พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1113 ห้าปราชญ์ที่เชื่อฟัง

บทที่ 1113 ห้าปราชญ์ที่เชื่อฟัง

ข้านับว่าแก่กว่ากี่ปีงั้นเหรอ? ซือถูเซี่ยวอยากจะถามเขาเหมือนกันว่าเขาแก่กว่ากี่ปี และยิ่งอยากจะใช้ฝ่ามือฟันเขาให้ตายด้วย แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาแข่งขันเอาชนะกัน คนที่อยู่ในตำแหน่งระดับนี้ไม่มีทางเลิกสนใจผลประโยชน์มหาศาลเพราะคำพูดที่ใส่อารมณ์ประโยคเดียว ถ้ามีผลประโยชน์ข้าก็จะหลีกทางให้ก่อน ถ้าไม่มีผลประโยชน์แล้ว สักวันหนึ่งข้าก็จะคิดบัญชีกับเจ้าทั้งต้นทั้งดอก

ซือถูเซี่ยวกำลังใส่หน้ากาก ไม่มีใครมองออกว่าสีหน้าของเขาในตอนนี้เป็นอย่างไร ได้ยินเพียงเขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบต่อไปว่า “ไม่ทราบว่าทำไมเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางจึงโอ้อวดที่ภพใหญ่ไม่ได้?”

เหมียวอี้ขี้คร้านจะสนใจเขา แสดงออกชัดเจนว่าไม่สนใจของของเขา เอียงหน้าพูดกับพวกฉางเหลยว่า “เคล็ดวิชาของพวกเจ้า ข้าก็ไม่สนใจเหมือนกัน ไม่สู้ไปทำงานเป็นลูกน้องของขาที่พิภพใหญ่ก็พอแล้ว”

ที่แท้ก็มีเจตนาแบบนี้นี่เอง! พวกเขาสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย ล้อเล่นอะไรกัน จะให้พวกเราไปเป็นลูกน้องเจ้างั้นเหรอ?

“จะให้เป็นลูกน้องเจ้าก็เป็นไปไม่ได้หรอก ปีศาจเฒ่าได้เงื่อนไขอย่างไรข้าก็จะเอาเงื่อนไขอย่างนั้น ถึงอย่างไรลูกสาวสองคนของอันหรูอวี้ก็แต่งงานกับเจ้าแล้ว อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่แยแสความเป็นความตายของสองสามีภรรยา?” มู่ฝานจวินถามเสียงต่ำ

นี่เป็นการเอาชีวิตของอันหรูอวี้และสามีมาขู่ตรงๆ อย่างน้อยก็ทำแบบนี้ต่อหน้าคนนอก แต่อวิ๋นจือชิวเองก็รู้ ว่าที่จริงแล้วเป็นการแอบบอกใบ้เหมียวอี้ว่าน้องสาวของเจ้ายังอยู่ในมือข้า

เหมียวอี้รู้อยู่แล้วว่านางจะมาไม้นี้ เขาสีหน้าดำมืดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแสยะยิ้มบอกว่า “ข้าเห็นแก่หน้าหรูฮูหยินทั้งสองคน ครั้งนี้จะนับว่ายอมให้! แต่ข้าจะพูดถึงสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้ก่อนนะ ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าขู่ข้าต่อไปโดยไม่มีขีดจำกัดหรอก ถ้าไปถึงพิภพใหญ่แล้วยังกล้าขู่แบบนี้อีก ก็อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าแล้วกัน!”

“ตกลงตามนี้!” มู่ฝานจวินกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย

จีฮวน ฉางเหลยและซือถูเซี่ยวสบตากันแวบหนึ่ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขาสามคนกำลังถามกันอยู่ พวกเราจะเอาอย่างไรดี?

“ปีศาจเฒ่า!” จีฮวนเอามือลูบเครา พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ไม่ว่าคำพูดของเจ้าเด็กนี่จะจริงหรือโกหก ต่อให้เป็นเรื่องจริง เมื่อครู่เจ้าก็ได้ยินสิ่งที่เขาพูดแล้ว ทางพิภพใหญ่ไม่มีอะไรให้เราแข่งขันกัน ถ้าอยากจะตั้งตัวได้ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว จะดีจะร้ายพวกเราก็เป็นสหายเก่าจากที่เดียวกัน ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถช่วยเหลือร่วมมือกัน การทำงานคนเดียว…”

“อย่ามาพูดเหลวไหล!” เหมียวอี้พูดขัดเสียเลย สีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์ เหมือนยังไม่ได้เดินออกจากการบีบคั้นของมู่ฝานจวิน พูดด้วยน้ำเสียงเจือไฟโกรธว่า “ตอบตกลงกันให้หมดแล้วกัน! ส่งคนที่พวกเจ้าเชื่อถือได้มาเดี๋ยวนี้ เดี่ยวข้าจะพาพวกเขาไปดูที่พิภพใหญ่ ถึงตอนนั้นถ้าพวกเจ้าอยากจะไปก็ไป ถ้าไม่อยากไปก็อยู่อย่างซื่อสัตย์หน่อย ถ้ากล้ามาหาเรื่องข้าอีก ก็รับผลที่ตามมาเอาเอง!”

เรื่องราวถูกกำหนดไว้แบบนี้ชั่วคราม ส่วนคำพูดของเหมียวอี้จะน่าฟังหรือไม่น่าฟัง ห้าปราชญ์ก็ขี้คร้านจะสนใจเหมือนกัน จะมีอารมณ์จากไหนมาสนใจเรื่องแบบนี้ ทั้งใจเต็มไปด้วยเรื่องเดินทางไปพิภพใหญ่ แต่ละคนบทจะไปก็ไปเลย อดใจรอไม่ไหวที่จะกลับไปจัดเตรียม จากไปอย่างรวดเร็ว

เหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนอยู่ในลานบ้าน หลังจากมองคล้อยหลังห้าปราชญ์จากไปแล้ว เขาก็เงียบไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็หันกลับมาบอกว่า “พี่ใหญ่ ท่านกับอวิ๋นจือชิวปรึกษาเรื่องรับงานต่อจากแดนอู๋เลี่ยงกันสักหน่อยเถอะ อาจจะต้องขอกำลังคนจากทะเลดาวนักษัตรมาส่วนหนึ่ง ถือโอกาสส่งกำลังคนส่วนหนึ่งให้เวยเวยด้วย เก็บกวาดที่นี่สักหน่อย เราจะพักที่นี่กันชั่วคราว”

ในเมื่อเขามีความคิดแบบนี้แล้ว พวกสงเวยก็ไม่มีอะไรจะพูดเหมือนกัน ที่จริงในใจทุกคนล้วนเข้าใจ ว่าถึงแม้เจ้าห้าจะอยู่ในลำดับสุดท้ายของพี่น้อง แต่ทุกคนก็ให้เจ้าห้าเป็นจุดศูนย์กลางแล้ว อนาคตและผลประโยชน์ล้วนผูกติดอยู่กับตัวของเจ้าห้า

เหมียวอี้สั่งเสร็จก็ถอดเกราะรบออก เอามือไขว้หลังเดินเล่นไปทั่วทุกที่ เขามาที่นภาอู๋เลี่ยงเป็นครั้งแรก ยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่

ส่วนการเตรียมการธุระเบ็ดเตล็ดของเบื้องล่าง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ขี้เกียจจะเปลืองความคิดอยู่แล้ว อวิ๋นจือชิวจะช่วยเขาจัดเตรียมได้อย่างเหมาะสม

ส่วนอวิ๋นจือชิวกับพวกสงเวยก็ปรึกษาเรื่องนี้กันเรียบร้อยแล้ว หลังจากติดต่อกับพวกหยางชิ่งอีกครั้ง ก็กลับมาหาเหมียวอี้ที่บนภูเขานอกตำหนักอู๋เลี่ยง “หนิวเอ้อร์ เจ้าต้องการพาท่านปู่กับพวกเขาไปที่พิภพใหญ่จริงๆ หรือว่ามีแผนการอื่น?”

“ข้ารำคาญเรื่องของพิภพใหญ่กับพิภพเล็กมามากพอแล้ว” เหมียวอี้ที่กำลังชมทิวทัศน์โดยรอบหันกลับมามองนาง ยื่นมือคว้านางมาไว้ในอ้อมกอด จูบที่หน้าผากขาวเกลี้ยงเกลาของนางเบาๆ มองดวงตางามทั้งคู่ของนางพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พาพวกเขาไปส่งที่พิภพใหญ่ด้วยกันเสียเลย ต่อไปพวกเราก็จะควบคุมพิภพเล็กได้แล้ว ทำให้พิภพเล็กสงบลงในครั้งเดียว เรียบง่ายจะตาย จะอ้อมไปอ้อมมาให้ยุ่งยากทำไม”

อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน ร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขามาหลายปี จะไม่เข้าใจเขาได้อย่างไร แต่ไหนแต่ไรมาเขาใช้วิธีการที่เรียบง่ายฉาบฉวยแต่ได้ผลลัพธ์สูงมาโดยตลอด เวลาเจอปัญหาอะไรก็ชอบใช้วิธีรัวดาบฟันเชือก[1] หลังจากจบเรื่องก็โยนดาบทิ้ง เดี๋ยวกลับไปก็โยนงานให้ลูกน้องทำแล้ว โยนงานเบ็ดเตล็ดพวกนั้นให้คนอื่นจัดการหมด

ยกตัวอย่างเช่นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า การจัดการอาณาเขตและกำลังพลของสายมะโรง การจัดการอาณาเขตและกำลังพลของทะเลดาวนักษัตร แล้วก็การจัดการอาณาเขตและกำลังพลของแดนอู๋เลี่ยงด้วย นั่นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนและเปลืองความคิด ปรากฏว่าท่านขุนนางเหมียวแค่กำหนดประเด็นขึ้นมา ส่วนอย่างอื่นก็ไม่สนใจแล้ว

หลังจากจบเรื่องก็รอฟังแค่ผลลัพธ์ ถ้าผลลัพธ์ทำให้เขาไม่พอใจ ก็จะส่งกลับไปให้เจ้าทำใหม่ ทำจนกว่าเขาจะพอใจถึงจะหยุด

ถ้าจะให้หยิบยกคำพูดของเขามา ก็จะได้ความว่า ข้าจ่ายเงินมากมายเพื่อเลี้ยงคนมากขนาดนั้นแล้ว จะปล่อยให้อู้งานอยู่ว่างๆ ไม่ได้หรอก ถ้าจะให้ข้าทำเองทุกอย่าง แล้วข้าจะเลี้ยงพวกเขาไว้ทำไมล่ะ?

“เจ้าไม่กลัวเหรอว่าถ้าพวกท่านปู่ไปที่พิภพใหญ่แล้วจะเปิดเผยความลับของพิภพเล็ก? เจ้าไม่ต้องการทางหนีทีไล่นี้แล้วเหรอ?” อวิ๋นจือชิวมีสิง่ที่กังวลใจ สามารถของนางไปมีเรื่องกับคนที่พิภพใหญ่มาไม่น้อยเลย ตอนนี้ไม่มีคนมาหาเรื่องเพราะยังหาโอกาสเหมาะไม่ได้ แต่ไม่ได้แปลว่าตอนหลังจะไม่มีคนมาหาเรื่อง

“สิ่งที่ทำให้ข้ากังวลที่สุดก็คือเรื่องนี้ ไม่สู้ให้พวกเขากังวลเรื่องนี้บ้างดีกว่า เดี๋ยวกลับไปข้าจะเตรียมการเอง เอ่อคือ ฮูหยิน ทิวทัศน์ตรงนี้ไม่เลวเลย พวกเรามา…” น้ำเสียงของเหมียวอี้เจือความอ่อนโยนเล็กน้อย มือลูบไล้จากแผ่นหลังของอวิ๋นจือชิวไปถึงบั้นท้ายของนางแล้ว…

“นี่! ล่องเรือเที่ยวกับเวยเวยมาตลอดทางยังกินไม่อิ่มอีกเหรอ?” นางยังรับไม่ได้กับการทำอะไรในที่โจ่งแจ้งแบบนี้ จึงตีมือเขาออก แล้วบอกว่า “พูดธุระสำคัญเถอะ ข้าเตรียมจะมอบเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินให้ท่านปู่ข้า จะมาฟังความเห็นของเจ้าสักหน่อย ถ้าเจ้าไม่เต็มใจ งั้นก็ช่างเถอะ”

เหมียวอี้ตอบอย่างเยือกเย็นมากว่า “ความเห็นของข้าก็คือ รอให้เจ้าได้เคล็ดวิชาภาคคนมาไว้ในมือก่อน ไม่อย่างนั้นคนที่เสียเปรียบก็จะเป็นเจ้าเอง ส่วนเรื่องอื่นเจ้าก็จัดการเองได้เลย เจ้าอยากจะดูแลครอบครัวตัวเองก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ข้าไม่เข้าไปก้าวก่าย”

ฟันขาวขูดริมฝีปากจนแดงไปหมดแล้ว อวิ๋นจือชิวใช้สองมือคล้องคอเขา มองเขาด้วยแววตาออเซาะเล็กน้อย ผู้ชายคนนี้ไม่เคยว่าอะไรนางเลย ในใจนางรู้สึกหวานชื่น ตอนนี้ไม่ว่าอะไรก็ยอมเชื่อฟังเขาทุกอย่าง กระซิบข้างหูเขาว่า “ในหุบเขาด้านหลังมีบ่อน้ำพุร้อน ค่อนข้างลับตาคน”

เมื่อเห็นท่าทางเขินอายหยาดเยิ้มของนาง เหมียวอี้ก็รู้สึกเร่าร้อนในใจ เขามองไปรอบ แล้วกวักมือเรียกนักพรตปีศาจคนหนึ่งที่ทำหน้าที่เฝ้าระวัง

พรตปีศาจเหาะเข้ามา แล้วกุมหมัดคารวะ “คุณชายห้า!”

เหมียวอี้กล่าวด้วยท่าทางจริงจังว่า “ข้ากับฮูหยินมีธุระสำคัญต้องคุยกันนิดหน่อย กำชับลงไปว่า ห้ามใครเข้าใกล้ที่ราบตรงด้านหลังภูเขา ใครขัดคำสั่ง ประหาร!”

“ขอรับ!” พรตปีศาจเอ่ยรับแล้วเงยหน้ามองฟ้า พบว่าเหมียวอี้อุ้มอวิ๋นจือชิวที่ใบหน้าแดงเรื่อเหาะออกไปอย่างโจ่งครึ่มแล้ว เขาเข้าใจทันที ไม่ใช่ว่ามีธุระสำคัญอะไรจะคุยหรอก แต่เป็นการคุยเรื่องบนเตียงมากกว่า เขาทำได้เพียงไปแจ้งให้คนที่อยู่รอบๆ เตรียมระแวดระวัง ไม่กล้าทำลายอารมณ์สุนทรีของคุณชายห้า เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาก็มีชะตากรรมอย่างนี้ ไม่มีทางเลือก

อวิ๋นจือชิวพบว่าวันนี้เหมียวอี้บ้าระห่ำอย่างเห็นได้ชัด ถึงขั้นรุนแรงนิดหน่อยด้วย เจือด้วยความดิบเถื่อน มีความปรารถนาไร้ที่สิ้นสุด ตอนกลางคืนเมื่อกลับมาถึงห้องนอนที่จัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว ก็จูงมือนางไปบ้าระห่ำกันอีกครั้ง

เช้าวันต่อมา ทั้งสองยังคงนอนหลับกอดกันอยู่บนเตียง จนกระทั่งมีคนมาแจ้งว่าห้าปราชญ์ทยอยกันมาถึงครบแล้ว  ทั้งสองถึงได้ลุกขึ้นมา อวิ๋นจือชิวที่ใบหน้าเปล่งปลั่งสดใสรีบปรนนิบัติอาบน้ำให้ท่านขุนนางเหมียว ความรักความห่วงใยจากภรรยา ล้วนแสดงออกในทุกการกระทำที่เอาใจใส่ของอวิ๋นจือชิวหมดแล้ว

หลังจากทั้งสองรับประทานอาหารที่ฉินเวยเวยลงมือเตรียมด้วยตัวเองแล้ว เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวถึงได้เดินเคียงกันออกมาพบห้าปราชญ์ ฉินเวยเวยไม่ได้ตามมาด้วย สถานที่และโอกาสแบบนี้มีอวิ๋นจือชิวเป็นฮูหยินเจ้าบ้าน และมีเพียงฮูหยินอย่างอวิ๋นจือชิวเท่านั้นที่สามารถนั่งเสมอกับเหมียวอี้ได้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอนุภรรยาอย่างนาง

ฉินซีที่อยู่เป็นเพื่อนฉินเวยเวยขมวดคิ้วอย่างชัดเจน ค่อนข้างไม่พอใจ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ภรรยาเอกก็คือภรรยาเอก อนุภรรยาก็คืออนุภรรยา ไม่สามารถนำขึ้นมาเอ่ยถึงพร้อมๆ กันได้

เหมียวอี้ที่ถอดเกราะรบแล้วยังคงองอาจผ่าเผย รูปร่างสูงตรง ลักษณะสูงส่งราวกับนั่งอยู่บนเมฆ อวิ๋นจือชิวที่ใบหน้าเปล่งปลั่งสดใสมีรูปร่างที่อรชรอ้อนแอ้น  ประกอบกับชุดกระโปรงยาวสีเขียวคราม ทำให้ดูสูงส่งทว่าสวยหยาดเยิ้ม ปิ่นหงส์ที่งามประณีตห้อยสั่นไหวตามจังหวะการก้าวเดิน

สองสามีภรรยาปรากฏตัวตรงเคียงกันต่อหน้ากลุ่มคน ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคู่ที่สวรรค์ได้บรรจงสร้างขึ้น คู่รักที่ไปไหนด้วยกันเป็นคู่ มองออกว่าความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาค่อนข้างดี

พอเห็นสีหน้าของอวิ๋นจือชิว ผู้ที่มามองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเมื่อคืนนางจะต้องมีค่ำคืนที่ดีแน่นอน อวิ๋นอ้าวเทียนที่นั่งเงียบๆ อยู่ในสวนดอกไม้เหลือบมองแวบหนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าสุขสันต์จากใบหน้าหลานสาว ท่าทางหัวเราะคิกคักแบบนั้นช่างงดงามยิ่งกว่าดอกไม้ สายตาที่เหมียวอี้ก็ดูเป็นมิตรขึ้นนิดหน่อย

ก่อนหน้านี้ให้เขารออยู่ตั้งนาน ทำให้ไฟโกรธสุมอยู่ในอกเขาเอง ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องของพิภพใหญ่ เขาคงระเบิดอารมณ์ไปนานแล้ว ตอนนี้อารมณ์เริ่มสงบลงอย่างช้าๆ

สายตาที่มู่ฝานจวินมองดูอวิ๋นจือชิว ฉายแววชื่นชมและอ่อนโยนแวบหนึ่ง

“ท่านปู่ ท่านอาหก!” พอเข้ามาในศาลา อวิ๋นจือชิวก็ก้าวเข้ามาคำนับอวิ๋นอ้าวเทียนและอวิ๋นเซี่ยวที่ยืนอยู่ข้างหลังอวิ๋นอ้าวเทียนทันที

อวิ๋นเซี่ยวพยักหน้ายิ้ม ส่วนอวิ๋นอ้าวเทียนก็ขานรับ “อื้ม” อย่างเย็นชา

หลังจากคำนับเสร็จ อวิ๋นจือชิวก็ถอยมายืนอยู่ข้างกายเหมียวอี้ ส่วนเหมียวอี้ที่กำลังอยู่ในช่วงวางมาด ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดว่าจะให้เขาคำนับ

มู่ฝานจวินพาจงเจิ้นลูกศิษย์อันดับสามมา ซือถูเซี่ยวพาหวังเต้าหลินลูกศิษย์คนโตสุดมา ฉางเหลยพาฝ่าเยี่ยนลูกศิษย์คนโตสุดมา จีฮวนพาจีเต๋อจวินลูกชายคนรองมาด้วย ลูกชายคนโตตายด้วยน้ำมือเฟิงเป่ยเฉินตั้งนานแล้ว

เหมียวอี้กวาดตามองคนที่ห้าปราชญ์พามา แล้วเตือนว่า “หลังจากทุกคนไปที่พิภพใหญ่แล้ว อย่าลืมสืบหาเบาะแสของเคล็ดวิชาฝึกตนที่ตัวเองฝึกสักหน่อยสักหน่อย จะได้ให้อาจารย์ของพวกเจ้าตัดสินใจว่าจะไปที่พิภพใหญ่หรือไม่” พูดจบก็หันมาพยักหน้าให้อวิ๋นจือชิว

อวิ๋นจือชิวถือกระเป๋าสัตว์ไว้ในมือ พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คนที่จะไปพิภพใหญ่เข้ามาในกระเป๋าสัตว์ของข้า ถ้าไม่เต็มใจก็ไม่ต้องไป”

“ตอนที่พวกเราไปจะต้องเข้ากระเป๋าสัตว์ด้วยรึเปล่า?” มู่ฝานจวินถามทันที

เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบ “พวกเจ้าไม่ต้องหรอก ครั้งนี้ให้ฮูหยินของข้าพาไป เพื่อความปลอดภัยของฮูหยินข้า ถ้าอยากจะไปก็ลำบากนิดหน่อยเท่านั้นเอง”

พอเป็นแบบนี้ ห้าปราชญ์ก็ไม่มีความเห็นอะไรแล้ว ตราบใดที่ไม่คุกคามความปลอดภัยของพวกเขา ต่อให้เกิดเรื่องขึ้นก็ไม่มีใครออกมายุติอยู่ดี ดังนั้นจึงเชื่อฟังอย่างที่พบเห็นได้ยาก ส่วนมรสุมหลังจากจบเรื่องนี้ ทุกคนกำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ

อวิ๋นอ้าวเทียนเอียงหน้าบอกใบ้ อวิ๋นเซี่ยวที่อยู่ข้างหลังก็เป็นคนแรกที่เดินออกมา เป็นฝ่ายขอให้อวิ๋นจือชิวเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์ก่อน จกานั้นอีกสี่คนก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว เมื่ออาจารย์และบิดาไม่มีความเห็นอะไร ต่อให้พวกเขามีความเห็นอะไรก็ไม่มีประโยชน์

หลังจากเข้าไปในกระเป๋าสัตว์เรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็พูดกับอวิ๋นจือชิวด้วยรอยยิ้มว่า “ระหว่างทางระวังตัวด้วยนะ”

อวิ๋นจือชิวหยักหน้า พอออกจากศาลาก็พุ่งขึ้นฟ้าไปทันที

…………………………

[1] รัวดาบฟันเชือก 快刀斩乱麻 หมายถึง ตัดสินใจเด็ดขาดรวดเร็ว

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset