พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 895

อย่าให้ผู้การหยางรู้

“เฮ้อ!” ขณะมองดูฮูหยินที่ใกล้จะเป็นบ้า เหมียวอี้ก็ถอนหายใจอย่างไร้เรี่ยวแรง ไม่รู้ว่าเมียตัวเองโดนคนในครอบครัวกุมจุดอ่อนไว้เยอะแค่ไหน หันตัวมาบอกว่า “อาหก งั้นก็เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าตอบตกลงเงื่อนไขของท่าน แต่ข้าไม่กล้ารับประกันนะว่าจะเกลี้ยกล่อมให้เขามานภาจอมมารได้รึเปล่า!”

ถ้าให้เยารั่วเซียนมาที่นภาจอมมารในตอนนี้ เขารู้สึกว่าไม่มีอะไรเสียหาย พอเยารั่วเซียนปรากฏตัวขึ้นมาแบบนี้ ถ้าให้แดนเซียนรู้ว่าเขาหลบอยู่ข้างกายเหมียวอี้มาตลอด ก็คงไม่ใช่เรื่องดีอะไร ถ้ามาอยู่ที่นภาจอมมารแล้ว คาดว่าฝั่งนี้ก็คงไม่ปฏิบัติต่อเขาอย่างทารุณ ถ้ามีโอกาสเหมาะค่อยพากลับมาอีกทีก็ได้ ถึงอย่างไรเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ยังอยู่ในมือตน

อวิ๋นเซี่ยวหัวเราะเบาๆ “งั้นเจ้าก็ต้องพยายามให้เต็มที่นะ คนที่กล้าประลองของวิเศษกับสำนักงามวิจิตรเพียงลำพัง…” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำสีหน้าเหมือนเกิดความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา “ข้ายังยืนยันคำเดิม ข้าไม่ยอมให้เขาไปตกอยู่ในมือคนอื่นหรอก เจ้าคงเข้าใจดีว่าข้าหมายความว่าอย่างไร!”

เรื่องนี้ก็ตกลงกันตามนี้ หลังจากออกจากตำหนักคุมงานพร้อมกับเหมียวอี้ อวิ๋นจือชิวที่ยังคงมีสีหน้าอับอายก็แอบมองเหมียวอี้เป็นระยะ สังเกตปฏิกิริยาของเหมียวอี้ เพราะนางออกจากนภาจอมมารมาใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกหลายปี จึงเข้าใจความคิดของคนทั่วไปได้  ค่อยๆ มีจิตสำนึกในความอับอายเหมือนคนปกติ ไม่ได้ใจกว้างเหมือนกับคนของนภาจอมมาร นี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้นางโมโหจนแทบบ้า นางกังวลมากว่าเหมียวอี้จะมีปมอะไรคั่งค้างอยู่ในใจ

ที่จริงต่อให้เป็นที่นภาจอมมาร ชายหญิงก็ยังมีความแตกต่างกัน ไม่อย่างบรรดาอาหญิงของนางคงไม่ได้มีอาเขยแค่คนเดียวหรอก ไม่เหมือนพวกอาชายที่สามารถมีเมียได้หลายคน สำหรับชายหญิงที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว นภาจอมมารก็ยังมีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อยู่ อย่างไรเสีย ถ้าพูดถึงด้านสรีระร่างกาย ผู้หญิงก็มีความเสียเปรียบโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่อวิ๋นอ้าวเทียนจะเปลี่ยนนภาจอมมารให้กลายเป็นซ่องราคะ

ที่จริงเหมียวอี้ก็ไม่ได้เห็นเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร ตอนที่เขาได้ครอบครอบร่างกายของผู้หญิงคนนี้ เขาก็รู้อย่างแจ่มแจ้งว่าอะไรเป็นอะไร ไม่มีอะไรน่าสงสัย ตอนที่เป็นวัยรุ่น เรื่องบางเรื่องก็ไม่มีอะไรน่าถือสาหาความ สำหรับนิสัยของผู้ชายและผู้หญิงที่นภาจอมมาร เขาเองก็นับว่าได้สัมผัสประสบการณ์มาแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนวัยรุ่นอวิ๋นจือชิวเป็นคนอย่างไร ยังหวังจะให้มีแกะน้อยในฝูงหมาป่าเชียวหรือ?

แต่เขายิ่งเงียบเท่าไร อวิ๋นจือชิวก็ยิ่งอกสั่นขวัญแขวน จึงลองถามหยั่งเชิง “หนิวเอ้อร์ เจ้ามคิดจะถามอะไรข้าสักหน่อยเหรอ?”

เหมียวอี้ไม่ได้กำลังคิดเรื่องนี้ เขากำลังคิดเรื่องเยารั่วเซียนอยู่ เมื่อได้ยินดังนั้นก็ถามกลับว่า “ถามอะไร?”

อวิ๋นจือชิวอธิบายอีกรอบทันที “ตอนวัยรุ่นที่ข้าแอบดูผู้ชายอาบน้ำ ข้าก็แค่อยากรู้อยากเห็นเท่านั้น อยากจะเห็นว่าผู้ชายกับผู้หญิงมีอะไรต่างกัน ไม่ได้ทำเรื่องอื่นเลยจริงๆ”

พอนางพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้านี่มันพอได้เลยนะ ไปแอบดูผู้ชายอาบน้ำมาจริงๆ เหรอ?”

อวิ๋นจือชิวหน้าแดงทันที อายจนแทบไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แต่ยังรวบรวมความกล้าบอกว่า “แอบดูแล้วยังไงล่ะ?”

เป็นครั้งแรกที่เห็นนางเป็นวัวสันหลังหวะแบบนี้ ในใจเหมียวอี้รู้สึกบันเทิงแล้ว แต่ยังถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “น่ามองมากใช่มั้ยล่ะ?”

ตอนนี้อวิ๋นจือชิวกลัวแล้วจริงๆ โต้กลับว่า “ข้าก็แค่ดูเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย คงสู้เจ้ากับฝาแฝดคู่นั้นไม่ได้หรอกใช่มั้ยล่ะ?”

“…” เหมียวอี้เถียงไม่ออก นางพูดเรื่องนี้อีกแล้วเหรอ เขาถอนหายใจแล้วบอกว่า “ได้ๆๆ! เจ้ามีเหตุผลเสมอนั่นแหละ เป็นความผิดของข้าเอง จบมั้ย? ที่เจ้าไปแอบดูผู้ชายอาบน้ำก็ทำถูกแล้ว จบมั้ย?”

“ข้า…” อวิ๋นจือชิวแทบจะร้องไห้เพราะคำพูดของเขา นางดึงแขนเขา ถามด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร เจ้าถึงจะยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป?”

เมื่อเห็นนางเป็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็คว้ามือนางขึ้นมา เดินจูงมือนางพลางบอกว่า “เจ้าจะกังวลทำไม ข้าไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลย ถ้าข้าไม่เชื่อเจ้า แล้วข้าจะแต่งงานกับเจ้าทำไม?”

อวิ๋นจือชิวกลับไม่วางใจ ถามยืนยันอีกครั้ง “เจ้าพูดจริงเหรอ? หนิวเอ้อร์ ข้าขอเตือนเจ้านะ คนอื่นจะมองหรือจะว่าข้าอย่างไรข้าก็ไม่สนใจ แต่ถ้าในใจเจ้ารู้สึกอึดอัดก็พูดออกมา เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้า ข้าทนรับความไม่ยุติธรรมของเรื่องนี้ไม่ไหว ไม่อย่างนั้นข้าจะรู้สึกไม่ยุติธรรมไปทั้งชีวิต!”

เหมียวอี้พลันหยุดฝีเท้า แล้วมายืนอยู่ตรงหน้านาง มองนางด้วยแววตาจริงจังพร้อมบอกว่า “ฮูหยิน ถ้าครั้งหน้าอยากดูอีก พาข้าไปดูด้วยนะ!”

อวิ๋นจือชิวตะลึงงัน จากนั้นก็อับอายจนโมโห โชคดีที่เหมียวอี้เตรียมตัวไว้นานแล้ว เขาถลันตัวหลบก่อน คนหนึ่งวิ่งหนีอยู่ข้างหน้า คนหนึ่งวิ่งไล่ตามหลัง…

จากนั้นทั้งสองก็มาที่ตำหนักจอมมารอีก มากล่าวอำลาอวิ๋นอ้าวเทียนอย่างเป็นทางการ

หลังจากกลับมาถึงเรือนพักส่วนตัว ก็เรียกช่างไม้ ช่างหินและฉินเวยเวย แล้วเกี้ยวงามก็เหาะขึ้นฟ้า เหาะออกจากนภาจอมมารไปแล้ว

ตอนที่กลับถึงปราสาทดำเนินสุริยัน เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็รู้แล้วเช่นกันว่าเยารั่วเซียนจะไปประลองของวิเศษที่สำนักงามวิจิตร ข่าวนี้แพร่ไปทั่วทั้งแดนฝึกตนแล้ว สองสาวร้อนใจมาก และเป็นห่วงความปลอดภัยของเยารั่วเซียนด้วย ขอร้องให้เหมียวอี้ช่วยพ่อบุญธรรมของพวกนางให้ได้

เหมียวอี้ปลอบใจว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ข้าจะไปที่สำนักงามวิจิตรด้วยตัวเองสักเที่ยว ไม่ให้เกิดเรื่องกับเยารั่วเซียนหรอก”

อวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจกลับเป็นกังวล อีกประเดี๋ยวก็ดึงมือเหมียวอี้ไปที่ห้องนอน แล้วคุยกันส่วนตัว “ความสัมพันธ์ของพวกเรากับเฟิงเป่ยเฉินก็เห็นๆ กันอยู่ เจ้าไปสำนักงามวิจิตรด้วยตัวเองแบบนี้ ข้ากลัวว่าจะอันตราย!”

แต่เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม “ไม่มีอันตรายอะไรหรอก ในเมื่ออาหกจะส่งคนไปด้วย ทางแดนเซียนก็จะส่งคนไปด้วยเหมือนกัน พวกเขาไม่ปล่อยให้นภาอู๋เลี่ยงทำอะไรข้าหรอก ข้าจะไปทะเลดาวนักษัตรด้วย ไปบอกให้ประมุขถิ่นสี่ทิศพาคนไปด้วยเยอะๆ ต่อให้เฟิงเป่ยเฉินมาเอง แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรข้าหรอก มีแต่ต้องให้ข้าไปเองเท่านั้น ถึงจะอาศัยเครือข่ายพวกนั้นปกป้องเยารั่วเซียนได้ ไม่อย่างนั้นเยารั่วเซียนคงจะมีอันตรายจริงๆ”

อวิ๋นจือชิวคิดไปคิดมาแล้วก็เห็นด้วย การไปครั้งนี้น่าจะไม่เกิดเรื่องอะไร นางจึงถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ข้ากับพวกช่างไม้ไม่สะดวกจะไปกับเจ้า ถ้าไปด้วยอาจจะทำเสียเรื่อง”

เหมียวอี้พยักหน้า เขาพอจะเข้าใจได้ อวิ๋นจือชิวไปแล้วจะอึดอัดทำตัวไม่ถูก ถ้ามีคนพูดจาไม่น่าฟังขึ้นมา…สรุปก็คือ ถ้าอวิ๋นจือชิวไปด้วยจะต้องมีคนตำหนินินทาลับหลังแน่นอน ถึงอย่างไรผู้ชายอย่างเขาก็เป็นฝ่ายได้ประโยชน์ คนอื่นจะว่าอะไรเขาก็ไม่เป็นไร แต่สำหรับผู้หญิงนั้นไม่เหมือนกัน

ไม่รู้ว่าอวิ๋นจือชิวนึกอะไรขึ้นได้ หันตัวมายิ้มพร้อมถามว่า “ให้ฉินเวยเวยไปเป็นเพื่อนเจ้าสิ?”

“นางเหรอ?” เหมียวอี้ขมวดคิ้วถาม “ทำไมเจ้าคิดถึงจะพานางไปด้วยตลอดเลย?”

อวิ๋นจือชิวมองสำรวจเขาศีรษะจดเท้าแวบหนึ่งด้วยรอยยิ้มสนิทสนม แล้วถามว่า “นางทำไมล่ะ? เจ้าไม่ชอบใจอะไรน้องสาวข้าเหรอ?”

เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ชอบใจนาง แต่วรยุทธ์อย่างนางไปด้วยก็ช่วยอะไรไม่ได้ ดีไม่ดีอาจจะมีภาระเพิ่ม”

“เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะไม่เกิดอันตราย? พานางไปด้วยจะเป็นไรไป? พาลูกน้องไปด้วยสักคน ก็ยังพอต่อสู้ดูแลเจ้าได้” อวิ๋นจือชิวแปลกใจ

“ข้าจำเป็นต้องทำให้นางดูแลด้วยเหรอ? ถ้าอยากจะให้มีคนดูแลจริงๆ ไม่สู้ข้าพาเชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์ไปด้วยดีกว่าเหรอ วรยุทธ์ของสองคนนั้นยังสูงกว่านางอีก” เหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

อวิ๋นจือชิวหัวเราะแล้วบอกว่า “พานางไปด้วยเถอะ ข้าบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าถ้าในอนาคตอยากให้นางคุมที่นี่ ถ้ามีโอกาสก็ต้องพานางไปเปิดหูเปิดตาบ้าง เพิ่มพูนความรู้สักหน่อย ต่อให้เป็นการรู้จักคนเพิ่มเพียงไม่กี่คนก็ตาม นางจะได้คุมที่นี่แทนพวกเราได้สะดวก”

“เจ้ายังคิดเรื่องนี้อยู่จริงๆ เหรอ? ข้าบอกแล้วไงว่าไม่ได้ พวกเราผ่านด่านของหยางชิ่งไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้นหรอก” เหมียวอี้ขมวดคิ้ว

อวิ๋นจือชิวตบหน้าอกเขาเบาๆ พลางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ข้าบอกแล้วว่าข้ามีวิธีการของข้าเอง เจาไปทำตามที่ข้าบอกก็พอ” พูดจบก็หันตัวเดินออกไป ขณะที่หันหลังก็โบกมือบอกว่า “หนิวเอ้อร์ เอาตามนี้แล้วกัน ข้าจะไปบอกนาง”

“ฮูหยิน อวิ๋นจือชิว เถ้าแก่เนี้ย..” เหมียวอี้พยายามเรียกยังไงก็ไม่ได้ผล เขายืนเอามือไขว้หลังครุ่นคิดพักหนึ่ง แต่ก็คิดไม่ตกว่าผู้หญิงคนนี้กำลังจะใช้อุบายอะไรกันแน่ ตอนที่เดินออกมาอีกครั้ง ก็เห็นอวิ๋นจือชิวจูงมือฉินเวยเวยและพูดคุยกันพอดี

เห็นเพียงฉินเวยเวยพยักหน้าไม่หยุดอยู่ตรงหน้าอวิ๋นจือชิว เมื่อเห็นเขาออกมานางก็รีบลุกขึ้น มองเหมียวอี้ด้วยแววตาเฝ้าคอย ในดวงตาฉายแววดีใจเหนือความคาดหมาย

อวิ๋นจือชิวส่งนางไปจัดการงานนี้กับเหมียวอี้ นางเองก็ไม่ได้ทำงานกับเหมียวอี้มานานแล้ว ค่อนข้างเฝ้าคอยสิ่งนี้ กอปรกับที่คิดว่าอวิ๋นจือชิวพูดจามีเหตุผล บอกว่าตัวเองกับแดนอู๋เลี่ยงมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน จึงไม่สะดวกจะไปแดนอู๋เลี่ยง ทั้งยังบอกว่าเห็นฉินเวยเวยเป็นเหมือนน้องสาว หวังว่าในระหว่างนั้นฉินเวยเวยจะช่วยดูแลเรื่องการกินอยู่ให้เหมียวอี้ได้

ฉินเวยเวยเข้าใจสิ่งนี้ รู้ว่าอวิ๋นจือชิวไม่สะดวกจะไปแดนอู๋เลี่ยงจริงๆ นางจึงบอกว่ายินดีรับหน้าที่นี้ จะช่วยพี่สาวดูแลนายท่านให้ดี

ดูจากสภาพแล้ว ทั้งสองคนเหมือนจะคุยกันเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้เกาศีรษะ แล้วถามว่า “เวยเวย ฮูหยินบอกเจ้าชัดเจนแล้วใช่มั้ย?”

ฉินเวยเวยกุมหมัดคารวะทันที “ข้ายินดีติดตามรับใช้นายท่านค่ะ!”

“…” ที่จริงเหมียวอี้ไม่ได้หมายความอย่างนี้ เขาพูดอย่างอึดอัดนิดหน่อยว่า “คืออย่างนี้นะ ข้ากลัวจะเกิดเรื่องไม่คาดคิด การไปครั้งนี้อาจจะไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไร ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ข้าคงไม่สะดวกจะอธิบายกับผู้การหยาง!”

เขาอยากจะให้ฉินเวยเวยไตร่ตรองอีกที หรือไม่ก็อยากให้ฉินเวยเวยรู้ถึงความลำบากแล้วยอมถอย แต่ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะชิงบอกว่า “นายท่านเตือนได้ถูกต้องแล้ว น้องสาว อย่าให้ผู้การหยางรู้เรื่องนี้ ถ้าให้ผู้การหยางรู้ เขาจะต้องไม่ยอมให้เจ้าไปด้วยแน่นอน”

เหมียวอี้เหมือนโดนตะคริวกินใบหน้า เข้าใจเป็นอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ?

ฉินเวยเวยพยักหน้า “พี่สาวไม่ต้องห่วงค่ะ ถึงแม้ผู้การหยางจะเป็นพ่อบุญธรรมของข้า แต่นายท่านกับพี่สาวก็ยังเป็นใหญ่ที่สุดในปราสาทดำเนินสุริยัน ในเมื่อพี่สาวกำชับแล้ว ข้าก็รู้ว่าควรทำอย่างไร!” นางตอบตกลงแล้วว่าจะปิดบังหยางชิ่ง

อวิ๋นจือชิวหันกลับมาหาเหมียวอี้ “นายท่านยังมีความคิดเห็นอะไรก็พูดมาทีเดียวเลย อย่ามัวอ้ำๆ อึ้งๆ เหมือนพวกผู้หญิงได้มั้ยคะ?”

“…” เหมียวอี้พูดไม่ออกครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “งั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน เวยเวย ไปครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะไปนานเท่าไร เจ้ากลับไปจัดการธุระที่อาณาเขตของเจ้าก่อน แล้วเจ้าค่อยไปหาหลินผิงผิงที่ยอดเขาหยกนครหลวง ไปอยู่กับนางที่นั่นก่อน เดี๋ยวข้าก็ต้องไปบอกที่เมืองหลวงด้วยเหมือนกัน ถึงตอนนั้นค่อยพาเจ้าร่วมทางไปด้วย” เขาต้องการไปรวบรวมกำลังพลที่ทะเลดาวนักษัตรก่อน เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด

“รับทราบ!” ฉินเวยเวยกุมหมัดคารวะทั้งสอง “หากนายท่านกับพี่สาวไม่มีอะไรจะกำชับแล้ว ข้าน้อยก็ขอตัวกลับไปเตรียมตัวก่อนค่ะ!”

อวิ๋นจือชิวพยักหน้ายิ้มตาหยี หลังจากฉินเวยเวยเดินออกไปแล้ว เหมียวอี้ก็ลุกขึ้นบอกว่า “ข้าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย!”

“อย่าคิดจะไปบอกข่าวนี้กับหยางชิ่งเชียวนะ!” อวิ๋นจือชิวกลับเอ่ยเตือน

เหมียวอี้กำลังคิดจะทำแบบนั้นพอดี โดนพูดแทงใจดำแล้ว จึงหันตัวมาถามว่า “ฮูหยิน เจ้าคิดจะผ่านด่านหยางชิ่งยังไงกันแน่ เปิดเผยให้ข้ารู้หน่อยได้มั้ย?”

พูดชัดเจนแล้ว เขาไม่อยากให้หยางชิ่งกับฉินเวยเวยคุมที่นี่หลังจากที่ตัวเองไปพิภพใหญ่ และไม่อยากพาอวิ๋นจือชิวไปพิภพใหญ่ด้วย เดี๋ยวถ้าอวิ๋นจือชิวกับหวงฝู่จวินโหรวเจอกันขึ้นมา แล้วจะให้เขาจัดการยังไงล่ะ?

แดนอู๋เลี่ยง สำนักงามวิจิตร บนภูเขาที่ใช้หลอมของวิเศษโดยเฉพาะ เงาคนคนหนึ่งเหาะมาเหยียบลงนอกห้องไฟของเจ้าสำนัก ไม่ใช่ใครที่ไหน เหมียวจวินอี๋ ฮูหยินของเจ้าสำนักนั่นเอง

เหมียวจวินอี๋ทำสีหน้าเย็นเยียบ กวาดมองลูกศิษย์ที่เฝ้าประตู แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “พวกเจ้าถอยออกไปให้หมด!”

“รับทราบ!” พวกลูกศิษย์รีบถอยออกไป พอเหมียวอวี๋จวินโบกแขนเสื้อ ประตูหินที่ปิดสนิทก็เปิดให้คนข้า จากนั้นก็ปิดลงอีกครั้งพร้อมเสียงดังครืน

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset