พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1039 หลบศัตรูที่แข็งแกร่งชั่วคราว

บทที่ 1039 หลบศัตรูที่แข็งแกร่งชั่วคราว

เมฆเลือดพัดม้วน ราวกับมารปีศาจ พัดม้วนขยายไปทั่วสารทิศ!

เหมียวอี้ถือทวนในแนวเฉียงลง จ้องมองเหยี่ยวมารวานรยักษ์หกตัวที่พุ่งเข้ามาด้วยสีหน้าดุร้าย ร่างกายที่กำลังเหาะถอยหลังจมลงและปรากฏให้เห็นรางๆ อยู่ในปราณปีศาจโลหิตที่ตลบอบอวล

“เป็นปราณปีศาจโลหิต!”

“ปราณปีศาจโลหิตที่เข้มข้นขนาดนี้ ไม่รู้ว่าต้องใช้ไปกี่ชีวิตถึงจะเซ่นหลอมออกมาได้ เจ้าหนุ่มนี่เอาของอัปมงคลชั่วร้ายประเภทนี้มาจากไหน?”

ตรงจุดหมายสุดท้ายมีคนอุทานอย่างประหลาดใจ

โค่วเหวินหลานและคนอื่นๆ ก็ตกใจไม่เบาเช่นกัน ไม่รู้ว่าเหมียวอี้นำของที่มีพิษร้ายแบบนี้มาจากไหน ในเมื่อเขาสามารถควบคุมมันได้ ก็แสดงว่าเขาไม่กลัวของเล่นที่มีพิษร้ายประเภทนี้

“เป็นปราณปีศาจโลหิต! ร่ายอิทธิฤทธิ์คุ้มครองเหยี่ยวมาร!” ผู้บัญชาการที่ขี่เหยี่ยวมารวานรยักษ์นำอยู่ในกระบวนทัพรูปงูหันกลับมาตะโกนอย่างร้อนใจ

คนข้างได้ยินแล้วพยักหน้า พากันร่ายอิทธิฤทธิ์คุ้มครองเหยี่ยวมารไม่ให้โดนปราณปีศาจโลหิตรุกล้ำเข้ามา

ฝานอวี้เฟยที่หันกลับมามองแวบหนึ่งเข้าใจในทันที ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นของตัวเองถึงฟั่นเฟือนและไม่ยอมรับการควบคุม ที่แท้ก็โดนปราณปีศาจโลหิตนี่เอง ของที่มีพิษร้ายประเภทนี้ ตนไม่สามารถช่วยกำจัดให้เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นได้เลย หลังจากเข้าใจแล้ว คิดไปคิดมาก็ปวดใจ สัตว์พาหนะที่ดีขนาดนี้ไม่ใช่ว่าใครก็หามาได้ ราคาสูงไม่เบาจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเจอกับเจ้าหนุ่มที่ไม่กลัวการโจมตีจากคลื่นเสียง การที่มีเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นตัวนี้ช่วย ก็ทำให้นางเป็นเหมือนเป็นเสือติดปีก

กลุ่มของนางมากันสิบคน สาเหตุที่ก่อนหน้านี้สามารถรักษากำลังคนไว้ได้สิบคน ก็ล้วนเป็นเพราะอาศัยอานุภาพของเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นตัวนี้ ความสามารถในการบินของเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นถึงแม้จะไม่ได้ยอดเยี่ยมสักเท่าไร แต่คู่ต่อสู้ที่เจอล้วนอับจนปัญหายามอยู่ภายใต้เสียงคำรามของมัน อานุภาพไม่ธรรมดาจริงๆ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็นึกไม่ถึง ว่ามันจะมาพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือนักพรตบงกชทองขั้นสามแค่คนเดียว ไม่ให้ปวดใจคงไม่ได้

ส่วนเหยี่ยวมารวานรยักษ์อีกหกตัว ตอนนี้ไล่ตามสังหารเหมียวอี้พร้อมหมุนตัวเหมือนพายุหมุนเข้าไปในปราณปีศาจโลหิตที่ตลบอบอวลแล้ว พอร่างกายแบบเหยี่ยวมารวานรยักษ์เข้าไป ก็ตีกวนให้เกิดฉากอลังการที่ทรงพลานุภาพทันที

ระยะห่างค่อนข้างไกล คนที่อยู่ข้างนอกมองเห็นเพียงภาพขมุกขมัว มองเห็นรายละเอียดข้างในไม่ค่อยชัดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

เหยี่ยวมารวานรยักษ์หกตัวบุกจมเข้าไปได้ไม่นาน เหมียวอี้ที่ถือทวนเหาะถอยหลังด้วยความเร็วสูงราวกับพ่นหมอกยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็นดุร้าย ร่ายอิทธิฤทธิ์ชี้ไปที่ปราณปีศาจโลหิตอย่างมีจังหวะขั้นตอน

คนแรกที่พุ่งเข้ามาในปราณปีศาจโลหิตตกใจทันที รู้สึกได้ถึงความผิดปกติแล้ว ในปราณปีศาจโลหิตเหมือนจะมีของอะไรบางอย่างยิงออกมา วัตถุที่ลอบโจมตีเหมือนจะโปร่งแสง จนกระทั่งมาถึงตรงหน้าถึงได้สังเกตเห็นคร่าวๆ ว่าเป็นกระบี่เล็กโปร่งแสงเล่มหนึ่งที่มีขนาดเท่านิ้วชี้ อาศัยการบดบังจากปราณปีศาจโลหิตที่หนาทึบทำให้สังเกตเห็นได้ยาก รอจนกระทั่งสังเกตเห็นมันก็มาถึงตรงหน้าแล้ว

แต่อานุภาพการโจมตีเหมือนจะมีจำกัด เขาใช้ทวนยาวในมือโบกกวาดอย่างรวดเร็ว แกร๊ง! กระบี่เล็กถูกตีระเบิดพังไปแล้ว

เขาสามารถป้องกันการลอบโจมตีจากกระบี่เล็กโปร่งแสงได้ แต่เหยี่ยวมารวานรยักษ์กลับป้องกันไม่ได้

บึ้ม! เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น ได้แต่มองดูดวงตาข้างหนึ่งของเหยี่ยวมารวานรยักษ์ระเบิดและมีของเหลวไหลออกมา โดนกระบี่เล็กโปร่งแสงยิงใส่จนระเบิดแล้ว

คนที่นำหน้ามาตกใจมาก กระบี่เล็กโปร่งแสงที่มีอานุภาพการโจมตีไม่เยอะ แต่ไม่น่าเชื่อว่าความคมของมันจะทะลุเกราะพลังอิทธิฤทธิ์ที่ตนใช้ปกป้องเหยี่ยวมารวานรยักษ์ได้อย่างง่ายดายราวหั่นเต้าหู้?

“จี๊ดๆๆ…” ท่ามกลางปราณปีศาจโลหิตสีแดงขมุกขมัว เสียงกรีดร้องของเหยี่ยวมารวานรยักษ์ดังออกมา

“รีบไป! มีกลลวง!” ผู้บัญชาการที่ขี่เหยี่ยวมารวานรยักษ์นำหน้าพลันร้องบอก

เตือนได้ช้าไปหน่อย ไม่ใช่แค่สัตว์พาหนะของเขาเท่านั้น สัตว์พาหนะของคนอื่นๆ ก็ทยอยกันร้องเสียงแหลมเช่นกัน เหยี่ยวมารวานรยักษ์แต่ละตัวเกิดการทำงานที่ปั่นป่วน กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ท่ามกลางปราณปีศาจโลหิต ไม่รับการควบคุมจากใครเลย

เหมียวอี้แอบเสียดายนิดหน่อย เมื่อเทียบกับหกคนที่อยู่ในปราณปีศาจโลหิต วรยุทธ์ของตนยังต่ำเกินไปจริงๆ ถ้าอยากจะร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมให้กระบี่เล็กเพลิงจิตทำร้ายคนพวกนั้นในระยะไกล ก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก นอกจากจะยังไม่เร็วพอ เนื้อของกระบี่เล็กเพลิงจิตก็ยังไม่เกาะตัวกันมากพอด้วย ระดับความแข็งยังไม่สูงมาก แถมบนตัวคนพวกนั้นก็สวมเกราะรบผลึกแดงขั้นห้า ไม่อย่างนั้นเขาคงใช้กระบี่เล็กเพลิงจิตกำจัดคนพวกนี้ทิ้งไปแล้ว

การลอบจู่โจมสำเร็จ เหมียวอี้หยุดชะงักอยู่ที่เดิม ชั่วพริบตาเดียวก็ถือทวนพุ่งกลับเข้าไปในปราณปีศาจโลหิต

เมื่อเห็นว่าไม่อาจดันทุรังกับสถานการณ์นี้ได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าในปราณปีศาจโลหิตยังมีกลลวงอะไรอีก ปฏิกิริยาแรกของทั้งหกคนก็คือตัดใจทิ้งเหยี่ยวมารวานรยักษ์ที่กำลังม้วนกลิ้ง แล้วรีบหนีออกจากปราณปีศาจโลหิตไป เหมียวอี้ที่พุ่งตัวเข้าไปในนั้นย่อมคว้าน้ำเหลว อาศัยความเร็วของเขายังตามไม่ทันหกคนนี้ มีแต่เหยี่ยวมารวานรยักษ์ที่มารับหน้า เหมียวอี้โบกทวนฟันสังหารพวกมันเสียเลย

ขนนกบนตัวเหยี่ยวมารวานรยักษ์ล้วนเป็นเป็นขนที่มีเกล็ดแข็งทนทาน ราวกับเป็นเหล็กชั้นดี เรียกได้ว่าผิวภายนอกมีเกราะป้องกันที่ทนทานหุ้มชั้นหนึ่ง แต่กลับต้านทานความคมของทวนวิเศษผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงไม่ไหว โดนฟันจนเกิดประกายไฟสายแล้วสายเล่า เลือดร้อนๆ ระเบิดออกมา ส่งเสียงร้องเจ็บปวดพร้อมหนีหัวซุกหัวซุน

เหมียวอี้ย่อมไม่สนใจที่จะสังหารพวกสัตว์ที่โดนตัวเองวางยาไปแล้ว เขาจึงเก็บกระบี่เล็กเพลิงจิตที่ปล่อยออกไป แล้วรีบพุ่งออกจากขอบเขตของปราณปีศาจโลหิต พอลอยอยู่กลางอากาศแล้วมองดู ก็เห็นหกคนนั้นหนีไปแล้ว รีบไปรวมตัวกับฝานอวี้เฟย เหยี่ยวมารวานรยักษ์สี่ตัวที่โชคดีรอดตายก็พลิกตัวบินออกมาเช่นกัน

หกคนที่หนีออกไปไร้เหยี่ยวมารวานรยักษ์คอยช่วยแล้ว ก่อนหน้านี้เคยเห็นพลังยามที่เหมียวอี้กับฝานอวี้เฟยสู้กัน พวกเขาจะกล้าออกมาท้าทายได้อย่างไร จึงรีบปลีกตัวหนีออกมา รีบไปหาฝานอวี้เฟยแล้ว

ภายใต้ความเฉื่อยของอากาศใต้เท้าเหมียวอี้ หมอกปราณปีศาจโลหิตส่วนใหญ่ยังคงลอยไปข้างหน้า ละถูกตีกวนให้แผ่กระจายไปทั่วสี่ทิศด้วย

“ช่างเป็นคนโหดจริงๆ!”

“ให้ความรู้สึกเหมือน เมื่อทวนอยู่ในมือ ในโลกนี้ก็ไร้คู่ต่อสู้!”

ทำให้สัตว์พาหนะพังไปรวดเดียวหกตัว ตรงจุดหมายสุดท้ายมีคนไม่น้อยที่เดาะลิ้นกล่าวชื่นชม

เซี่ยโห้วหู่เฉิงกลับสีหน้าดำเหมือนก้นหม้อ ลูกน้องของตัวเองเสียสัตว์พาหนะไปหมดแล้ว เมื่อขาดพลังเท้าคอยช่วยเหลือ ตอนหลังก็จะเกิดปัญหาใหญ่ เขาหันไปมองพี่ใหญ่ของตัวเองโดยจิตใต้สำนึก ถ้าไม่ใช่เพราะช่วยเหลือให้พี่ให้พี่ใหญ่ได้ระบายอารมณ์โกรธ มีหรือที่จะเจอสถานการณ์สิ้นหวังแบบนี้

บังเอิญว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็มองเขาด้วยสายตาอ่อนปวกเปียกเช่นกัน เมื่อสองพี่น้องสบตากัน เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด รู้ว่าครั้งนี้ตัวเองทำให้น้องชายอยู่ในสภาพย่อยยับป่นปี้ ตำหนิตัวเองในใจว่าทำไมตัวเองจึงมักทำผิดอยู่เสมอ

เมื่อเห็นพี่ใหญ่ทำท่าเหมือนตำหนิตัวเอง เซี่ยโห้วหู่เฉิงก็ระบายอารมณ์โมโหไม่ออกเหมือนกัน รีบหยิบระฆังดาราอออกมาสั่งให้พวกฝานอวี้เฟยรีบถอนกำลัง ถ้าถอนกำลังตอนนี้ต่อให้ไม่ได้อันดับหนึ่ง แต่คะแนนก็ไม่ได้แย่มาก ถ้าช้ากว่านี้เกรงว่าจะไม่ได้กลับไปเลย รอบข้างมีเสือจ้องจะกินเยอะเกินไป

โค่วเหวินหลานย่อมปลาบปลื้มดีใจไม่หยุด

“เจ้าหก ลูกน้องเจ้ามีกลยุทธ์ที่ดีนะ!” โค่วเหวินชิงถ่ายทอดเสียงชม แต่จากนั้นก็ถอนหายใจอีก “ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นแบบนี้…” คำพูดตอนท้ายไม่ได้เอ่ยออกมา ความหมายในคำพูดก็คือไม่ควรรับปากโค่วเหวินหวง

ทว่าในเมื่อรับปากไปแล้ว ถ้าพูดถึงอีกก็อาจจะทำโค่วเหวินหลานเป็นทุกข์ นางกวาดสายตามอง สายตาไปหยุดอยู่บนตัวพวกโฉวตั้งไห่ที่รีบเข้ามาช่วยสนับสนุนอย่างว่องไว

“อย่าหนีนะ!”

เมื่อเห็นพวกฝานอวี้เฟยสูญเสียความได้เปรียบเรื่องสัตว์พาหนะไปแล้ว ก็เหมือนลูกแกะที่รอให้เชือดจริงๆ ดูจากความสามารถของคนพวกนี้ คาดว่าบนตัวคงจะมีนักโทษหลายคน ฆ่ากลุ่มนี้กลุ่มเดียวก็เท่ากับฆ่าได้หลายกลุ่ม โอกาสดีในการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์แบบนี้ มีหรือที่จะปล่อยให้พลาดไปได้ โฉวตั้งไห่เรียกได้ว่าฮึกเหิม ตะโกนสั่งเสียงดัง แล้วนำกลุ่มคนเร่งไล่สังหารเข้ามา

ฝานอวี้เฟยพลิกฝ่ามือหยิบของที่เหมือนแส้หนามสีแดงออกมาแล้ว มันกำลังเปล่งแสงสีทองอยู่ในมือนาง ขณะกำลังจะโยนออกไป นางกลับได้รับข้อความจากเซี่ยโห้วหู่เฉิง

หลังจากเข้าใจเจตนาของผู้บัญชาการใหญ่แล้ว ก็หันไปมองกระบวนทัพของพวกโฉวตั้งไห่แวบหนึ่ง ฝานอวี้เฟยรู้ทันทีว่าไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว กอปรกับตอนนี้สูญเสียสัตว์พาหนะไปแล้ว คาดว่าทุกคนคงจะอยากกินเนื้อติดมันอย่างพกเขา ยิ่งอยู่นานจะยิ่งอันตราย ยิ่งทำให้คนที่มีเจตนาไม่ดีลงมือกับพวกเขาได้ง่ายๆ บวกกับที่เซี่ยโห้วหู่เฉิงเรียกพบโดยด่วน นางย่อมหมดกังวลแล้ว

นางรีบโบกมือให้คนที่เหลือถอนกำลัง ทิ้งเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นนั่นไปเสียเลย เป็นเพราะเดรัจฉานเสียงสวรรค์สูญเสียการควบคุมไปแล้ว กระเป๋าสัตว์ควบคุมพลังทำลายล้างของมันไม่ได้ด้วย

แต่ก่อนจะไปก็หันมามองเหมียวอี้อย่างเคียดแค้นเวบหนึ่ง ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาล้างแค้น จึงได้แต่ถอนกำลังไปพร้อมกับความอาฆาต

โฉวตั้งไห่ย่อมนำคนไล่ตามไป สกัดเอาไว้ ดักสังหาร!

ส่วนมู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานในตอนนี้ เมื่อเห็นว่าเหมียวอี้แก้ไขวิกฤตได้แล้ว ก็รีบเหาะกลับไปอยู่ข้างกายเขา

ในสายตาของทั้งสอง คิดว่าอยู่ข้างกายเหมียวอี้จะปลอดภัยหน่อย ไม่อย่างนั้นถ้าไม่ระวังตัว ก็อาจจะเป็นไปได้สูงที่จะตกอยู่ในมือคนอื่น ผีที่ไหนจะไปรู้ว่ารอบข้างมีคนมากมายเท่าไรที่กำลังดักซุ่มรอเคลื่อนไหว

ทั้งสองมองไปยังเหมียวอี้ที่ยังถือทวนเฉียงอยู่ในมือด้วยมาดอันดุร้าย ในแววตาทั้งสองเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรงแล้ว ภาพการเข่นฆ่าเมื่อครู่นี้ ทั้งสองยังจำได้ติดตา ไม่เลื่อมใสคงไม่ได้

เหมียวอี้หันกลับมามองทั้งสองแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “พวกเจ้าสองคนไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”

“ไม่เป็นไรๆ!” สวีถังหรานรีบส่ายหน้าตอบ ยิ้มสู้อยู่ตลอด เขาไม่ได้มีส่วนร่วมกับศึกนี้ จะเป็นอะไรได้ล่ะ ตอนนี้มีผู้บัญชาการหนิวที่องอาจห้าวหาญอยู่ข้างกาย กลับทำให้รู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปได้

มู่หรงซิงหัวยิ้มบางๆ “พวกเราจะเป็นอะไรได้ล่ะ กลับเป็นน้องหนิวที่ลำบากสู้รบ เอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างองอาจห้าวหาญ แก้ไขวิกฤตให้พวกเราสองคนแล้ว!”

เหมียวอี้ส่ายหน้า มองพวกโฉวตั้งไห่ที่ไปดักพวกฝานอวี้เฟย แล้วกล่าวอย่างฉงนใจ “คนพวกนี้เป็นใครกัน ทำไมตามติดพวกเราไม่ยอมปล่อย ดูเหมือนจะไม่ได้พุ่งเป้ามาที่นักโทษในมือพวกเรานะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน! “มู่หรงซิงหัวย่อมไม่เข้าใจอยู่แล้ว

กลับเป็นสวีถังหรานที่ค่อนข้างกินปูนร้อนท้อง เขาเอาแต่คิดเรื่องบางเรื่องอยู่ตลอด ลองถามหยั่งเชิงว่า “คงไม่ใช่คนที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงส่งมาหรอกใช่มั้ย?”

พอเขาพูดแบบนี้ เหมียวอี้กับมู่หรงซิงหัวก็มองหน้ากันเลิกลั่ก รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้จริงๆ เพราะคนส่วนใหญ่ที่นี่ล้วนไม่รู้จักกัน ในระยะเวลาของการทดสอบร้อยปี ก็ไม่เคยไปมีเรื่องกับคนอื่นๆ ของตำหนักสวรรค์เลย มีแค่เซี่ยโห้วหลงเฉิงแค่คนเดียว

ทิ้งเรื่องพวกนี้ไว้ก่อนชั่วคราว มู่หรงซิงหัวถามว่า “น้องหนิว ตอนนี้ควรจะจัดการตัวเองยังไง?”

เหมียวอี้ตอบอย่างหงุดหงิดว่า “ในเมื่อผู้บัญชาการใหญ่ไม่สนใจผลงาน พวกเราจะสู้สุดชีวิตอีกไปเพื่ออะไรล่ะ? ไม่สู้กลับไปมือเปล่าดีกว่า ขอให้รักษาชีวิตได้ก็พอ ทั้งสองคิดว่ายังไง?”

“มีเหตุผล! ถึงยังไงผู้บัญชาการใหญ่ก็บอกแล้วว่าให้ตัดสินใจความสถานการณ์ ตอนนี้สัตว์พาหนะของน้องหนิวตายแล้ว ไม่สะดวกจะสู้ต่อไปจริงๆ คิดเสียว่าพลิกแพลงเรื่องราว!” สวีถังหรานรีบอ้างเหตุผล เขาอยากจะปลีกตัวออกจากสถานที่อันตรายแบบนี้จะแย่อยู่แล้ว

มู่หรงซิงหัวก็เห็นด้วยเหมือนกัน ยื่นมือชี้ไปข้างหลังตัวเอง บอกใบ้ให้เหมียวอี้ขึ้นมาขี่บนสัตว์พาหนะได้ ถึงอย่างไรเดรัจฉานสับปลับก็ตัวใหญ่มากพอ อย่าว่าแต่นั่งเพิ่มอีกคนเลน ต่อให้นั่งเพิ่มอีกหลายคนก็ไม่มีปัญหา

ขณะที่เหมียวอี้กำลังจะถลันตัวไปนั่งข้างหลังนาง กลับได้ยินสวีถังหรานรีบส่งเสียงห้าม “หญิงชายมีความแตกต่างกัน! น้องหนิว มานั่งกับข้าดีกว่า”

เขาไม่ได้สนใจเรื่องหญิงชายมีความแตกต่างกันจริงๆ หรอก แค่อยากจะหาคนห้าวหาญไว้ปกป้อง ทางข้างหน้าเหมือนเงียบสงบ แต่ที่จริงมีอันตรายดักซุ่มอยู่รอบๆ รู้สึกว่าร่วมหัวจมท้ายกับเหมียวอี้น่าจะปลอดภัยหน่อย!

เหมียวอี้กับมู่หรงซิงหัวย่อมรู้ถึงความคิดของเจ้าหมอนี่อยู่แล้ว แต่ในเมื่อนำเรื่องเล็กๆ แบบนี้มาโย่งกับเรื่องชายหญิงมีความแตกต่าง มู่หรงซิงหัวก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรเหมือนกัน ทำเอาเหมียวอี้ไม่สะดวกจะเข้าใกล้มู่หรงซิงหัว ทำได้เพียงเปลี่ยนมานั่งข้างหลังสวีถังหราน

ท่วา เมื่อทางนี้เพิ่งจะออกเดินทาง กลับเห็นทางฝ่ายฝานอวี้เฟยเกิดความเปลี่ยนแปลง เห็นได้ชัดว่าคนที่มองว่าฝานอวี้เฟยเป็นเนื้อติดมันไม่ได้มีแค่พวกโฉวตั้งไห่ มีคนอีกกลุ่มพลันเหาะข้ามท้องฟ้าเข้ามา มุ่งตรงไปทางพวกฝานอวี้เฟยที่กำลังหลบหลีก

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset