พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1944 เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยไร้สาเหตุ

“สำนักลมปราณ?” ลี่หัวตะลึงงันกับคำพูดของเขา นางไม่เคยส่งคนเข้าไปประจำที่อาณาเขตของหนิวโหย่วเต๋อ มิหนำซ้ำนางก็ไม่ได้สนใจเรื่องของสำนักลมปราณสักเท่าไร จะไปรู้ได้อย่างไรว่าสำนักลมปราณมาที่นี่แล้ว นางจ้องเขาอย่างเย็นเยียบพักหนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “ข้าไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น!”

เว่ยซูพยักหน้า “ดี! งั้นข้าก็จะตั้งตารอ ถ้าสำนักลมปราณปักหลักอยู่ที่นี่ ข้าก็จะมารบกวนอีก” พูดจบก็หันตัวเดินออกไป ไม่เปลืองคำพูดอีก

ลี่หัวยืนเงียบอยู่ในตำหนัก

พอออกจากตำหนักแล้ว เว่ยซูที่นำคนกลุ่มหนึ่งเหาะออกไปก็ยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อชอบเล่นแบบนี้ ถึงอย่างไรมาถึงที่นี่แล้วก็ถือโอกาสแวะไปสักหน่อย

ตอนที่พวกเขาออกไปได้ไม่นาน กลุ่มคนที่มีสมาชิกเก้าคนก็เหาะมาจากดาราจักรด้วยความเร็ว เหาะฝ่าชั้นบรรยากาศ แล้วพุ่งไปยังตำแหน่งของปราสาทดำเนินจันทร์

ทว่าชั่วพริบตาที่พวกเขาปรากฏตัวบนท้องฟ้า บนพื้นก็มีคนจำนวนมากพุ่งขึ้นมา ดักพวกเขาเอาไว้กลางท้องฟ้า

เก้าคนที่เหาะมาหยุดและเตรียมพร้อมป้องกันทันที ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพวกลิ่งหูโต้วจ้งที่ปลอมแปลงใบหน้าแล้ว

เมื่อเห็นว่าบนพื้นมีคนหลายคนเข้ามาล้อมพวกเขาไว้ ลิ่งหูโต้วจ้งก็สังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทันที ผู้ที่มาล้วนเป็นผู้ชาย ปราสาทดำเนินจันทร์มีผู้ชายมาจากไหนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้ปลอมตัวมาแล้ว

ไม่รอให้พวกเขาเอ่ยถาม พอหลายคนที่ล้อมไว้โบกมือ ข้างหลังของแต่ละคนก็มีคนเพิ่มมาอีกสิบคน ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นทหารหลายหมื่นล้อมพวกลิ่งหูโต้วจ้งไว้ตรงกลาง คนพวกนี้สวมเครื่องแบบเกราะรบของตำหนักสวรรค์ ทั้งยังยศไม่ต่ำด้วย

ลิ่งหูโต้วจ้งสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย มองเห็นคนคุ้นหน้าจากตรงกลางแล้ว ในหัวมีเพียงคำว่า : กองทัพองครักษ์!

ผู้ที่นำหน้ามาถอดหน้ากากปลอมออก แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ลิ่งหูโต้วจ้ง ฮวาผู้นี้รอมานานแล้ว!”

“ฮวาอี้เทียน…” ลิ่งหูโต้วจ้งพลันเบิกตากว้างพลางกัดฟัน ตามที่เห็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากเล็งไปที่พวกเขา ในที่สุดก็ตระหนักได้แล้วว่าตัวเองตกหลุมพราง กำลังพลล้วนถูกควบคุมไว้ที่ดาวจันทร์อี่ ข้างกายเขาแทบจะไม่มีกำลังพลสักเท่าไรเลย เขายังนึกว่าประมุขชิงมีคำสั่งลับให้เขาจัดตั้งกลุ่มอำนาจลับเสียอีก ในใจยังแอบปลาบปลื้มอยู่เลย มีหรือที่จะรู้ว่าติดกับดักที่ถึงแก่ชีวิต…

เสียงระเบิดตูมตามดังอยู่ในท้องฟ้า เสียงดังสะท้านฟ้าสะเทือนดิน!

ในตำหนักหลักของปราสาทดำเนินจันทร์ คนจำนวนมาถลันตัวมาข้างกายลี่หัว มีคนรายงานอย่างร้อนใจว่า “ประมุขปราสาท มีคนของตำหนักสวรรค์มาไล่ฆ่ากันที่นี่ จะส่งคนไปขับไล่หรือเปล่าคะ?”

ลี่หัวที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโบกแขนเสื้อสีเงินเบาๆ “ไม่ต้องแล้ว ทางวังสวรรค์บอกข้าล่วงหน้าแล้ว อีกไม่นานก็จะออกไปเอง สุนัขกัดกัน ไม่เกี่ยวกับพวกเรา!”

ดาวจันทร์อี่ การลงโทษคนหลายสิบล้านยังคงดำเนินต่อไป

เหวินเจ๋อที่ยืนอยู่บนเนินเขาพลิกมือคว้าระฆังดาราอันหนึ่ง ไม่รู้ว่าติดต่อไปที่ไหน จากนั้นก็เก็บระฆังดาราไว้อีก

เหมียวอี้เหล่ตามอง เหวินเจ๋อสังเกตเห็นแล้ว จึงยิ้มเรียบๆ แล้วบอกว่า “น้องชาย สงสัยจะต้องใช้เวลาอีกสักช่วงหนึ่ง พวกเราไม่จำเป็นต้องรออยู่ที่นี่เฉยๆ เหมือนพวกเราจะไม่ได้ดื่มสุราด้วยกันมานานมากแล้วนะ”

ในเมื่อเขาเอ่ยปากแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่กล้าปฏิเสธ แต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล ไม่รู้ว่าตัวเองขี้ระแวงเกินไปหรือเปล่า เขาพยักหน้าเอ่ยรับและยื่นมือเชิญ แต่ก่อนจะไปยังแอบถ่ายทอดเสียงสั่งหยางเจาชิง ให้สังเกตดูความผิดปกติอย่างเข้มงวด

เหวินเจ๋อทิ้งลูกน้องไว้ตรงนี้ทั้งหมด แต่ตามเหมียวอี้กลับไปที่จวนหัวหน้าภาคเพียงลำพัง

ตอนที่กลับมาถึงหน้าประตูจวนหัวหน้าภาค เหวินเจ๋อก็ยังชี้ป้ายบนประตูพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “กำลังจะกลายเป็นจวนผู้สำเร็จราชการแล้ว”

เมื่อกลับเข้ามาในจวน ก็ย่อมมีคนเตรียมสุราอาหารมาส่งให้ ทั้งสองนั่งดื่มและพูดคุยอยู่ตรงข้ามกัน พูดคุยสัพเพเหระ โดยเฉพาะเรื่องในอดีตตอนอยู่อุทยานหลวง

เหมียวอี้ถือโอกาสถามเรื่องจ้านหรูอี้ เขาได้ยินเซี่ยโห้วเฉิงอวี่บ่นเรื่องในด้านนี้เยอะมาก

เหวินเจ๋อตอบไปส่งเดช ไม่อยากลงลึกรายละเอียด บอกเพียงว่าไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องสนใจ

พอดื่มไปได้ครึ่งทาง จู่ๆ หยางเจาชิงก็รายงานมา “นายท่าน ได้ข่าวจากทหารยามในดาราจักร ฮวาอี้เทียน ผู้ตรวจการใหญ่กองทัพองครักษ์มาแล้ว เขาไม่สนใจคนขวาง บุกเข้ามาโดยตรงแล้วขอรับ!”

เหมียวอี้พลันยืนขึ้น แล้วถามด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว “ข้าให้พวกเขาเฝ้ายามอยู่ที่นั่น แต่มัวไปทำอะไรกินอยู่?”

หยางเจาชิงรีบตอบว่า “คนฝั่งลิ่งหูโต้วจ้งที่มาขอพึ่งพาค่อนข้างกลัวจนหัวหด ไม่กล้าขวางกองทัพองครักษ์ เป็นคนของพวกเราที่อยู่แถวนั้นเห็นแล้วเข้าไปถาม ถึงได้รู้สถานการณ์!”

“มากันกี่คน?” เหมียวอี้ถาม

หยางเจาชิงตอบว่า “ไม่ทราบขอรับ ตามรายงาน ดูแล้วน่าจะมีประมาณร้อยคน แต่ที่แปลกก็คือเหมือนจะมาจากฝั่งปราสาทดำเนินจันทร์”

เหมียวอี้จ้องเหวินเจ๋อทันที ถามเสียงต่ำว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ฮวามาที่นี่ด้วยตัวเอง เหตุใดไม่รู้ข่าวล่วงหน้าเลยสักนิด? พี่เหวินกำลังเล่นลูกไม้อะไรกันแน่?”

เหวินเจ๋อยิ้มบางๆ รินสุราดื่มเองแล้วตอบว่า “ข้าจะเล่นตุกติกอะไรได้ เป็นลิ่งหูโต้วจ้งที่เล่นตุกติก ก่อนหน้านี้ข้าก็เพิ่งรู้ข่าวเช่นกัน ลิ่งหูโต้วจ้งไม่พอใจกับคำสั่งลดยศต่ำแหน่ง นำกลุ่มลูกน้องคนสนิทไปวางแผนทรยศ ผลปรากฏว่าเจอผู้ตรวจการใหญ่ฮวา โดนผู้ตรวจการใหญ่ฮวาประหารไปแล้ว!”

“อะไรนะ?” เหมียวอี้ตกใจมาก กล่าวอย่างโมโหว่า “เป็นไปไม่ได้! กำลังพลของเขาล้วนอยู่ที่นี่ จะทรยศได้ยังไง?”

เหวินเจ๋อถอนหายใจ “น้องชาย ความจริงชนะคำแก้ตัว ในโลกนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ดื่มสุราของเจ้าอย่างสงบใจเถอะ มีแต่ผลดีไม่มีผลร้ายกับเจ้า!”

“แซ่เหวิน เจ้าวางอุบายกับข้า!” เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้ามืดครึ้ม

พอพูดจบ ด้านนอกก็มีเสียงกำลังพลกลุ่มหนึ่งเข้ามา พวกชิงเยว่เข้ามาล้อมเหวินเจ๋อไว้โดยตรง ดาบในมือชิงเยว่จ่ออยู่บนคอเหวินเจ๋อแล้ว

เหวินเจ๋อไม่สะทกสะท้านเลย ยังคงเอาแต่ดื่มสุราของตัวเองไป

“เตรียมรบ!” เหมียวอี้คำรามสั่งหยางเจาชิงแล้ว

หยางเจาชิงแทบจะตะโกนตอบอย่างร้อนใจว่า “นายท่าน ฮวาอี้เทียนถูกทหารยามดักไว้ตรงประตู เรียกนายท่านให้ไปพบสักครั้งขอรับ”

“จับตัวไว้!” เหมียวอี้ตะคอกสั่ง เหวินเจ๋อจึงถูกมัดตรงนั้น แล้วถูกจูงตามหลังเหมียวอี้ที่เร่งฝีเท้าเดินออกไป

ระหว่างทาง หยางเจาชิงรายงานอีกว่า “ตรงจุดลงโทษมีกำลังพลกองทัพองครักษ์จำนวนมากปรากฏตัว ล้อมที่พักคนในครอบครัวพวกนั้นไว้แล้ว”

เหมียวอี้ถลันตัวเข้าไปทันที แทบจะถึงประตูในชั่วพริงตาเดียว เห็นเพียงทหารยามกำลังขวางคนสิบกว่าคนเอาไว้ ผู้ที่นำหน้ามาก็คือฮวาอี้เทียนที่กำลังยืนเอามือไขว้หลัง

ฮวาอี้เทียนเงยหน้ามองธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งพันคันบนกำแพงเมืองที่กำลังเล็งมาที่ตัวเอง แล้วยิ้มเรียบๆ ให้เหมียวอี้ที่ปรากฏตัว “ผู้ตรวจการใหญ่หนิวรับแขกอย่างนี้เหรอ?”

เหมียวอี้อยู่ภายใต้การคุ้มกันจากคนหลายร้อย แล้วตะคอกถามเสียงต่ำว่า “พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”

ในขณะนี้เอง อวิ๋นจือชิวนำคนเหาะลงมาจากฟ้า พอนางเห็นฉากตรงหน้า ก็หน้าซีดเผือดทันที ไม่กล้าเข้าใกล้

ฮวาอี้เทียนพยักหน้าเบาๆ ทักทายนาง แล้วบอกเหมียวอี้อีกว่า “พอแล้ว! หนิวโหย่วเต๋อ ข้ามาที่นี่ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเจ้า ไม่อย่างนั้นข้าคงเอากำลังทหารมาเยอะแล้ว คนของเจ้าเล็กน้อยเท่านี้ต้านข้าไม่ไหวหรอก ปล่อยมาเถอะ!” เขาพยักหน้าไปทางเหวินเจ๋อที่ยู่ท่ามกลางกลุ่มคน

“ถ้ากล้าขยับซี้ซั้วก็ฆ่าเขาซะ!” นี่คือคำตอบของเหมียวอี้ จากนั้นก็พูดกับฮวาอี้เทียนอย่างเย็นเยียบว่า “ต่อให้เป็นกองทัพองครักษ์ แต่ก็จะมาตามอำเภอใจที่นี่ไม่ได้ มีคำบัญชาจากฝ่าบาทหรือเปล่า!”

ฮวาอี้เทียนไม่แยแสเขาแล้ว พูดแค่ว่า “ไป” แล้วจากนั้นก็นำคนเหาะขึ้นฟ้าไปเสียเลย ดูจากทิศทางที่ไปก็รู้ว่าไปยังจุดลงโทษลดตำแหน่ง

เหมียวอี้พุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว อวิ๋นจือชิวถลันตัวมาตรงหน้าเขา แล้วกล่าวอย่างร้อนใจว่า “จู่ๆ ก็มีกองทัพองครักษ์มาเยอะขนาดนี้ มันเรื่องอะไรกันแน่ มาล้อมที่พักสมาชิกในครอบครัวทหารพวกนั้นเอาไว้!”

ตรงนี้เพิ่งจะพูดจบ เหมียวอี้ยังไม่ทันได้ถามสถานการณ์ ก็มีคนอีกกลุ่มเหาะเข้ามาแล้ว เป็นลูกน้องบางส่วนของลิ่งหูโต้วจ้ง แต่ละคนมีสีหน้าเดือดดาล หนึ่งในนั้นถามว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ กองทัพองครักษ์ล้อมคนในครอบครัวพวกเราเอาไว้หมายความว่าอะไร?”

เหมียวอี้มองข้ามยอดฝีมืออย่างพวกเขา ก้าวไปข้างหน้า ดึงคอเสื้อคนคนนั้นแล้วตะคอกถามอย่างโมโหว่า “ข้าก็อยากจะถามเหมือนกันว่าคนที่พวกเจ้าพามานี่มันอะไรกันแน่? ข้าให้พวกเขาเฝ้าดาราจักรเอาไว้ แต่นึกไม่ถึงว่ามีคนมาแล้วจะไม่รู้จักขวางเอาไว้ ดันปล่อยให้เข้ามา คนบุกมาถึงประตูบ้านข้าแล้ว ดาบมาจ่อถึงคอข้าแล้ว ถ้าปล่อยให้พวกเจ้าเฝ้ายามต่อไป ตอนนอนหลับหัวข้าจะหลุดยังไงก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ คนหลายสิบล้านยังใช้การไม่ได้เท่าคนไม่กี่หมื่นของข้าเลย พวกสวะไร้ประโยชน์!” พูดจบก็ผลักอีกฝ่ายออกไป

คนกลุ่มนี้ถูกด่าจนพูดไม่ออก ข่าวที่ฝั่งนี้ได้รับมาก็คือพวกเขาถือวิสาสะปล่อยคนเข้ามา พอมองเหวินเจ๋ออีกครั้ง ก็นึกไม่ถึงว่าจะถูกเหมียวอี้จับไว้แล้ว เขาตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทันที มีคนรีบถามว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ มีเรื่องอะไรกันแน่?”

“เจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าไปถามใครล่ะ?” เหมียวอี้ชี้คนกลุ่มนี้พร้อมด่าว่า “มัวเหม่ออะไรอยู่ เรียกรวมกำลังพลของพวกเจ้ามาที่นี่ให้หมด เตรียมรบ!”

คนกลุ่มนี้รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ ค่อนข้างฉุกละหุก

ใช้เวลาไม่นาน กำลังพลหลายสิบล้านก็ตามมาแล้ว รีบสวมเครื่องแบบเตรียมรบอย่างรวดเร็ว เหมียวอี้นำคนกลุ่มนี้ออกไปอย่างโอ่อ่าทรงพลัง

ทัพใหญ่มาถึงที่เกิดเหตุ มองลงไปจากบนฟ้า อย่างน้อยก็มีกำลังพลกองทัพองครักษ์หลักสิบล้าน ขับไล่คนในครอบครัวจากที่พักไปรวมตัวที่จุดจุดหนึ่งแล้ว สมาชิกครอบครัวพวกนั้นมีสีหน้าหวาดกลัว บางคนร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนหาผู้ชายของตัวเองที่อยู่ในทัพใหญ่ฝั่งนี้ “นายท่าน!”

คนที่ถูกตะโกนเรียกแทบจะตาถลน แต่กลับไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร

เหมียวอี้ชี้ฮวาอี้เทียนที่ลอยอยู่บนฟ้าฝั่งตรงข้าม พร้อมตะโกนถามอย่างโมโห “ฮวาอี้เทียน เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”

ฮวาอี้เทียนร่ายอิทธิฤทธิ์ตอบเสียงดังทันที “ได้รับรายงานลับมา ว่ามีคนสมคบกับโจรกบฏ ต้องการจะให้โจรกบฏหลบหนี! ตอนนี้ข้าจะเรียกชื่อ ทหารที่ถูกเรียกชื่อไร้ความผิด พาครอบครัวของตัวเองหนีไปได้!” เขาไม่สนใจเลยว่าฝั่งนี้จะยินอยมหรือไม่ ตะโกนสั่งทันที “เรียกชื่อ!”

“เคอเฉียน นู่ซานเฉา หูเฟิง…” บนยอดเขาเบื้องล่างมีทหารคนหนึ่งถือแผ่นหยกเรียกชื่ออย่างรวดเร็ว ปากพ่นออกมาชื่อแล้วชื่อเล่าไม่หยุด พูดตรงไปตรงมาราวกับเทเม็ดถั่วออกมาจากกระบอกไม้ไผ่

เหมียวอี้แยกเขี้ยวยิงฟัน จ้องฮวาอี้เทียนไม่ละสายตา ไม่รู้ด้วยว่าเหวินเจ๋อพูดจริงหรือโกหก ตอนนี้ยังไม่เห็นเงาของลิ่งหูโต้วจ้งเลย มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่องจริง แต่จนใจที่ตอนนี้เขาไม่กล้าพูดความจริงออกมา ถ้ายั่วให้ฝูงชนโกรธแค้นเมื่อไร ก็จะเกิดศึกเดือดทันที แม้แต่เขาเองก็จะถูกจัดอยู่ในพวกโจรกบฏด้วย

ที่นี่มีคนมากมายเท่าไรพาครอบครัวมาด้วย เขาย่อมรู้ชัดเจน แม้จะมีนับล้านคน แต่แท้จริงแล้วสมาชิกครอบครัวมาด้วยสองหมื่นกว่าคนเท่านั้น เงื่อนไขที่เป็นรูปธรรมทำให้นักพรตส่วนใหญ่ไม่อยากแต่งงาน คนมากมายหากฐานะไม่สูงในระดับหนึ่งก็ไม่อยากจะแต่งงาน

เหมียวอี้หันกลับไปมองซ้ายมองขวา เห็นเพียงนักพรตในกระบวนทัพที่ถูกเรียกชื่อกำลังร้อนใจไม่หยุด อยากจะไปรับครอบครัวของตัวเอง แต่ฝั่งนี้ยังไม่ออกคำสั่ง จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามเคลื่อนไหว

คนที่ไร้ครอบครัวก็ย่อมไม่มีอะไรน่ากังวล ส่วนคนที่มีครอบครัวก็ไม่พิจารณาแล้วว่าจะทำศึกกับกองทัพองครักษ์หรือไม่ แต่กำลังกังวลถึงความปลอดภัยของครอบครัวที่อยู่ตรงหน้า ขวัญกำลังใจทหารว้าวุ่น มีคนมากมายขนาดนั้นเป็นตัวประกันอยู่ในมือกองทัพองครักษ์ ถ้าสู้กันขึ้นมาก็กลัวจะลูบหน้าปะจมูก

เขาอยากจะรู้ว่าตำหนักสวรรค์คิดจะทำอะไรกันแน่ จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ให้นางไปสืบข่าวให้

“ผู้ตรวจการใหญ่!” ทหารคนหนึ่งก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ “ให้พวกเขาไปเถอะ!” จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “ต่อให้เป็นการส่งคนส่วนหนึ่งไปหยั่งเชิงให้ก็ยังดี!”

พอหันกลับมาเห็นถ้าทางกระวนกระวายของคนพวกนี้ เหมียวอี้ก็ไม่มีทางปฏิเสธได้ ทำได้เพียงพยักหน้าด้วยสีหน้าเครียดขรึม พร้อมใช้ระฆังดาราติดต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ต่อไป

ทหารคนนั้นโบกมือทันที “ใครโดนเรียกชื่อแล้วก็ไปเถอะ!”

คนกลุ่มหนึ่งในกระบวนทัพเหาะเข้าไปอย่างรวดเร็ว แล้วคนที่ถูกเรียกชื่อก็ทยอยกันเหาะไป ข้างล่างมีคนของกองทัพองครักษ์คอยตรวจตราอิทธิฤทธิ์ทีละคน

ตรงเขตภูเขาที่ผนึกไว้เปิดช่องโหว่ช่องหนึ่ง สมาชิกครอบครัวที่ได้รับการปลดปล่อยเหาะไปหาเสาหลักของบ้านตัวเอง หนีตามออกไปอย่างหวาดกลัว ไปอยู่บนที่ราบของอีกฝั่งแม่น้ำภายใต้การบัญชาการของกองทัพองครักษ์

……………

Related

Comment

Options

not work with dark mode
Reset