พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1026 บงกชทองขั้นสาม

บทที่ 1026 บงกชทองขั้นสาม

แววตาของมู่น่าค่อนข้างงุนงง เหมือนไม่ค่อยเข้าใจว่าการมีความคิดฟุ้งซ่านเกี่ยวอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ แต่ก็ยังยื่นมือไปไว้บนฝ่ามือของเขา

ดังนั้นบนใบหน้าศีลแปดจึงเผยรอยยิ้มสะอาดบริสุทธิ์และเป็นมิตรออกมา ค่อยๆ ดึงมู่น่าที่กำลังเขินอายปนงงงวยออกมาจากหลังโขดหิน ปรากฏว่าแค่มองแวบเดียวก็ไม่อาจต้านทานเรือนร่างขาวหมดจดปานเทพธิดาที่แช่อยู่ในน้ำของนางได้ จึงโอบนางไว้แล้วจูบนริมฝีปากเสียเลย ส่วนมือก็เริ่มลูบไล้ไปทั่วร่างกาย

มู่น่ากังวลแล้ว ลองผลักเขาสองสามครั้ง ทว่านางก็เริ่มค่อยๆ สูญเสียสติสัมปชัญญะเช่นกัน เหมือนจะตัดใจทิ้งรสชาตินี้ไม่ลง ก็เลยกอดเขาไว้เสียเลย

หลังจากผ่านไปนาน ผลประโยชน์ที่ควรตักตวงก็ได้ตัดตวงแล้ว ศีลแปดปล่อยนาง ไม่ได้ทำอะไรนางอีก กลับหันหลังให้นางเงียบๆ แล้วใช้มือสองข้างวักน้ำเย็นใสในสระใส่ใบหน้า

มู่น่ากลับเป็นฝ่ายข้ามากอดเขาจากข้างหลัง พร้อมกล่าวอย่างขวยเขิน “ศีลแปด ข้ามีความคิดฟุ้งซ่าน ข้าไม่อยากเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว!”

ถ้าให้คนอื่นของเผ่าปีศาจได้ยินคำพูดนี้ ก็ไม่รู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร

ศีลแปดกลับเงยหน้ารับแสงจันทร์สุกสกาวพลางถอนหายใจยาว “ศีลเจ็ด ทำไมเจ้าไม่ลงนรกไปซะ!”

“ใครลงนรกนะ?” แววตาใสซื่อบริสุทธิ์ของมู่น่าฉายแววสงสัย

“มารร้ายตนหนึ่ง!” ศีลแปดตอบ

และก็ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา มู่น่าก็จะชอบมาอาบน้ำกับศีลแปด ถึงขั้นเป็นฝ่ายรุกดึงศีลแปดมาอาบน้ำด้วยกันหลายครั้งด้วย

เพียงแต่ศีลแปดกลัดกลุ้มมาก ส่วนมู่น่าก็เกิดความกลัดกลุ้มเช่นกัน ใช่ว่านางจะไม่รู้ว่าหญิงชายต้องทำอะไรกัน นางเคยได้ยินผู้หญิงคนอื่นๆ ของเผ่าปีศาจคุยกันมาก่อน แต่ในสายตานาง ศีลแปดเป็นคนที่ไม่มีความคิดฟุ้งซ่านเลย เพราะไม่เคยทำแบบนั้นกับนางเลย…

หลังจากนั้นหลายปี ปีศาจโลหิตก็กลับมาแล้ว ตอนนี้ก็กำลังอยู่ในสระน้ำด้วย นางเข้ามาเกาะแกะพัวพันกับศีลแปดอย่างปฏิเสธใจตัวเองลำบากอีกแล้ว

นางสับสนมาก นางพบว่าตัวเองจากเขาไปไม่ได้ ยิ่งไปไกลในใจก็ยิ่งเป็นห่วงเขา มักอดไม่ได้ที่จะเดินทางมาหาเขาจากที่ไกลๆ แต่นางก็ไม่อาจครอบครองเขาได้อย่างถึงที่สุด ทำให้นางรับความขื่นขมทรมานเต็มที่ จิตมารกำเริบรุนแรง

ภูเขาเขียวสายน้ำมรกต น้ำตกน้ำตกกระเซ็นสาด สระน้ำมรกตกระเพื่อมสั่นไหว ศีลแปดกำลังนั่งสมาธิบนโขดหิน

ปล่อยให้ปีศาจโลหิตกอดจูบลูบไล้ตัวเองอย่างหิวกระหาย ศีลแปดยังคงไม่สะทกสะท้าน สุดท้ายก็ทำให้ปีศาจโลหิตโมโหอีกครั้ง ดึงเขาให้ตกลงมาในน้ำ แล้วด่าทออย่างชั่วร้ายอำมหิต

ศีลแปดที่ยืนขึ้นในน้ำยิ้มเจื่อน พร้อมบอกว่า “ที่จริงข้าก็อยากลองทำแบบนั้นกับเจ้าสักครั้ง เพียงแต่ทำไม่ได้”

“ทำไมไม่ได้? หรือเป็นเพราะข้าหน้าตาอัปลักษณ์เกินไป เจ้าเลยไม่สนใจ?” ปีศาจโลหิตถามอย่างระงับความโกรธไม่ไหว

ศีลแปดถอนหายใจแล้วตอบว่า “ข้าโดนร่ายอิทธิฤทธิ์ระงับจุดหยาง”

“ระงับจุดหยาง?” ปีศาจโลหิตตะลึงค้าง จากนั้นก็จับมาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูท่านที แล้วกล่าวอย่างโมโหมากว่า “ใครมันทำ ข้าจะไปฆ่ามัน!”

“อาจารย์ข้าเอง!” ศีลแปดตอบไปส่งเดช

“…” ปีศาจโลหิตอ้าปากค้างพูดไม่ออก ใบหน้าโกรธนิ่งชะงัก

ดังนั้นศีลแปดที่ปะปนอยู่ที่เผ่าปีศาจมาหลายปีจึงจากที่นี่ไปแล้ว ติดตามปีศาจโลหิตไป เพราะปีศาจโลหิตสาบานว่าต้องหาวิธีคลายผนึกให้ได้ นี่ก็เป็นสิ่งที่ศีลแปดปรารถนาเหมือนกัน ย่อมต้องติดตามนางไป แต่ไม่มีหนทางจริงๆ อาศัยวรยุทธ์ของปีศาจโลหิต ไม่น่าเชื่อว่าจะคลายการระงับจุดหยางของไต้ซือศีลเจ็ดไม่ได้

ก่อนจะเดินทางไป ศีลแปดก็ไม่ได้กลับมากล่าวอำลา เพียงบอกเผ่าปีศาจคนหนึ่งที่บังเอิญเจอกันใต้ต้นโบราณสูงเทียมฟ้า ให้เขาช่วยไปบอกผู้อาวุโสมู่เซินแทน

หลังจากนั้น ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าที่ทราบข่าวก็รีบร้อนตามมา นางเคลื่อนไหวว่องไวราวกับหงส์ตื่นตระหนก เหาะลงมาในสระน้ำ ค่อยๆ นั่งย่อบนหินก้อนหนึ่งในสระน้ำโดยไม่ขยับไปไหน มองดูเงาสะท้อนกลับหัวของตัวเองในน้ำ จับหูที่แหลมของตัวเอง จนกระทั่งแสงจันทร์สะท้อนเงา หยดน้ำตาใสดุจอัณญมณีก็ไหลอาบแก้ม ไหลหยดลงในน้ำ…

เวลาผ่านไปรวดเร็วมาก ชั่วพริบตาเดียวเก้าสิบปีแล้ว มนุษย์ธรรมดาแก่ตายไปแล้ว แต่สำหรับนักพรตกลับผ่านไปเร็วเหมือนดีดนิ้ว

ไข่มุขราตรีเม็ดหนึ่งวางอยู่ในห้องศิลา หลังจากผลักผู้ชายที่นอนทับอยู่บนร่างตัวเองออก มู่หรงซิงหัวก็ลุกขึ้นมาเก็บเสื้อผ้าของตัวเอง เฉิงจวินซิ่นที่เปลือยล่อนจ้อนลุกขึ้นนั่งแล้วบีบก้นนาง ทำให้มู่หรงซิงหัวบิดตัวหลบไปข้างๆ

เฉิงจวินซิ่นหัวเราะร่าทันที แล้วบอกว่า “อีกไม่กี่ปีการทดสอบก็จะจบลงแล้ว ถึงตอนนั้นทุกคนจะเป็นหรือตายก็ยังไม่รู้ ถ้าควรจะมีความสุขก็มีความสุขไปเถอะ จะสะดีดสะดิ้งทำไม? เมื่อครู่นี้เจ้ายังร้องครางอย่างผ่อนคลายเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

พูดจบก็ลุกขึ้นเก็บเสื้อผ้าขึ้นมา แล้วผิวปากเดินจากไป ทิ้งให้มู่หรงซิงหัวยืนกอดเสื้อผ้าเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น บนตัวยังมีรอยเขียวช้ำจากการโดนขยุ้มจับ  น้ำตานางค่อยๆ ไหลออกมา ร่ำไห้โดยไร้เสียง

พวกเยี่ยนจื่อเกอก็เริ่มซ่อนตัวแล้วเหมือนกัน ถ้าไม่ซ่อนตัวคงไม่ได้ กลุ่มของพวกเขามีกำลังแข็งแกร่งกว่าพวกเหมียวอี้เล็กน้อยเท่านั้น ถ้าเทียบกำลังกับคนอื่นก็ยังสู้ไม่ได้ หลังจากเข่นฆ่ากันไปหลายรอบ ก็มีคนตายไปอีกสามคน เหลือแค่เขากับฉิงจวินซิ่น หันเฉาเฟิ่ง มู่หรงซิงหัว หยางไท่ สองคนหลังไม่ได้ออกแรงทำงานอย่างเต็มที่ รักษาชีวิตตัวเองให้รอดไว้ก่อน

ยิ่งเวลาล่วงเลยมาถึงตอนท้าย การเข่นฆ่าก็ยิ่งดุเดือด บรรดาผู้บัญชาการที่ตำหนักสวรรค์ส่งมา พอเจอหน้ากันก็สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ต่างก็ต้องการจะแย่งของของฝ่ายตรงข้าม ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเยี่ยนจื่อเกอก็ทำได้เพียงหลบภัยชั่วคราว หลบซ่อนอยู่ที่นี่มายี่สิบสามสิบปีแล้ว

ในตอนแรก มู่หรงซิงหัวเป็นของเล่นให้เยี่ยนจื่อเกอคนเดียว ทว่าหลังจากใช้ชีวิตแบบหลบซ่อนได้ไม่กี่สิบปี อีกทั้งที่นี่ก็มีนางคนเดียวที่เป็นผู้หญิง ดังนั้นภายใต้ความเงียบเหงาไม่มีอะไรทำ แค่คิดก็รู้ถึงผลลัพธ์แล้ว ตอนหลังเฉิงจวินซิ่นกับหันเฉาเฟิ่งก็ไม่เกรงใจนางเช่นกัน ทยอยกันครอบครองนางแล้ว ส่วนเยี่ยนจื่อเกอก็ทำเป็นปิดตาข้างเดียว

อย่างไรเสียในบรรดาพวกเขาสามคน ขอเพียงมีใครสักคนเกิดเบื่อเซ็งขึ้นมา ก็จะบุกเข้ามาหาความสำราญจากนางโดยไม่เกรงใจ มู่หรงซิงหัวเลยกลายเป็นของเล่นของทั้งสามไปเสียดื้อๆ ทั้งสามผลัดกันใช้นางเพื่อมาบรรเทาความเหงา

หยางไท่กลับไม่เคยแตะต้องนาง และไม่กล้าแตะต้องด้วย กลัวว่าถ้ากลับไปแล้วจะผ่านด่านของเฉาว่านเสียงไม่ได้ ส่วนเรื่องสกปรกระหว่างมู่หรงซิงหัวกับพวกเยี่ยนจื่อเกอ เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจเช่นกัน แต่ยังคงทำเป็นไม่เห็นอะไร ทำเป็นไม่ได้ยินอะไร ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น…

ภายใต้ชั้นน้ำแข็งของดาวสองขั้ว อัคคีน้ำแข็งมโหฬารพันลึกที่ลอยอยู่บนโพรงน้ำแข็งหายไปแล้ว เปลวเพลิงรูปคนในเกราะน้ำแข็งบนตัวคางคกที่เหมียวอี้นั่งอยู่ก็อันตรธานหายไปแล้วเช่นกัน เมื่อสิบปีก่อนหน้านี้ เหมียวอี้ใช้เวลาไปแปดสิบปี ในที่สุดก็เก็บเกี่ยวไฟหยินหยางของที่นี่จนหมด เก็บมาไว้ใช้เองทั้งหมดแล้ว

สิ่งที่ได้มาก็คือ ดาวสีฟ้าและสีแดงในต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์เพิ่มขึ้นเกือบสองล้านคู่ หรือพูดได้อีกอย่างว่า ความเร็วในการกลั่นกรองลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำเพิ่มขึ้นเกือบสองล้านลูกต่อวัน ความเร็วในการดูดซับพลังจิตวิญญาณก็เพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าเช่นกัน นั่นก็คือผลงานหลังจากวรยุทธ์เพิ่ม ตอนนี้สามารถดูดซับยาแก่นเซียนได้วันละสามร้อยเม็ดแล้ว

และในขณะนี้ แท่นจิตตรงหว่างคิ้วก็ปรากฏวรยุทธ์บงกชทองขั้นสามยามเขาฝึกตน

“กร๊อบ!” เหมียวอี้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิพลันกำหมัดสองข้าง เสียงกระดูกดังมาก หมัดสองข้างที่กำอยู่บนหัวเข่าพลันแผ่ออก แสงสีแดงสองจุดบนฝ่ามือข้างซ้ายและขวาดูสะดุดตาเป็นพิเศษ

ปราณปีศาจโลหิตที่สะเทือนขวัญลอยม้วนออกจากแสงสีแดงสองจุดนั้นอย่างรวดเร็วราวกับเมฆที่โดนพายุพัดหอบ

ยาเม็ดโลหิตสองเม็ดที่ใช้งานมาตลอด ในที่สุดวันนี้ก็กลั่นกรองและดูดซับจนหมดแล้ว ที่เรียกว่ายาเม็ดโลหิตก็คือเม็ดบัวของบัวโลหิต แกนสีแดงสองจุดนี้ก็คือดีบัวของบัวโลหิตเม็ดบัว

สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้คิดไม่ถึงก็คือ หลังจากดีบัวสองต้นนี้หลุดพ้นจากพันธนาการของเม็ดบัวแล้ว ปราณปีศาจโลหิตที่ปล่อยออกมาก็รุนแรงกว่ายาเม็ดโลหิตแบบเดิมเยอะมาก ตอนนี้เขาเพิ่งจะเข้าใจ ว่าที่จริงแล้วปราณปีศาจโลหิตที่แฝงอยู่ในยาเม็ดโลหิตล้วนมาจากดีบัวสองต้นนี้

สิ่งที่ทำให้เขาทึ่งกว่านั้นก็คือ เขานึกไม่ถึงว่าพลังจิตวิญญาณที่แฝงอยู่ในยาเม็ดโลหิตสองเม็ดจะมากมายมหาศาลถึงขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เขาบรรลุระดับบงกชทองขั้นสามได้รวดเดียว ห่างจากบงกชทองขั้นสี่อีกไม่ไกลแล้ว พอลองคำนวณคร่าวๆ ยาเม็ดโลหิตหนึ่งเม็ดก็เกือบจะเท่ายาแก่นเซียนห้าล้านเม็ด

หารู้ไม่ว่า ยาเม็ดโลหิตเก้าเม็ดที่อยู่ในมือเขานี้ เดิมทีเป็นสิ่งที่ปีศาจโลหิตเตรียมไว้ให้ตัวเองใช้เพื่อบรรลุระดับบงกชรุ้ง ยังห่างไกลกับยาเม็ดโลหิตสำเร็จรูปที่ปีศาจโลหิตต้องการอีกไกลมาก มันเติบโตอยู่ในบัวโลหิตและยังไม่ถึงเวลาเก็บเกี่ยว ปรากฏว่าโดนเหมียวอี้เด็ดไปโดยไม่ได้พิจารณาให้รอบคอบ ถ้ารอให้สุกเต็มที่แล้วค่อยเด็ด พลังจิตวิญญาณที่แฝงอยู่ในนั้นก็จะน่าหวาดกลัวยิ่งกว่านี้

ขอถามหน่อยว่าเมื่อของแบบนี้โดนเหมียวอี้เด็ดหนีไป ตอนแรกปีศาจโลหิตจะไม่มาหาเรื่องเขาได้อย่างไร

ขณะที่กำลังใช้นิ้วฝั้นดีบัวสีแดงจ้าตาสองต้นมาตรวจดู จู่ๆ เหมียวอี้ก็คิ้วกระตุก ระฆังดาราที่อยู่ในกำไลเก็บสมบัติมีปฏิกิริยาบางอย่าง

ดีบัวสองต้นถูกกำไว้ในมือข้างหนึ่ง แล้วใช้มืออีกข้างหยิบระฆังดาราออกมาดู ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

เขาคาดไม่ถึงนิดหน่อย ไม่น่าเชื่อว่ามู่หรงซิงหัวจะส่งข้อความมาหาเขา มู่หรงซิงหัวถามว่า : อยู่หรือเปล่า?

หลังจากเหมียวอี้ลังเลครู่หนึ่ง ก็ตอบว่า : อยู่ มีเรื่องอะไร?

ในตอนนี้มู่หรงซิงหัวกำลังนั่งเปลือยกายอยู่ข้างเตียง แขนข้างหนึ่งสอดเสื้อผ้ามาปิดหน้าอก ส่วนมืออีกข้างถือระฆังดารา

นางเห็นกับตาตัวเองว่าการเข่นฆ่ากันระหว่างผู้บัญชาการเพื่อทำคะแนนทดสอบนั้นเหี้ยมโหดขนาดไหน นางไม่คิดว่าพวกเหมียวอี้จะยังรอดชีวิตอยู่ เพียงแต่เมื่อครู่นี้เพิ่งได้ยินเฉิงจวินซิ่นบอกไว้ก่อนจะออกไปว่าการทดสอบใกล้จะสิ้นสุดแล้ว จู่ๆ นางเลยอยากจะรู้ว่าพวกเหมียวอี้ตายหรือยัง

นางแค่อยากจะรู้ ว่าถ้าพวกเหมียวอี้ไม่ต้องใช้ชีวิตแบบนาง จะยังอยู่รอดปลอดภัยได้หรือไม่ นางแค่อยากจะพิสูจน์สักหน่อย อยากจะพิสูจน์จริงๆ

หลังจากได้รับคำตอบกลับมาจากเหมียวอี้ มู่หรงซิงหัวก็ตะลึงค้าง หัวเราะทั้งน้ำตาอยู่ตรงนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นบ้าประสาทเสีย ไม่รู้ว่ากำลังหัวเราะหรือร้องไห้

จนกระทั่งเหมียวอี้ถามนางอีกครั้งว่ามีธุระอะไร มู่หรงซิงหัวถึงได้ปาดน้ำตา ดวงตาฉายแววเด็ดเดี่ยว เหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ ถามกลับมาว่า : สวีถังหรานก็ยังไม่ตายเหรอ?

เหมียวอี้ : ก็ต้องอายุยืนกว่าเจ้าอยู่แล้ว มีธุระอะไรก็ว่ามา ถ้าไม่มีธุระอะไรก็อย่าทำให้ข้าเสียเวลา ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการ

มู่หรงซิงหัว : ในมือเยี่ยนจื่อเกอมีนักโทษหลบหนีสองคน เจ้าอยากได้มั้ย?

เหมียวอี้อึ้งไปครู่หนึ่ง พึมพำในใจว่าผู้หญิงคนนี้กำลังเล่นบ้าอะไรอยู่ : ก็ต้องอยากได้อยู่แล้วล่ะ เจ้าอย่าบอกนะว่าเจ้าจะมอบให้ข้า

มู่หรงซิงหัว : จะบอกว่ามอบให้เจ้าก็ไม่ถูก สุดท้ายพวกเราก็ยังต้องกลับไปรายงานผลการปฏิบัติงานที่ดาวเทียนหยวน ถ้าในมือทุกคนมีผลงานไว้บ้างก็จะรายงานผลได้สะดวก ข้าอยากจะให้เจ้าช่วยพูดกับผู้บัญชาการใหญ่ให้หน่อย

เหมียวอี้ : พูดอะไรแบบนี้ไปก็ไม่มีความหมาย ข้าพูดไว้ชัดเจนแล้ว เจ้าอย่ามาใช้มุกนี้เลย ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก

มู่หรงซิงหัว : ถ้าข้าเอาหัวของพวกเยี่ยนจื่อเกอกลับไปพร้อมกันด้วย เจ้าจะเชื่อมั้ย?

เหมียวอี้ : รอให้ข้าเห็นความจริงใจจากเจ้าแล้วค่อยว่ากัน

มู่หรงซิงหัว : ถ้าข้าทำสำเร็จแล้วจะติดต่อกลับไปอีกที

เหมียวอี้นั่งอยู่บนตัวปีศาจคางคก ในมือถือระฆังดาราพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด สุดท้ายก็ส่ายหน้า ไม่สนใจนางหรอก ถึงตอนนั้นถ้านางสร้างผลงานอะไรได้แล้วค่อยว่ากัน เขาไม่ได้ตกหลุมพรางง่ายๆ ขนาดนั้น

เมื่อเก็บระฆังดาราแล้ว เขาก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไว้ชั่วคราว นำดีบัวสองต้นในฝ่ามือออกมาอีกครั้ง หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็นำทวนเกล็ดย้อนของตัวเองออกมา นำดีบัวร่ายอิทธิฤทธิ์ใส่เข้าไปในค่ายกลของทวนเกล็ดย้อน จากนั้นกระโดดลงจากตัวปีศาจคางคก พอเริ่มโบกทวน ปราณปีศาจโลหิตก็พรั่งพรูออกมาจากตัวทวนท่ามกลางเสียงมังกรคำราม

ทวนขยับตามร่างกาย เหมียวอี้ปาดทวนแทงพักหนึ่ง คนออกทวนราวกับมังกรอยู่ท่ามกลางปราณปีศาจคละคลุ้ง ราวกับแหวกฟ้าคว้าฝน!

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset