พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 900

ทำลายสำนักงามวิจิตรทิ้ง

แสงจันทร์กระจ่างฟ้า ส่องสว่างโลกมนุษย์

หลังจากออกจากเรือนพักของอวิ๋นเป้า ฉินเวยเวยก็ตามหลังเหมียวอี้ออกมา เดินลงบันไดหินตามแนวป่าภูเขาที่เป็นเงามืดลงมา เหยียบแสงจันทร์ที่ส่องบนพื้นพลางมองไปยังแสงไฟริบหรี่ที่อยู่ตามแนวเขารอบๆ มีเพียงตำหนักหลักของสำนักงามวิจิตรที่แสงของโคมไฟสว่างพร่างพราว

เหมียวอี้ที่มองไปโดยรอบถอนหายใจเบาๆ หน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่รู้ว่าตอนนี้เยารั่วเซียนอยู่ที่ไหนกันแน่ เรื่องของเยารั่วเซียนทำให้เขาปวดหัวมาก อยู่ดีๆ ดันก่อเรื่องขึ้นมา ทรมานคนอื่นจริงๆ เลย บุคคลระดับสูงของหกแดนมารวมตัวกันที่นี่ แต่ละคนมีเจตนาชั่วร้าย ความสามารถอันน้อยนิดที่มี เมื่อเผชิญหน้ากับพลังอำนาจที่สมบูรณ์ เขาก็อับจนปัญญาเหมือนกัน ดันไม่รู้อีกว่าสถานการณ์ของตัวละครหลักอย่างเยารั่วเซียนเป็นอย่างไร แก้ปัญหาไม่ได้เลยจริงๆ!

ป่าภูเขามีแต่เงามืด บันไดหินที่ทอดลงตามภูเขาเป็นสีขาวเงินอยู่ภายใต้แสงจันทร์ เหมียวอี้ที่กำลังครุ่นคิดตระหนกทันที หันขวับพลาบถามว่า “ใคร!”

ฉินเวยเวยที่กำลังเดินตามหลังและมองเขาตลอดทางตกใจทันที นางไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น แต่ยังหันหน้ามองออกไป บนบันไดหินแยกเป็นถนนเล็กสายหนึ่งเบี่ยงขึ้นไหล่เขา ตรงจุดที่สูงขึ้นไปเหนือศีรษะสองจั้ง มีศาลาที่ถูกบดบังอยู่ใต้เงาไม้ครึ่งหนึ่ง ในศาลามีเงาร่างสะโอดสะองกำลังยืนอยู่

สตรีนางผู้หนึ่งที่งามสง่าราวกับเดินออกมาจากภาพวาด สวมชุดกระโปรงสีขาวราวกับหิมะ รูปร่างผอมบางแต่ไม่ขาดส่วนเว้าส่วนโค้ง ดวงหน้างดงามราวกับหลุดมาจากความฝัน เกล้ามวยผมสูงอย่างเรียบง่าย ไม่ได้ใส่เครื่องประดับศีรษะใดๆ ดูสูงส่งเลอค่าไปทั้งตัว ความงามไม่ได้ด้อยไปกว่าเทพธิดาหงเฉินกับเทพธิดาเยว่เหยาเลย สวยสะกดใจไม่ธรรมดา

คนที่ยืนอยู่ในศาลาเงยหน้ามองดวงจันทร์ด้วยสีหน้าเย็นชาเรียบเฉย ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน

ฉินเวยเวยไม่รู้จักคนคนนี้ แต่เหมียวอี้กลับตกตะลึงอยู่บ้าง เพราะเขาเคยเห็นมาก่อน นางคือฉินซี ฮูหยินของเฟิงเป่ยเฉิน เขาจึงคำนับอย่างลังเลทันที “คำนับฮูหยิน”

ความคิดในใจเหมียวอี้กลับมีเป็นร้อยเป็นพัน จู่ๆ ผู้หญิงคนนี้ก็โผล่มาที่นี่ หมายความว่าอย่างไร? หรือว่าอยากจะล้างแค้นให้เฟิงเสวียน?

คิดไม่คิดมาก็พบว่าไม่ใช่ ได้ยินว่าผู้หญิงคนนี้คือฮูหยินคนใหม่ของเฟิงเป่ยเฉิน เป็นแม่เลี้ยงของเฟิงเสวียน ได้ยินว่าวรยุทธ์ไม่ได้สูงเท่าไร เหมือนจะอยู่แค่ระดับบงกชม่วงเท่านั้น ถ้าต้องลงมือสู้กันจริงๆ ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว

เพียงแต่ผู้หญิงคนนี้มาปรากฏตัวที่นี่กะทันหัน อย่าบอกนะว่าเฟิงเป่ยเฉินก็อยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน? สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้กวาดมองสำรวจโดยรอบด้วยสายตาตาระแวดระวัง

ฉินเวยเวยไมรู้ว่าเป็นฮูหยินไหน คำนับตามเหมียวอี้เช่นกัน

ฉินซีเก็บสายตากลับมา แล้วมองหน้าฉินเวยเวย จ้องฉินเวยเวยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นสายตาถึงจะไปหยุดอยู่ที่เหมียวอี้ นางพยักหน้าเล็กน้อย “ที่แท้ก็เป็นเจ้า เหมียวอี้ที่ปลอมตัวเป็นเยียนเป่ยหงในงานนิทรรศการของวิเศษครั้งก่อน คือเจ้าใช่มั้ย?”

เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ แล้วตอบว่า “เป็นผู้น้อยเองขอรับ!”

สายตาของฉินซีไปหยุดอยู่บนตัวฉินเวยเวยที่กำลังระมัดระวังตัวมากเกินไปอีกครั้ง แล้วถามว่า “แล้วนางคือใคร?”

“นางคือประมุขตำหนักใต้บังคับบัญชาของผู้น้อย จะว่าไปก็แซ่เดียวกับฮูหยิน ชื่อว่าฉินเวยเวยขอรับ” เหมียวอี้แนะนำตัวให้นาง

“ฉินเวยเวย…” ฉินซีพึมพำ “แซ่เดียวกันจริงๆ ด้วย ไม่รู้ว่ามาจากสำนักเดียวกันรึเปล่า ชื่อแซ่ของพ่อแม่คืออะไร บอกให้ฟังสักหน่อยสิ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะรู้จัก”

ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนไม่มีเจตนาร้ายอะไร ไม่อย่างนั้นคงไม่ถามเรื่องนี้ เหมียวอี้พึมพำในใจ แล้วหันไปมองฉินเวยเวย

ฉินเวยเวยอึ้งไปชั่วขณะ ประวัติของตัวเองไม่ใช่ความลับที่บอกใครไม่ได้ จึงกุมหมัดคารวะตอบทันที “ผู้น้อยเป็นเด็กกำพร้า ถูกคนเก็บมาเลี้ยงจากข้างทางค่ะ บิดาบุญธรรมเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก ผู้น้อยก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าพ่อแม่ตัวเองชื่อแซ่อะไร”

“เด็กกำพร้า?” สองมือที่ประสานอยู่ตรงท้องบีบแน่นขึ้นโดยจิตใต้สำนึก “สงสัยบิดาบุญธรรมของเจ้าจะเป็นคนจิตใจงดงาม ไม่ทราบว่าบิดาบุญธรรมมีนามว่าอะไร?”

ฉินเวยเวยรู้สึกแปลกใจทันที ตอนนี้นางยังไม่รู้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่ อดไม่ได้ที่จะมองไปยังเหมียวอี้ เหมือนกำลังถามว่า ควรจะตอบคำถามต่อไปหรือไม่?

เหมียวอี้ยิ้มพร้อมตอยแทนว่า “ฮูหยิน นางเป็นบุตรสาวบุญธรรมของหยางชิ่ง ผู้การใหญ่หยางลูกน้องของผู้น้อยขอรับ”

“หยางชิ่ง?” ฉินซีทำสีหน้าใคร่ครวญเล็กน้อย แล้วชั่วพริบตาเดียวก็กลับมาสุขุมดังเดิม ถามว่า “แม่นางฉินหน้าตางดงามโดดเด่น ไม่ทราบว่าพบสามีในอุดมคติหรือยัง?”

นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? ทั้งสองค่อนข้างแปลกใจ คำถามของท่านนี้ล้ำเส้นเกินรึเปล่า เหมียวอี้รีบช่วยตอบทันที “ยังไม่มีขอรับ! เหตุใดฮูหยินจึงถามเช่นนี้?”

“ไม่มีอะไร เพียงเห็นหน้าแม่นางฉินแล้วถูกชะตาก็เท่านั้น” ฉินซีตอบ

เห็นหน้าแล้วถูกชะตาก็ถามเรื่องนี้เลยเหรอ? เหมียวอี้มองซ้ายมองขวา แล้วอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ พอบอกแบบนี้ เหมียวอี้ก็สังเกตเห็นจริงๆ ว่าฉินเวยเวยกับเฟิงฮูหยินท่านนี้หน้าตาคล้ายคลึงกันหลายส่วน แต่สวยไม่เท่าเฟิงฮูหยิน ผู้หญิงที่ได้รับเลือกมาเป็นฮูหยินคนใหม่ของเฟิงเป่ยเฉินที่เป็นหนึ่งในหกปราชญ์ได้ ย่อมเป็นหญิงงามเลิศล้ำที่หายากในใต้หล้าอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเฟิงเป่ยเฉินจะสนใจได้อย่างไร

เหมียวอี้พูดกลั้วหัวเราะว่า “ช่างมีวาสนาต่อกันจริงๆ ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าคนนี้ ดูไปดูมาก็หน้าตาคล้ายฮูหยินหลายส่วนจริงๆ”

คำพูดนี้ทำให้ฉินซีตาเป็นเป็นประกายเล็กน้อย จ้องพินิจใบหน้าฉินเวยเวยอย่างละเอียด

แต่เหมียวอี้เปลี่ยนประเด็นสนทนาแล้ว “หากฮูหยินไม่มีอะไรจะกำชับแล้ว ผู้น้อยทั้งสองขอตัวลา!” เห็นว่าถึงอย่างไรก็เป็นฮูหยินของเฟิงเป่ยเฉิน ไม่กล้าพัวพันอยู่กับนางที่นี่นานเกินไป ต่อให้สวยกว่านี้ก็ไม่มีความสนใจจะมองแล้ว

แต่ใครจะไปคิด ฉินซีกล่าวว่า “ข้ากำลังอ้างว้างพอดี ในเมื่อมีวาสนาต่อกัน แม่นางนั่งอยู่คุยกับข้านานๆ ก็ได้”

ล้อเล่นอะไรกัน! มีใครไม่รู้บ้างว่าเหมียวอี้กับตระกูลเฟิงมีความแค้นต่อกัน ทั้งสองแอบระมัดระวังตัวทันที เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ “ขอบพระคุณฮูหยิน ผู้น้อยทั้งสองยังมีธุระต้องจัดการ นิบังอาจหน่วงเหนี่ยวจนเสียงานเสียการ และไม่สะดวกจะรบกวนเวลาชมจันทร์ของฮูหยินด้วย ขอตัวขอรับ!”

สองคนกำลังหันตัวจะเดินจากไป แต่ฉินซีพลันเอ่ยถามว่า “เหมียวอี้ ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่ามีความแค้นกับนภาอู๋เลี่ยง เหตุใดยังพาลูกน้องมาเสี่ยงอันตรายที่นี่?”

สุดแผนที่ ปรากฏมีดสั้นแล้วสินะ[1]? เหมียวอี้มองไปรอบๆ โดยจิตใต้สำนึก ปากก็พูดตอบอย่างขอไปที “ได้รับคำสั่งให้มาขอรับ ผู้น้อยตัดสินใจเองไม่ได้”

ฉินซีจึงบอกว่า “เห็นแก่ที่ถูกชะตากับแม่นางฉินผู้นี้ ข้าขอปากมากสักหน่อย เจ้าฟังไว้เฉยๆ ก็ได้! ในเมื่อได้รับคำสั่งให้มา นั่นก็แปลว่าคำสั่งของเบื้องบนมีเลศนัย ทางที่ดีคืนนี้อย่าเพ่นพ่านไปไหน อย่าออกจากบริเวณนี้โดยไร้สาเหตุ อยู่ตรงนี่หากเกิดเรื่องขึ้นยังพอมีที่พึ่งอยู่บ้าง ถ้าออกจากตรงนี้ไปแล้ว เจ้าก็เหมือนน้ำน้อยที่แพ้ไฟ…ทางที่นี่ให้แม่นางผู้นี้ไปอยู่ในที่ปลอดภัย อย่าพาไปเสี่ยงอันตรายด้วย ข้าบอกได้เพียงเท่านี้ เจ้าต้องจำใส่ใจเอาไว้ อย่าลำพองใจเกินไป!”

เหมียวอี้รู้สึกขำ เขากับนภาอู๋เลี่ยงมีความแค้นต่อกัน ถ้าเชื่อคำของนภาอู๋เลี่ยง ก็แสดงว่าสมองมีปัญหาแล้ว มิหนำซ้ำเขาก็พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้รับคำสั่งมาจากเบื้องบนเลย แต่ตัวเองดึงดันจะมาเอง เบื้องบนจะมีเลศนัยอะไรกันล่ะ

“ความหวังดีของฮูหยิน ผู้น้อยจดจำไว้แล้ว ขอตัวขอรับ!”เหมียวอี้ตอบอย่างขอไปที

ฉินซีขมวดคิ้ว เหมือนมองออกว่าเหมียวอี้ไม่เชื่อตน จึงพูดเสริมว่า “ถ้าข้าจะพาแม่นางฉินไปด้วย เกรงว่าเจ้าคงจะขัดขวางข้าไม่ได้ ไม่เชื่อคืนนี้ก็ลองดู!”

เหมียวอี้ตกใจทันที ไม่รู้ว่าทำไมผู้หญิงคนนี้เกาะแกะกับฉินเวยเวยไม่เลิก ไม่เปลืองคำพูดกับนางแล้ว เขาคว้าแขนฉินเวยเวยเหาะกลับไปอย่างรวดเร็ว ไปยังที่ทีเพิ่งออกมาก่อนหน้านี้ เรือนพักของคนจากนภาจอมมาร

เมื่อเห็นทั้งสองกลับไปยังเรือนพักของฝ่ายนภาจอมมาร ฉินซีก็ถอนหายใจเบาๆ แช้วเงยหน้ามองดวงจันทร์อีกครั้ง พลางพึมพำว่า “หยางชิ่ง…หยางชิ่ง…หยางก่วง…หยางก่วง”

ผ่านไปครู่เดียว เมื่อหายจากอาการใจชอบแล้ว นางก็สะบัดแขนเสื้อสองข้าง หายไปในป่าภูเขาเงียบๆ…

“อาแปด!”

เหมียวอี้ที่กลับถึงที่พักของนภาจอมมารรออยู่ในโถงหลักครู่หนึ่ง พอเห็นอวิ๋นเป้าออกมา ก็กุมหมัดคารวะทันที

อวิ๋นเป้าทีออกมาเพราะมีลูกน้องไปรายงานมองประเมินเขาแวบหนึ่ง แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “เพิ่งจะออกไป ทำไมกลับมากแล้วล่ะ?”

เหมียวอี้ชีฉินเวยเวยที่อยู่ข้างกาย พร้อมบอกว่า “เพิ่งจะลงเขาไปก็บังเอิญเจอฉินซีฮูหยินของเฟิงเป่ยเฉิน ผู้หญิงบ้าคนนี้สมองมีปัญหา แค่เพราะฉินเวยเวยแซ่เดียวกับนาง แล้วก็หน้าตาเหมือนกันนิดหน่อย จะพาตัวนางไปด้วยให้ได้ ข้ากังวลนิดหน่อยว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิด ถึงได้กลับมาอีก อยากจะพานางมาฝากไว้กับอาแปดที่นี่ ขอให้อาแปดปกป้องแทนสักหน่อย”

“ฉินซี!” อวิ๋นเป้าตะลึงงัน “นางมาเหรอ? แย่แล้วล่ะ ถ้าเป็นแบบนี้ แสดงว่าเฟิงเป่ยเฉินจะต้องมาคุมที่นี่แล้วเหมือนกัน ถ้าอยากจะพาตัวท่านจื่อหยางออกไป เกรงว่าจะยากกว่าเดิม”

“เฮ้อ! เหาเยอะไม่ต้องกลัวคันหรอก” เหมียวอี้ชี้ไปยังฉินเวยเวยอีกครั้ง “อาแปด ฝากตัวนางไว้ที่ท่านแล้วกัน ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แม่เสือที่บ้านข้าจะต้องเล่นงานข้าถึงตายแน่นอน!”

“แม่เสือ? เหอะๆ เป็นแม่เสือจริงๆ นั่นแหละ!” อวิ๋นเป้าได้ยินแล้วหัวเราะลั่น รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉินเวยเวยและอวิ๋นจือชิวเช่นกัน ทั้งสองเรียกขานกันว่าพี่สาวน้องสาว จึงตอบตกลงทันที “วางใจได้ ฝากคนไว้ที่นี่ไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก ถ้าฮูหยินฉินซีนั่นกล้ามา ก็ระวังข้าจะจับนางขึ้นเตียงก็แล้วกัน อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง หน้าตาของผู้หญิงคนนั้นหายากในใต้หล้าจริงๆ เสียเปรียบเจ้าจมูกวัวเฟิงเป่ยเฉินแล้ว”

เหมียวอี้ปาดเหงื่อนิดหน่อย เจ้าปากไม่มีหูรูดแบบนี้ ฉินเวยเวยยังจะกล้าอยู่ที่นี่กับเจ้ามั้ย? นางยังเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์อยู่นะ จะทนรับคำพูดแบบนี้ได้อย่างไร

เป็นอย่างที่คาดไว้ ฉินเวยเวยทำสีหน้ากังวลทันที ถ้าตกอยู่ในเงื้อมมือจอมมารนี่จริงๆ เกรงว่าแม้แต่ร้องขอความช่วยเหลือก็ทำไม่ทัน นางรีบกุมหมัดคารวะทันที “นายท่าน มีคุณชายรองแห่งแดนโพ้นสวรรค์คุมอยู่ ไม่จำเป็นต้องคิดมากเกินไป” เห็นได้ชัดว่านางไม่อยากอยู่ที่นี่คนเดียว

อวิ๋นเป้าก็ดูออกแล้วเช่นกัน พูดกลั้วหัวเราะว่า “เหมียวอี้ คืนนี้เจ้าก็พักอยู่ที่นี่เสียเลยล่ะ ถึงอย่างไรเจ้ากับเฟิงเป่ยเฉินก็มีความแค้นต่อกัน อยู่กับแดนโพ้นสวรรค์อาจจะไม่ปล่อยภัย ถ้าอยู่ที่นี่เฟิงเป่ยเฉินไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไรหรอก”

เหมียวอี้คิดไปคิดมา แล้วพยักหน้าบอกว่า “ระวังไว้หน่อยก็ดี! แต่ข้าก็ต้องกลับไปบอกทางนั้นสักหน่อย ในเมื่อเฟิงเป่ยเฉินอาจจะอยู่ที่นี่ ก็ต้องแจ้งให้ทางนั้นเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ เช่นกัน ไม่อย่างนั้นกลับไปคงไม่สะดวกอธิบาย”

อวิ๋นเป้าพยักหน้า เหมียวอี้ลุกขึ้นบอกฉินเวยเวยว่า “ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับ”

“นายท่านระวังตัวด้วยค่ะ” ฉินเวยเวยกล่าว

อวิ๋นเป้าบอกว่า “ไม่ต้องคิดมาก เป็นเพียงเรื่องง่ายๆ ถลันตัวแวบเดียวก็ถึงแล้ว ถ้ามีความเคลื่อนไหวอะไร ทุกคนก็จะโผล่ไปช่วยทันที ถ้าเฟิงเป่ยเฉินต้องการจะลงมือ แต่เขาก็ไม่ทำเรื่องที่ตัวเองไม่มั่นใจหรอก ถ้าทำพังก็เท่ากับตบหน้าตัวเอง ถ้ามีคนมากมายขนาดนี้ลงมือพร้อมกัน สำนักงามวิจิตรก็จะโดนทำลายทันที พวกเราไม่ถือสาที่จะอาศัยข้ออ้างนี้ทำลายสำนักงามวิจิตรทิ้งหรอก!”

“ทำลายสำนักงามวิจิตรทิ้ง…” เหมียวอี้ตะลึงงัน ในดวงตาฉายแววเป็นประกาย ใช่แล้ว! ทำลายสำนักงามวิจิตรทิ้งเสียก็สิ้นเรื่อง ถ้าไม่มีสำนักงามวิจิตรแล้ว เยารั่วเซียนก็ย่อมไม่จำเป็นต้องโผล่หน้ามาประลองของวิเศษอีก…เขาเอามือลูบคางพลางพึมพำ “ทำไมถึงนึกไม่ถึงล่ะ!”

เพี้ยะ! อวิ๋นเป้าตบหลังศีรษะเขาหนึ่งที “คิดอะไรเหลวไหล ถ้าอยู่ดีๆ ไปทำลายสำนักงามวิจิตรทิ้ง เจ้าคิดว่าเฟิงเป่ยเฉินมาคุมที่นี่ใช่เล่นๆ ซะที่ไหน? ปราชญ์อีกห้าคนยังไม่มา พวกเราหลายแดนรวมกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฟิงเป่ยเฉินอยู่ดี ไปจัดการเรื่องของเจ้าเถอะ รีบไปรีบกลับ ไม่อย่างลูกน้องเจ้าจะโดนข้าจับขึ้นเตียงนะ!”

ฉินเวยเวยรับไม่ไหวจริงๆ กับวิธีการพูดจาแบบนี้ ทำให้นางระมัดระวังตัวมากเกินไป

เหมียวอี้จับหลังศีรษะตัวเอง นับว่าเข้าใจแล้วว่าอวิ๋นเฟยหยางได้รับการปฏิบัติที่นภาจอมมารอย่างไร ถึงอย่างไรก็มักจะเห็นอวิ๋นเฟยหยางโดนผู้หลักผู้ใหญ่ตบจนตัวโงนเงนอยู่บ่อยๆ

เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ รีบออกจากประตู แล้วเหาะขึ้นฟ้าไปทันที

เป็นอย่างที่อวิ๋นเป้าบอก ไม่ต้องเดินหรอก แค่ถลันตัวทีเดียวก็ถึงแล้ว ที่พักของแดนเซียนอยู่บนภูเขาเยื้องตรงข้ามกันนี่เอง

เมื่อกลับถึงเรือนพักของคนสายมะโรง ปรากฏว่าพวกเยว่เทียนโปไม่อยู่เลยสักคน รู้สึกถึงความผิดปกติทันที…

…………………………

[1] สุดแผนที่ ปรากฏมีดสั้น 图穷匕见 หมายถึงเจตนาที่แท้จริงเปิดเผยออกมาในตอนสุดท้าย

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset