงเฟิง แต่ก็ต้านทานท่านี้ของชิงเฟิงไม่ไหวอยู่ดี เพราะเป็นแบบนั้นจริงๆ ตอนนั้นนักพรตบงกชทองขั้นเจ็ดอย่างจงหลีค่วยก็รับมือกับจุดดำนี้ไม่ไหวเหมือนกัน

สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้หัวใจเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง แบบนี้ก็หมายความว่า ตัวเองอาจจะสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาได้เหมือนกัน สามารถควบคุมจุดสีดำนี้ไว้บนหมัดเท้าของตัวเองได้

ส่วนชิงเฟิงก็มองเหมียวอี้ด้วยสีหน้าตื่นตะลึง เหมือนไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง!

“ว้าว! ไม่น่าเชื่อว่าคุณชายห้าจะต้านทานหนึ่งท่าสังหารของทูตขวาชิงได้!” จู่ๆ ก็มีเสียงร้องอุทานที่ชัดใสดังมาจากริมทะเล

ทุกคนหันไปมอง เห็นหูเฟยวิ่งออกมาจากฟองคลื่น แล้วถลันตัวมาอยู่ข้างกายทุกคน เพียงแต่ร่างกายที่เปียกน้ำได้เผยความสะโอดสะองและส่วนเว้าส่วนโค้งออกมาจนหมด เสื้อผ้าโปร่งแสงมาก เห็นส่วนเว้าส่วนนูนข้างในอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ทำให้คนที่เห็นเลือดกำเดาไหล เรือนร่างของปีศาจจิ้งจอกคนนี้เร่าร้อนเย้ายวนเกินไปแล้ว สมกับป็นนางปีศาจอย่างแท้จริง!

เลี่ยหวนหน้าบึ้งทันที ตบฝ่ามือไปหนึ่งที ลมที่ร้อนจี๋กลุ่มหนึ่งทำให้มีไอสีขาวลอยขึ้นจากตัวหูเฟย เสื้อผ้าที่แนบเนื้อนางคลายออกทันที ปิดบังเรือนร่างอันสุดยอดของหูเฟยเอาไว้แล้ว

แต่ในเวลานี้ทุกคนไม่มีอารมณ์มาชื่นชมความงามของหูเฟย แต่รีบถลันตัวเข้ามา มองดูเหมียวอี้คลายมือออกจากแขนของชิงเฟิงอย่างช้าๆ

อิงอู๋ตี๋ตกตะลึงที่สุด “เจ้าห้า ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะตอบสนองเร็วขนาดนี้!” เห็นได้ชัดว่าทำให้ให้เชื่อได้ยาก

ในดวงตาชิงเฟิงฉายแววปรารถนาการต่อสู้อย่างชัดเจน กล่าวด้วยแววตาคมกริบว่า “คุณชายห้า ลองอีกสักครั้งมั้ยล่ะ!”

เหมียวอี้โบกมือ “ไม่ต้องลองแล้ว ข้าต้านไม่ไหว”

“ทำไมล่ะ?” หูเฟยแปลกใจ “ข้าเห็นอยู่ชัดๆ ว่าท่านต้านทานไหว!”

เหมียวอี้ยิ้มขื่นขม “ข้าอยากจะจับข้อมือของเขา แต่กลับจับได้แขนของเขาแทน ถ้าโจมตีเข้ามาข้างหน้าตรงๆ ระยะห่างเท่านี้ก็สามารถทำอันตรายข้าถึงชีวิตได้ ถ้าทั้งสองฝ่ายประมือกันในระยะไกลอีกสักสิบจั้ง ข้าก็อาจจะต้านทานไหว หนึ่งท่าสังหารของทูตขวาชิงยอดเยี่ยมตามชื่อเสียง ไม่น่าเชื่อว่าอาศัยแค่กายเนื้อโจมตีก็ยังสามารถแสดงอานุภาพออกมาได้ขนาดนี้!”

…………………………

[1] จิงชี่เสิน 精气神 ในทางเต๋าจัดว่าเป็นหัวใจหลักของมนุษย์ จิง คือสารสำคัญในร่างกาย เช่นฮอร์โมน สารอาหาร เชื้ออสุจิ ชี่ คือพลังปราณ เสิน คือ จิตวิญญาณ หรือจิตสำนึก ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่างนี้ไป ก็ไม่อาจเรียกว่าเป็นมนุษย์ได้

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset