พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1019 เจียงอีอี

บทที่ 1019 เจียงอีอี

เจียงอีอียังคงสีหน้าเรียบเฉย ถามว่า “พวกเจ้าเป็นใครกัน?”

“คนของตำหนักสวรรค์!” เยี่ยนจื่อเกอตอบคำถามด้วยท่าทีภาคภูมิใจ ก่อนจะตะโกนว่า “เจียงอีอีทำไมยังไม่รีบมาให้จับแต่โดยดีอีก เนื้อหนังจะได้ไม่ต้องรับความทรมาน!”

“คนของตำหนักสวรรค์?” เจียงอีอีขมวดคิ้ว จากนั้นหันตัวเข้าปากถ้ำทันที พูดทิ้งท้ายไว้เพียงว่า “ยอมให้จับแต่โดยดีเหรอ ไม่เอาหรอก พวกเจ้าค่อยๆ เล่นกันไปเถอะ ขออภัยที่เล่นด้วยไม่ได้ !” ท่าทางไม่รีบร้อนราวกับกำลังเดินเล่นในอุทยาน แต่กลับดูสง่างาม

ท่าทีให้เกียรติกันขนาดนี้ ช่างไม่แยแสคำพูดของตนเลยสักนิด เยี่ยนจื่อเกอเดือดดาลทันที “ไปจับตัวมา!”

มีสี่คนรีบถลันตัวเข้าไป หนึ่งในนั้นไปขวางปากถ้ำเอาไว้ ขนาบโจมตีคนตรงข้ามทั้งหน้าและหลัง ส่วนอีกสองคนขนาบซ้ายขวา ทั้งสี่ลงมืออย่างรวดเร็วและดุดัน

เห็นอยู่ตำตาว่ากำลังจะถูกทั้งสี่รุมโจมตีเข้าเป้า แต่กลับเห็นชุดขนสัตปุกปุยเจียงอีอีสะบัด แขนข้างหนึ่งกวาดออกมา

เสียงหึ่งๆ ดังขึ้นสี่ทิศ หมอกสีแดงสีกลุ่มระเบิดออก

ไม่ใช่แค่พวกเยี่ยนจื่อเกอ แม้แต่พวกเหมียวอี้ก็มองจนหนังตากระตุกเช่นกัน เห็นเพียงอาวุธผลึกแดงในมือและเกราะรบผลึกแดงบนตัวของทั้งสี่แตกกระจายกลายเป็นหมอกสีแดงในชั่วพริบตาเดียว พังเสียหายหมดแล้ว แต่กลับไม่ได้ยินเสียงระเบิดอย่างที่จินตนาการไว้ และคิดไม่ถึงด้วยว่าอานุภาพจะมหาศาลขนาดนี้ ภาพนี้ช่างแปลกประหลาด

สี่คนที่ลงมือตกใจมาก แทบจะหยุดการโจมตีพร้อมกัน ตกใจจนรีบเลี้ยวหนี

แล้วก็เห็นชุดขนสัตว์บนตัวเจียงอีอีหมุนรอบร่างกาย ชี้ไปทั้งสี่ทิศ ท่วงท่าพลิ้วไหวสง่างาม

ซวบๆๆๆ พลันเกิดเสียงดังติดต่อกันหลายครั้ง หมอกสีแดงที่ระเบิดออกกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง การกระเบิดหยุดลงฉับพลัน กลายเป็นตะปูยาวสีแดงนับไม่ถ้วน

“อา…” เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น สี่คนที่หนีไปข้างหลังชะงักลอยอยู่กลางอากาศ ชั่วพริบตาเดียวก็โดนตะปูยาวสีแดงนับไม่ถ้วนแทงจนกลายเป็นเม่น ทั้งตัวเกิดรูเลือด แต่ละคนเผยสีหน้าหวาดกลัวอย่างเหลือเชื่อ

เจียงอีอีสะบัดชุดขนสัตว์ หยุดโจมตีแล้ว กลับสู่ความสุขุมสงบนิ่งอีกครั้ง แล้วเดินก้าวยาวกลับเข้าถ้ำไป ยังคงไม่สะทกสะท้าน

ส่วนตะปูยาวสีแดงที่ตรึงทั้งสี่คนไว้กลางอากาศก็กลายเป็นหมอกสีแดงอีกครั้ง ร่างสี่ร่างที่อาบเลือดตกลงจากฟ้า ตกกระแทกพื้นอย่างแรง

ร่างของเจียงอีอีหายไปในถ้ำแล้ว รอบข้างนอกจากเสียงลมหนาวพัดหวีดหวิว คนอื่นๆ ก็เงียบกริบ ต่างก็ทำสีหน้าหวาดผวา

ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ทำให้คนตัวสั่นด้วยความกลั ผู้บัญชาการระดับบงกชทองขั้นห้าทั้งสี่คน บนตัวใส่ของวิเศษผลึกแดงขั้นห้า ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนสังหารเรียบในชั่วพริบตาเดียว แถมเกราะรบบนตัวก็พังแล้วด้วย วิธีการนี้ช่างเขย่าขวัญจริงๆ!

“ทุกคนไม่ต้องกลัว มันคือเคล็ดวิชาธาตุทอง พอถอดของวิเศษบนตัวออกเขาก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้แล้ว เร็วเข้า อย่าปล่อยให้เขาหนี!” เยี่ยนจื่อเกอพลันตะโกนเสียงดัง แล้วนำถอดเกราะรบบนร่างกาย พากำลังคนไล่ตามเข้าไปในถ้ำภูเขาแบบมือเปล่า

สุดท้ายมู่หรงซิงหัวกับหยางไท่ก็ตามหลังเข้าไป ก่อนจะเข้าไปพวกเขาลังเลอย่างเห็นได้ชัด แต่พอหันกลับมาเห็นพวกเหมียวอี้ที่ลอยอยู่กลางอากาศ ก็ยังแข็งใจตามเข้าไป

เหมียวอี้ที่ลอยอยู่กลางอากาศถอนหายใจเบาๆ เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นวิธีการแบบนี้ ถ้าพูดให้น่าฟังหน่อยก็คือได้เปิดหูเปิดตา แต่ความจริงแล้วถูกทำให้หวาดผวานิดหน่อย จึงหันกลับมาถามปานเยว่กง “ที่เจียงอีอีใช้เมื่อครู่นี้คือเคล็ดวิชาธาตุทอง หนึ่งในเคล็ดวิชาปัญจธาตุเหรอ?”

“ดูจากสถานการณ์แล้ว น่าจะใช่นะ!” ปานเยว่กงพยักหน้า แล้วอธิบายเสริมว่า “น่าจะไม่ใช่เคล็ดชาธาตุทองธรรมดาทั่วไป เคล็ดวิชาที่คนทั่วไปฝึกก็เรียกว่าเคล็ดวิชาธาตุทองเหมือนกัน แต่เป็นแขนงหนึ่งของเคล็ดวิชาธาตุทอง ซับซ้อนมาก นักพรตที่ไหนก็ฝึกได้ แต่ที่เจียงอีอีฝึกน่าจะเป็นเคล็ดวิชาธาตุทองที่ดั้งเดิมที่สุดในเคล็ดวิชาปัญจธาตุ ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดอภินิหารแบบนี้ แต่การฝึกเคล็ดวิชาธาตุทองที่ดั้งเดิมแบบนี้ต้องมีพรสวรรค์ ถ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะฝึกเคล็ดวิชาประเภทนี้ ก็ไม่สามารถฝึกสำเร็จได้ วิชาดั้งเดิมในเคล็ดวิชาปัญจธาตุก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหมด เคล็ดวิชาปัญจธาตุที่ดั้งเดิมที่สุดถูกจัดให้เป็นเคล็ดวิชาฝึกตนระดับสูงสุดของแดนฝึกตน เหมือนกับเจียงอีอี สามมารถชี้หินเป็นทอง!”

“ชี้หินเป็นทอง?” เหมียวอี้ได้ยินแล้วถามอย่างแปลกใจ “ทำให้ก้อนหินกลายเป็นทองคำได้จริงๆ เหรอ?”

เมือ่ได้ยินเขาถามแบบนี้ ปานเยว่กงก็งุนงงพูดไม่ออก สวีถังหรานที่อยู่ข้างๆ กลั้นขำไม่ไหว บอกว่า “น้องหนิวเล่นมุกแล้ว ที่บอกว่าชี้หินเป็นทองเป็นแค่การเปรียบเทียบ หมายความว่าส่วนประกอบทองที่แฝงอยู่ในก้อนหิน ถ้าร่ายอิทธิฤทธิ์นิดหน่อยก็จะสามารถกลั่นส่วนประกอบธาตุทองที่อยู่ในนั้นออกมาได้ ไม่ใช่การทำให้ก้อนหินกลายเป็นทองคำหรอก”

เหงื่อแตก! เหมียวอี้ปาดเหงื่ออย่างอับอาย ตอนอยู่พิภพเล็กไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลยจริงๆ เขาหัวเราะแห้งๆ แล้วบอกว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าเจียงอีอีจะมีความสามารถขนาดนี้”

ปานเยว่กง : “เคล็ดวิชาปัญจธาตุที่ดั้งเดิมที่สุดล้วนอยู่ในมือของห้าปราสาท ก็คือปราสาทดำเนินกนก ปราสาทแมกไม้ ปราสาทดำเนินธารา ปราสาทดำเนินอัคนีและปราสาทดำเนินธรณี ที่ข้าฝึกก็เป็นเคล็ดวิชาธาตุดินเหมือนกัน แต่กลับเป็นแบบผสมนอกลู่นอกทาง ไม่ใช่เคล็ดวิชาดำเนินธรณีที่ดั้งเดิมที่สุด ไม่รู้ว่าเจียงอีอีไปได้เคล็ดวิชาธาตุทองที่ดั้งเดิมแบบนี้มาจากไหน”

ขณะกำลังพูด จู่ๆ ชิงเหมยก็ชี้ไปตรงไหล่เขาพร้อมอุทานว่า “ดูนั่นเร็ว!”

สายตาของทุกคนพลันจ้องไปที่นั่น เห็นเพียงดินโคลนตรงไหล่เขาที่เผยโฉมออกมาหลังจากหิมะถล่มกำลังทะลักนองอย่างไร้สุ้มเสียง กระเพื่อมเหมือนระลอกน้ำออกเป็นถ้ำแห่งหนึ่ง ดันคนคนหนึ่งออกมาราวกับดอกบัวที่เบ่งบาน ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเจียงอีอีที่เพิ่งเข้าไปในถ้ำบนยอดเขาเมื่อครู่นี้นี่เอง

หลังจากเจียงอีอีลอยออกมาจากผิวดิน แผ่นดินที่อยู่ใต้เท้าก็หลอมละลายจนไม่เหลือร่องรอยของการพลิกม้วนเลยแม้แต่น้อย

เจียงอีอีที่กำลังดึงผ้าขนสัตว์สีขาวบนตัวพร้อมมองไปรอบๆ จู่ๆ ก็เงยหน้าจ้องพวกเหมียวอี้แวบหนึ่ง พอเห็นพวกเหมียวอี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย ถึงได้ถลันตัวขึ้นมา แล้วพุ่งขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็หายไปในท้องฟ้ายามราตรีแล้ว

ส่วนพวกเยี่ยนจื่อเกอที่เข้าไปในถ้ำก็เหมือนจะยังไม่รู้สถานการณ์ ไม่รู้ว่าเจียงอีอีหนีไปแล้ว ไม่ได้ยินเสียงต่อสู้ใดๆ ในภูเขา คงจะเป็นเพราะไม่ได้เจอเจียงอีอีอยู่ในนั้น

สวีถังหรานพึมพำ “วิธีการที่โจรราคะโผล่ออกมาเมื่อกี้นี้ น่าจะเป็นเคล็ดวิชาธาตุดินใช่มั้ย?”

ครั้งนี้แม้แต่ปานเยว่กงก็อดไม่ได้ที่จะอุทานอย่างตกตะลึง “เคล็ดวิชาธาตุดิน! ไม่น่าเชื่อว่าเจียงอีอีจะฝึกเคล็ดวิชาทั้งสองธาตุ สงสัยจะมีพรสวรรค์ด้านการฝึกเคล็ดวิชาปัญจธาตุอย่างสูง!”

ในจุดนี้เหมียวอี้ก็เข้าใจเหมือนกัน เคล็ดวิชาปัญจธาตุไม่เหมือนวิชาอื่น เพราะมันข่มกันเองโดยธรรมชาติ ปกติถ้าฝึกไปธาตุหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีทางฝึกธาตุที่สองได้เลย เขาอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าบอกว่า “ดูท่าเจียงอีอีคนนี้จะมีความสามารถจริงๆ ด้วย มิน่าล่ะถึงรอดการจับกุมของตำหนักสวรรค์นับครั้งไม่ถ้วน!” ในใจพูดเสริมอีกว่า ไม่เคยจับได้เลย เกรงว่าเขาคงจะเกี่ยวข้องกับคนของสมาคมวีรชน

“เจียงอีอีหนีไปแล้ว พวกเรายังจะดูต่อมั้ย?” สวีถังหรานถาม

“ไปกันเถอะ! พวกเราไปหาเป้าหมายต่อไป” เหมียวอี้บอก ก่อนจะนำทุกคนเหาะขึ้นฟ้าไป ในกลุ่มตอนนี้เหมือนจะมีเขาเป็นหัวหน้า ถึงแม้สวีถังหรานจะไม่อยากไปเสี่ยงอันตรายอีก แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม บนยอดเขาหิมะที่ถล่มก็มีเสียงสะเทือนโครมครามแล้ว ฟ้าดินสั่นสะเทือน หินดินปลิวว่อน ทั้งตัวภูเขาถล่มลงมา เงาคนหลายคนโผล่ออกมาท่ามกลางฝุ่นควัน พวกเขาลอยอยู่บนฟ้าด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดี เป็นพวกเยี่ยนจื่อเกอนั่นเอง

ค้นหาอยู่ในภูเขาแต่ไม่เห็นเงาเจียงอีอี คนพวกนี้จึงถล่มภูเขาทิ้งเสียเลย ยอดเขาเจ็บสิบสองลูกกลายเป็นเจ็ดสิบเอ็ดลูกแล้ว

นอกจากจะไม่มีใครจับได้แล้ว ยังเสียกำลังคนไปรวดเดียวหกคน แต่ละคนย่อมทำสีหน้าไม่ดีอยู่แล้ว

“เจียงอีอี อย่าให้ข้าจับตัวได้นะ ไม่อย่างนั้นข้าจะถลกหนังเจ้าออกมา!” เยี่ยนจื่อเกอกล่าวอย่างเคียดแค้น

“ผู้บัญชาการเยี่ยน ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ายังไม่สามารถหาเจียงอีอีพบ บนรายชื่อในมือพวกเรา ไม่มีใครให้จับที่ดาววิงวอนชีพแล้ว ต่อไปจะทำอย่างไร?” หนึ่งในนั้นเอ่ยถาม

“มู่หรง!” เยี่ยนจื่อเกอหันกลับมาเรียก

มู่หรงซิงหัวที่อยู่ข้างกายหยางไท่ตลอด พอได้ยินเขาเรียกก็ลอยเข้ามา แล้วถามว่า “ผู้บัญชาการเยี่ยนมีอะไรจะกำชับคะ?”

เยี่ยนจื่อเกอทำหน้านิ่งพร้อมบอกว่า “คาดว่าในมือพวกเจ้าคงมีรายชื่อตามจับเหมือนกัน ในรายชื่อของพวกเจ้า ที่ดาววิงวอนชีพยังมีเป้าหมายอื่นอยู่อีกหรือเปล่า?”

“รายชื่อที่อยู่ในมือพวกเรา ที่ดาววิงวอนชีพมีแค่สองคน เจียงอีอีคือหนึ่งในนั้น แล้วก็ยังมีซูลู่เอ๋อร์ แต่ซูลู่เอ๋อร์มียอดฝีมือบงกชทองขั้นเก้าปกป้อง พวกเราลงมือได้ยาก” มู่หรงซิงหัวตอบ

“อ้อ!” เยี่ยนจื่อเกอยื่นมือขออย่างไม่เกรงใจ “เอารายชื่อของพวกเจ้ามาให้ข้าดูหน่อย” เหมือนต้องการจะพิสูจน์ว่าที่นางพูดเป็นเรื่องจริงหรือโกหก

เมื่อเดินเส้นทางนี้แล้ว มู่หรงซิงหัวก็ไม่ปฏิเสธ นำรายชื่อทั้งเก้าให้เขาไปเลย

หลังจากอ่านรายชื่อ ก็แน่ใจแล้วว่าคำพูดของมู่หรงซิงหัวไม่มีปัญหา เยี่ยนจื่อเกอจึงบอกว่า “พวกเจ้าลงมือได้ยาก แต่พวกเราอยากจะไปลงมือดูสักหน่อย” พูดจบก็หันกลับมา “ทุกคน ไปที่ป่าลืมทุกข์อีกสักรอบ ไปชิงตัวซูลู่เอ๋อร์นั่นมา”

จากนั้นทุกคนก็เลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง ก่อนจะเหาะไปอย่างรวดเร็ว มู่หรงซิงหัวและหยางไท่ที่เดินทางไปด้วยแอบรู้สึกจนใจ ในบรรดาคนกลุ่มนี้เยี่ยนจื่อเกอมีวรยุทธ์สูงสุด มีแค่วรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ดเท่านั้น แต่กลับจะไปหาเรื่องที่ป่าลืมทุกข์ ดูทาคงจะเป็นพวกออกนอกลู่นอกทางเหมือนกัน

ในใจทั้งสองมีความกังวลอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้เห็นว่าฝ่ายนี้ดูปลอดภัยจึงได้มาเข้าร่วมกลุ่ม ตอนนี้ตายไปรวดเดียวสี่คน ถ้าเกิดเรื่องอะไรอีกนิดเดียว การเข้าร่วมกับฝ่ายนี้ก็เหมือนจะไม่ปลอดภัยเท่าไร

หารู้ไม่ว่าอำนาจที่หนุนหลังคนพวกนี้เทียบกับโค่วเหวินหลานที่มาจากตระกูลโค่วไม่ติด ลูกน้องของโค่วเหวินหลานล้วนเป็นพวกหัวมังกุฏท้ายมังกร แต่พวกเยี่ยนจื่อเกอกลับมาเพื่อทำภารกิจให้คนที่หนุนหลังให้สำเร็จ ถ้าทำคะแนนได้ไม่ดีก็ไม่สามารถรายงานผลปฏิบัติงานได้ ไม่ให้สู้ตายคงไม่ได้

หลังจากกลุ่มนี้เดินทางมาถึงป่าลืมทุกข์ ก็พบว่าป่าลืมทุกข์มีการเปลี่ยนแปลงเยอะมาก หมอกหนาที่ปกคลุมป่าลืมทุกข์หายไปแล้ว ต้นไม้ในป่าก็เหมือนจะเป็นปกติขึ้นไม่น้อยเช่นกัน

ขณะที่กลุ่มคนกำลังค้นหาทั่วป่าลืมทุกข์ แต่ปานเยว่กงเตรียมถอนกำลังแล้ว ทุกคนย่อมไม่ได้เรื่องอะไรทั้งนั้น

พวกเขากลับมาที่ตลาดมืด หาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเพื่อพักผ่อน หลังจากจองห้องแล้ว เยี่ยนจื่อเกอก็บอกมู่หรงซิงหัวว่า “มู่หรง เจ้ามานี่หน่อย ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”

มู่หรงซิงหัวลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ยังตามไปที่ห้องนอนของเขา

หลังจากเข้ามาในห้องและค้นหาจนทั่ว พอแน่ใจว่าไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ จู่ๆ เยี่ยนจื่อเกอก็ยื่นแขนเข้ามาโอบเอวมู่หรงซิงหัวจากด้านหลัง กอดเอาไวแนบแน่น ส่วนมืออก็ลูบไล้ทั้งข้างบนข้างล่าง

มู่หรงซิงหัวตกใจมาก คว้ามือเขาพร้อมตวาดถาม “เยี่ยนจื่อเกอ เจ้าคิดจะทำอะไร?”

เยี่ยนจื่อเกอหัวเราะข้างหูนางเบาๆ “ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีวาสนาได้มารวมตัวกัน เจ้ากับข้าก็ย่อมต้องถนอมความสุขไว้สิ มายังสถานที่ที่คาดเดาความเป็นความตายได้ยาก ยามต้องหาความสำราญก็ไม่ควรพลาด เจ้าว่ามั้ยล่ะ?”

มู่หรงซิงหัวทำสีหน้าโมโหมาก ดิ้นรนพร้อมบอกว่า “ปล่อยข้า!”

แต่จนใจที่เยี่ยนจื่อเกอวรยุทธ์สูงหว่า แขนสองข้างของนางถูกจับเอาไว้แล้ว ถูกควบคุมไว้อย่างแน่นหนา เยี่ยนจื่อเกอพูดเห็นบแนมอยู่ข้างหูนาง “อย่ามาแร้งทำตัวเรียบร้อยกับข้าเลย ใช่ว่าข้าจะไม่รู้เรื่องของเจ้า ขนาดผู้บังคับบัญชาตัวเองเจ้าก็นอนด้วยมาแล้ว มานอนกับข้าไม่ทำให้เนื้อเจ้าหายไปหรอก ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่ามองข้ามความหวังดีของข้าเลย ถ้าแตกคอกันข้าก็ไม่ถือสาที่จะข้าทิ้งอีกสักคน!”

สีหน้าโกรธแค้นบนใบหน้ามู่หรงซิงหัวยากจะปิดบังเอาไว้ นางโดนอีกฝ่ายควบคุมไว้แล้ว ยากที่จะขัดขืนได้ สุดท้ายก็เลิกดิ้นรน

เมื่อเห็นนางเลิกดิ้นรน เยี่ยนจื่อเกอก็จัดกาได้รอย่างรวดเร็วราบรื่นมาก ยื่นมือจากข้างหลังไปคว้าเสื้อผ้าตรงหน้าอกนาง ดึงเสื้อทั้งข้างนอกข้างในพร้อมกันเสียงดักแควก ทำให้ยอดเขาสองลูกเปิดเผยออกมา…

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset