พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1110 ห้าปราชญ์รวมตัวกัน

บทที่ 1110 ห้าปราชญ์รวมตัวกัน

ถึงแม้จะพูดจาน่าฟัง แต่มู่ฝานจวินก็ไม่ใช่คนโง่ จากบนตัวเหมียวอี้นางมองไม่ออกเลยว่าเขาเห็นนางอยู่ในสายตา

“เกราะรบบนตัวเจ้าแปลกตาดีนะ เอามาให้ข้าดูหน่อยสิ” มู่ฝานจวินยื่นมือขอตรงๆ

เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องรีบ! รอให้พวกอวิ๋นอ้าวเทียนมาก่อน ทุกคนจะได้ค่อยๆ ดูพร้อมกันขอรับ”

มู่ฝานจวินส่งสายตาที่คมกริบราวกับคมมีดทันที “เจ้ากล้าไม่ฟังข้าเหรอ?”

เหมียวอี้ตอบอย่างใจเย็นว่า “มิบังอาจ! เพียงแค่ตอนนี้ไม่สะดวกจะให้ พวกเราต้องสวมเอาไว้ขู่คนสักหน่อยขอรับ!”

ย่อมไม่ต้องบอกแล้วว่าขู่ใคร! มู่ฝานจวินเดือดดาลในใจ เกิดอารมณ์วู่วามอยากจะลงมือ ในโลกนี้มีคนกล้าพูดกับนางแบบนี้เพียงไม่กี่คน โดยเฉพาะเหมียวอี้ที่ก่อนหน้านี้ยังพูดจาเคารพนอบน้อมต่อหน้านาง ยากที่จะดับไฟโกรธที่เดือดอยู่ในอก

แต่พอเห็นสีหน้าที่สงบนิ่งของเหมียวอี้ ทั้งยังประมุขถิ่นทั้งสี่ที่ทำท่าจ้องมองอย่างดุร้าย แล้วนึกเชื่อมโยงไปยังร่างของเฟิงเป่ยเฉินที่ยังแขวนอยู่บนเสาธง นางยังไม่รู้ชัดว่าศักยภาพของเหมียวอี้เป็นอย่างไรกันแน่ สุดท้ายก็ยังไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร

เหมียวอี้เบี่ยงตัวแล้วยื่นมือเชิญ “เชิญข้างในขอรับ!”

ทำท่าทางเหมือนนภาอู๋เลี่ยงเป้นบ้านของเขาไปแล้ว มู่ฝานจวินมองซ้ายมองขวาดูสถานการณ์ของที่นี่แวบหนึ่ง นางไม่ได้กลัวว่าข้างหน้าจะมีการดักซุ่มโจมตี นางเดินก้าวยาวเข้าไป  ถูกเชิญให้ไปนั่งลงในสวนดอกไม้

เพิ่งนั่งได้ประเดี๋ยวเดียว ปราชญ์พุทธะฉางเหลยก็มาถึงแล้ว เช่นเดียวกับมู่ฝานจวิน หยุดลอยอยู่บนฟ้าเช่นกัน ขณะจ้องมองร่างที่ตายตาไม่หลับของเฟิงเป่ยเฉิน ก็ดึงนับสร้อยลูกประคำในมือที่ละเม็ด

เหมียวอี้เดินออกมาจากศาลา แล้วกุมหมัดทักทาย “ปราชญ์พุทธะให้เกียรติมาเยือน ถือเป็นเกียรติของบ้านนี้ ขออภัยที่ไม่ได้ไปรับใกล้ๆ!”

บ้านนี้? ฉางเหลยเหลือบตาลงมอง แอบด่าในใจว่าเจ้าเด็กนี่กำเริบเสิบสานนัก ไม่เกรงใจเลยสักนิด เห็นนภาอู๋เลี่ยงเป็นบ้านตัวเองไปแล้วจริงๆ

“เชอะ!” มู่ฝานจวินที่นั่งสง่าอยู่ในศาลาพ่นเสียงทางจมูก

สงเวยและคนอื่นๆ ที่อยู่ในศาลาแอบส่งสายตาให้กัน วันนี้เจ้าห้าไม่ได้กำเริบเสิบสานธรรมดา!

“อามิตาพุทธ!” ฉางเหลยประนมมือพลางกล่าวต่อศพของเฟิงเป่ยเฉิน แล้วถลันตัวไปตรงหน้าเหมียวอี้ หรี่ตายิ้มเหมือนมีเมตตากรุณา แต่ในดวงตากลับฉายแววดุร้าย

เขายังไม่ทันพูดอะไร มู่ฝานจวินที่อยู่ในศาลาก็กล่าวแล้วว่า “ไม่ต้องถามแล้ว เขาเป็นคนฆ่าเฟิงเป่ยเฉิน! พระเถระ ท่านเองก็ไม่ต้องมาแสร้งทำตัวมีเมตตาตรงนี้แล้ว ถ้ามองเขาแล้วไม่ถูกชะตา  ก็ลงมือได้เลย ข้ารับรองว่าจะไม่เข้าไปแทรกแซง!”

นางอยากจะให้ฉางเหลยทดสอบฝีมือของเหมียวอี้ใจจะขาด

เหมียวอี้ยิ้มบางๆ ทำท่ายื่นมือเชิญไปทางในศาลา “เชิญขอรับ!”

ฉางเหลยประนมมือขอบคุณ คนที่ออกบวชมีความสุภาพเกรงใจเต็มเปี่ยม ไม่ฟังคำพูดเสี้ยมเขาควายของมู่ฝานจวินเพื่อให้อีกฝ่ายได้ผลประโยชน์ เขามานั่งลงในศาลาแล้ว

เหมียวอี้ให้พวกเขาดื่มน้ำชา แต่เห็นได้ชัดว่ามู่ฝานจวินและฉางเหลยกลัวว่าเขาจะเล่นไม่ซื่อ ไม่มีใครแตะต้องถ้วยน้ำชาที่วางอยู่ตรงหน้า

“ค่อยๆ ดื่ม!” เหมียวอี้เอ่ยบอก แล้วขออภัยที่นั่งเป็นเพื่อนไม่ได้ พอออกจากศาลามาแล้ว ก็พูดกับพวกสงเวยที่ยืนอยู่รอบๆ ศาลาว่า “รอให้แขกมากันครบแล้ว รบกวนแจ้งข้าสักหน่อยนะ”

ทั้งสี่ที่สวมเกราะรบพยักหน้าเบาๆ เกราะรบ เหมียวอี้เอเมือไขว้หลังเดินจากไปอย่างไม่รีบร้อน ไม่ต้องมองเขาก็รู้ว่าสายตาของฉางเหลยกับมู่ฝานจวินกำลังจ้องอยู่บนตัวเขา

หลังจากกลับมาถึงห้องหนังสือ เหมียวอี้ก็นั่งลงหน้าโต๊ะที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ถือพู่กันคัดตัวอักษรต่อไป

ผ่านไปอีกสองชั่วยาม ปราชญ์ผีซือถูเซี่ยวก็มาถึงแล้วเช่นกัน เหมือนกับสองคนแรก เขาจ้องมองศพของเฟิงเป่ยเฉินอยู่พักใหญ่

“ผีเฒ่า เจ้าบ้านเชิญเจ้าดื่มน้ำชาน่ะ” จนกระทั่งเสียงของมู่ฝานจวินดังมา ซือถูเซี่ยวถึงได้ถลันตัวมาเหยียบลงนอกศาลา พอเห็นสองคนที่อยู่ในศาลาแล้วถึงได้เดินเข้าไป

ขณะที่แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องทั่วท้องฟ้า ตรงขอบฟ้าก็มีเมฆดำสายหนึ่งวาดผ่านฟ้าเข้ามา เมฆมารไหลกลิ้งขึ้นมาบนฟ้า ลอยลงช้าๆ เข้าใกล้ตรงหน้าเสาธงต้นนั้นเช่นเดียวกัน

อวิ๋นอ้าวเทียนที่ยืนอยู่ท่ามกลางเมฆมารจ้องศพของเฟิงเป่ยเฉินด้วยสายตาเย็นเยียบ ในบรรดาห้าปราชญ์ที่มา เหมือนทุกคนก็จะจ้องศพของเฟิงเป่ยเฉินนานมาก

ส่วนข้างกายอวิ๋นอ้าวเทียน ยังมีอีกคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางเมฆมารที่พัดม้วน ไม่ใช่ใครที่ไหน อวิ๋นจือชิวนั่นเอง

อวิ๋นจือชิวเลี้ยวกลับมาจากทางที่จะไปแดนมาร ต้องการจะมาดูสถานการณ์ที่นภาอู๋เลี่ยง แต่ใครจะคิดว่าจะบังเอิญเจอกับอวิ๋นอ้าวเทียนที่ออกเดินทางทีหลังแต่มาถึงก่อน จึงถูกพาตัวมาด้วยกัน

เมื่อได้เห็นร่างที่ดับอนาถของเฟิงเป่ยเฉินแขวนอยู่ที่นี่ อวิ๋นจือชิวก็รู้สึกว่าเหมียวอี้ทำเรื่องนี้อย่างประมาทเลินเล่อเกินไปแล้ว นี่เป็นการอวดบารมีต่อหน้าห้าปราชญ์อย่างโจ่งแจ้งชัดๆ ราวกับกำลังบอกอีกห้าปราชญ์ว่า เฟิงเป่ยเฉินโดนข้าสังหารตายแล้ว ไม่มีการปิดบังเลยสักนิด

อวิ๋นจือชิวมองอวิ๋นอ้าวเทียนเงียบๆ แวบหนึ่ง กังวลว่าการกระทำของเหมียวอี้จะยั่วให้ท่านปู่ของตัวเองโมโห

“มารเฒ่า หลานเขยตัวดีของท่านเชิญท่านมาดื่มน้ำชาน่ะ” เสียงที่เย็นเยียบพิศวงของซือถูเซี่ยวดังมา

อวิ๋นอ้าวเทียนก้มมองไปทางศาลาต้นเสียง เมฆมารพัดม้วนที่อยู่ใต้เท้าพลันมีบางอย่างสีดำแวบผ่านราวกับสายฟ้า ปราณมารกลายเป็นดาบด้ามหนึ่ง แกร๊ก ตัดทั้งเชือกทั้งเสาธงลงมาด้วยกันอย่างรวดเร็วปานฟ้าแลบ

เมื่อเสาธงที่ขาดครึ่งตกลงกระแทกพื้น ร่างที่ห้อยของเฟิงเป่ยเฉินก็ลอยลงบนเมฆมารอบ่างช้าๆ

เมฆมารพัดม้วนลงมาที่พื้น ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่ได้แค่เพียงจ้องศพของเฟิงเป่ยเฉิน อวิ๋นอ้าวเทียนยังปลดศพลงมาด้วย

พอลงมาข้างล่าง เมฆมารที่พัดม้วนก็เข้าไปในร่างกายของอวิ๋นอ้าวเทียน ทั้งสองเหยียบลงพื้น ร่างของเฟิงเป่ยเฉินก็นอนสงบอยู่บนพื้นแล้ว

“ให้ผู้ชายของเจ้าโผล่หัวออกมาพบข้า!” ขณะที่อวิ๋นอ้าวเทียนเดินเท้าเปล่าเข้าไปในศาลา ก็ทิ้งคำพูดไว้ให้อวิ๋นจือชิวด้วย

อวิ๋นจือชิวรีบถามพวกสงเวยที่เฝ้าอยู่รอบๆ “คนล่ะ?”

“เจ้าห้าอยู่ในห้องหนังสือ” สงเวยตอบ

เมื่อเห็นอีกสี่ปราชญ์มาถึงแล้ว อวิ๋นจือชิวก็รู้สึกกระวนกระวายใจ นางคุ้นเคยกับที่นี่ ไม่นานก็มาถึงห้องหนังสือแล้ว

พอเดินเข้าประตูมาก็ได้กลิ่นคาวเลือดทันที เห็นเพียงเหมียวอี้ที่สวมเกราะรบกำลังเขียนหนังสืออยู่บนโต๊ะที่มีรอยเลือด อวิ๋นจือชิวอึ้งนิดหน่อย เหมียวอี้ในเวลานี้ทำให้นางเกิดความรู้สึกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นางสังเกตภาพเหตุการณ์ในห้องอีกครั้ง ห้องหนังสือคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด โต๊ะหนังสือเปื้อนรอยเลือด เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบกำลังนั่งคัดตัวอักษรอย่างใจจดใจจ่ออยู่ตรงนั้น ให้ความรู้สึกกดดันบางอย่างที่หนักหน่วงถึงขีดสุด บอกไม่ถูกว่ารสชาติเป็นอย่างไร

ส่วนเหมียวอี้ก็เงยหน้ามองนางแวบหนึ่ง ถามอย่างประหลาดใจมากว่า “ฮูหยิน? ทำไมมาถึงเร็วขนาดนี้?”

“ระหว่างทางบังเอิญเจอท่านปู่ ข้าเองก็หลบไม่พ้น เลยถูกพาตัวมาด้วย เจ้ากำลังเขียนอะไรอยู่?” อวิ๋นจือชิวเดินมาข้างกายเขาแล้วก้มมอง พร้อมอ่านพึมพำว่า “ฝูงห่านริมแม่น้ำ ห่านลาย ห่านขาวใหญ่ หนึ่งสองสามสี่ห้า…”

อ่านต่อไปไม่ไหวแล้ว ภายใต้บรรยากาศแบบนี้ ยังนึกว่าเขียนอะไรที่สำคัญ ที่แท้ก็เขียนเพลงเด็กของโลกมนุษย์

เหมียวอี้ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเขียนเป็นอย่างไรบ้าง มีความคืบหน้ารึเปล่า?”

อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน แล้วชักพู่กันออกจากมือเขาโยนทิ้งเสียเลย “ข้าว่านะท่านขุนนางเหมียว นี่มันเวลาไหนแล้ว? ไฟไหม้ถึงขนคิ้วแล้ว ยังมีอารมณ์มาคัดอักษรที่นี่อีกเหรอ?”

“เจ้าคอยเร่งรัดให้ข้าคัดอักษรบ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ? ข้าเชื่อฟังเจ้า พอมีเวลาก็ไม่อยากเกียจคร้าน” เหมียวอี้พูดหยอกล้ออยู่อย่างนั้น พอเขากระดกนิ้ว พู่กันที่โยนทิ้งไปก็กลับเข้ามาในมือเขาอีกครั้ง แล้วก็จุ่มลงในน้ำหมึก

อวิ๋นจือชิวยื่นมือไปกดข้อมือเขา “หนิวเอ้อร์ ท่านปู่ให้เจ้าไปพบเขา”

“เขาบอกให้ข้าไปหา ข้าก็ต้องไปหาเหรอ? เจ้าดูไม่ออกเหรอว่าเจ้ากำลังวางมาด?” เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ แล้วแกะมือนางออก “รออีกหน่อยเถอะ! ให้คนมาครบแล้วออกไปก็ยังไม่สาย”

อวิ๋นจือชิวประสาทเสียนิดหน่อย จับมือเขาอีกครั้ง “หนิวเอ้อร์ เจ้าคิดจะเล่นบ้าอะไรกันแน่?”

ส่วนด้านนอก ปราชญ์ปีศาจจีฮวนมาถึงแล้ว หลังจากเหยียบลงพื้นก็จ้องร่างเฟิงเป่ยเฉิน แล้วหันกลับมามองบรรดาคนคุ้นเคยในศาลา ถามว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

ที่จริงอวิ๋นอ้าวเทียนอยู่ห่างจากที่นี่ที่สุด พาอวิ๋นจือชิวมาด้วยแต่กลับนำหน้าจีฮวนมาแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในนั้น

พอจีฮวนมาถึง หลิงเทียนก็วิ่งมารายงานที่ห้องหนังสือทันที “คุณชายห้า นมาครบแล้วขอรับ”

เมื่อเห็นว่ามีคนนอก อวิ๋นจือชิวก็รีบปล่อยมือที่จับเหมียวอี้ออกแล้ว

“เล่นอะไรลาะ?” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะกับอวิ๋นจือชิว “ไม่เล่นอะไรหรอก ข้าไม่เล่นอะไรกับพวกเขาหรอก!” เขาโยนปากกาในมือทิ้ง แล้วเดินออกไปเลย!

อวิ๋นจือชิวที่เดินตามก้นเหมียวอี้ออกไปยังคงครุ่นคิดว่าที่เขาพูดหมายความว่าอย่างไร ส่วนเหมียวอี้ที่เดินมาถึงนอกศาลาก็กุมหมัดคารวะมาแต่ไกลๆ บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว เหมียวมีธุระจึงล่าช้า ขออภัยที่ต้อนรับไม่ดี!”

ห้าปราชญ์แต่ละคนจ้องเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ เหมียวอี้เพิ่งจะเข้ามาในศาลา อวิ๋นอ้าวเทียนที่นั่งเงียบอยู่ในนั้นก็กล่าวอย่างเนิบนาบแล้วว่า “ฝังศพขอเฟิงเป่ยเฉินก่อน”

มู่ฝานจวินและอีกสามคนอึ้งอีกครั้ง หันไปมองเขาพร้อมกัน

เหมียวอี้ก็อึ้งเช่นกัน จากนั้นก็หันไปกำชับคนที่อยู่ข้างนอกว่า “ส่งให้ฉินซี ให้นางไปฝังแล้วกัน”

อวิ๋นอ้าวเทียนเอียงหน้าถาม “ฉินซียังไม่ตายเหรอ?”

“ข้าจะไปคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับนาง นางยอมจำนนต่อข้าแล้ว” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม

“ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาสวยเกินไปแล้ว เจ้าคงไม่ได้ชอบนางหรอกใช่มั้ย?” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวอย่างเย็นเยียบ “ถ้าเฟิงเป่ยเฉินยังไม่ตาย เจ้าแย่งเมียของเขาไปแล้ว อยากจะเล่นอยากจะนอนอย่างไรก็ได้ เฟิงเป่ยเฉินนั่งอยู่บนตำแหน่งนี้ ถ้าหากแย่งกลับมาไม่ได้ นั่นก็แสดงว่าเฟิงเป่ยเฉินไร้ความสามารถ โทษใครไม่ได้ ตอนนี้เจ้านำศพเฟิงเป่ยเฉินแขวนประจานไว้บนเสาธง ถ้ายังคิดไม่ดีกับเมียเขาอีก มันก็จะเกินไปหน่อยหรือเปล่า ตอนนี้ข้าจะพูดเอาไว้ตรงนี้เลย ว่าถ้าใครกล้าทำซี้ซั้วกับเมียหม้ายของเฟิงเป่ยเฉิน ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”

มู่ฝานจวินและอีกสามคนเงียบงัน

เหมียวอี้ค่อนข้างพูดไม่ออก อยากจะถามอวิ๋นอ้าวเทียนมากว่า ลูกหลานของเฟิงเป่ยเฉินที่ตายด้วยน้ำมือท่านเหมือนจะไม่ได้มีแค่คนเดียวหรอกมั้ง? ทำไมทำเหมือนเขาเป็นผู้มีพระคุณล่ะ?

เขาคิดไม่ตกแล้ว ปราชญ์พวกนี้กำลังคิดอะไรอยู่? คิดอะไรที่มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง? ทำไมทุกคนต่างก็คิดว่าข้าจะทำกับฉินซีอย่างนั้น? ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลถึงชื่อเสียงของฉินซีกับฉินเวยเวย เขาก็อยากจะตะโกนจริงๆ เลยว่า นั่นคือแม่ยายของข้า ตกลงมั้ย?

มีเพียงอวิ๋นจือชิวที่รู้สถานการณ์เบื้องลึกเท่านั้นที่เข้าใจ รีบช่วยแก้ต่างทันทีว่า “ท่านปู่ ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดนะคะ เหมียวอี้กับฉินซีที่จริงมีความสัมพันธ์อีกอย่างต่อกัน เรื่องนี้ข้ารู้ดีค่ะ”

อวิ๋นอ้าวเทียนไม่ได้พูดอะไรอีก เหล่ตาจ้องศพของเฟิงเป่ยเฉินที่ถูกยกออกไป

ปราชญ์ผีซือถูเซี่ยวที่นั่งอยู่ในนั้น อยู่ก็ถอนหายใจด้วยเสียงเย็นพิศวง “น่าเสียดายที่ข้ามาช้าไป ถ้าข้ามาทันเวลา ถ้าร่างของเฟิงเป่ยเฉินไม่ได้ตากแดดนานขนาดนั้น ข้ายังพอเรียกรวมจิตวิญญาณได้ ทำให้เขากลายเป็นนักพรตผี เพียงแต่ถ้าฝืนกักขังให้เขากลายเป็นนักพรตผี เขาก็จะสูญเสียความทรงจำ” พูดจบก็ส่ายหน้า

นี่แต่ละคนกำลังหมายความว่าอย่างไร? เหมียวอี้เหลียวซ้ายแลขวา มองดูห้าปราชญ์แต่ละคนที่เหมือนกำลังจมอยู่ในอารมณ์รำลึกถึงเฟิงเป่ยเฉิน เขาแทบจะหัวเราะลั่นออกมา ยามปกติคนที่อยากเล่นงานเฟิงเป่ยเฉินให้ถึงตายคือใครกัน? ตอนนี้กลับทำเหมือนข้าคนเดียวที่เป็นคนเลวร้าย แล้วพวกเจ้าทุกคนเป็นคนดีมาก ล้อเล่นอะไรกันอยู่?

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset