พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1140 ปี้เยว่อยากไปด้วย

“เรื่องนี้ก็จะโทษมันไม่ได้ พลังปาฎิหาริย์ไม่ใช่สิ่งที่มันจะเลือกเองได้” จีเหม่ยลี่กล่าว

เหมียวอี้เองก็ไม่ได้มีเจตนาจะโทษมัน เพียงผิดหวังเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเห็นมันน้อยใจ เขาจึงยื่นมือไปตบศีรษะที่ห้อยตกของมันเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอก ต่อสู้ไม่ชนะแต่หนีได้ก็นับว่าเป็นความสามารถเหมือนกัน ตอนนี้เจ้าเหาะได้แล้วไม่ใช่เหรอ?” พูดจบก็พลิกตัวขึ้นนั่งข้างหลังมัน แล้วยื่นมือไปข้างล่าง

แบบนี้นับว่าปล่อบใจอะไรกัน? ขนาดจีเหม่ยลี่ที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้าก็ยังกลอกตามองบน นางยื่นมือออกมา แล้วถูกเหมียวอี้คว้าดึงขึ้นไปนั่งข้างหน้า เขานั่งตัวติดกับนางพลางกอดเอวเอาไว้ “โจรอ้วน ปลดปล่อยความเร็วพาพวกเราวนสักสองรอบ!”

ความเร็วในการเหาะของเฮยทั่นไม่ได้ช้า พาทั้งสองพุ่งพรวดออกไปในรวดเดียว…

หลังจากนั้นห้าปี ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เหมียวอี้กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ดอกบัวสีทองสามกลีบตรงหว่างคิ้วดูศักดิ์สิทธิ์เป็นพิเศษ มีดอกบัวบานเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งกลีบบอย่างช้าๆ เหมียวอี้หยุดใช้วิชา เก็บยาเม็ดโลหิตที่กำไว้ในฝ่ามือ โบกมือเรียกยาแก่นเซียนออกมาหนึ่งร้อยเม็ด แล้วให้มันลอยวนอยู่รอบกายตัวเอง

เหมียวอี้ใช้นิ้วร่ายวิชา กระแสอากาศกระเพื่อมอยู่รอบกาย ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นเกราะอิทธิฤทธิ์ล่องหน ครอบตัวเองเอาไว้กับยาแก่นเซียนหนึ่งร้อยเม็ด พอเขาดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ยาแก่นเซียนเม็ดหนึ่งก็ระเบิดออก กลายเป็นพลังจิตวิญญาณมหาศาลที่เข้มข้นเหมือนน้ำนมวัวในนั้นที มันลอยเกลื่อนและแผ่คลุมทั้งตัวเหมียวอี้ไว้ในเกราะอิทธิฤทธิ์ล่องหน อาศัยวรยุทธิ์ของเหมียวอี้ในตอนนี้ สามารถกักพลังจิตวิญญาณพวกนี้ไม่ให้รั่วไหลได้อย่างง่ายดาย

ผ่านไปไม่นาน พลังจิตวิญญาณที่เข้มข้นก็กลายเป็นหมอกจางๆ มันถูกดูดซับเข้าร่างกายเหมียวอี้ด้วยความเร็วที่ตาเปล่ามองเห็นได้ แล้วก็เห็นเหมียวอี้ดีดนิ้วอีกครั้ง ทำให้ยาแก่นเซียนระเบิดออกอีกเม็ด ทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก

หลังจากยาแก่นเซียนหนึ่งร้อยเม็ดถูกดูดซับไปหมดแล้ว เกราะอิทธิฤทธิ์ล่องหนที่ครอบอยู่รอบกายก็หายไปเช่นกัน เหมียวอี้นับนิ้วคำนวณการโคจรพลังในร่างกาย จากเวลาในการกลั่นกรองยาแก่นเซียนหนึ่งร้อยเม็ดนี้ เขาคำนวณจำนวนที่กลั่นกรองได้ในแต่ละวันออกมา จากนั้นก็ลืมตาขึ้นแล้วส่ายหน้าเบาๆ

ตอนนี้หลอมสร้างยาแก่นเซียนได้วันละสามร้อยสิบเม็ดเท่านั้น เพิ่มขึ้นจากตอนมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นสามเพียงสิบเม็ดเท่านั้น ส่วนการจะเพิ่มจากบงกชทองขั้นสี่เป็นบงกชทองขั้นห้า ก็ต้องใช้ยาแก่นเซียนอีกเกือบหนึ่งพันสี่ร้อยล้านเม็ด หรือพูดได้อีกอย่างว่า ต้องใช้เวลาอีกหนึ่งร้อยยี่สิบกว่าปีถึงจะบรรลุระดับบงกชทองขั้นห้าได้

ความเร็วแบบนี้ก็ไม่ถือว่าช้าแล้ว เหมียวอี้เพียงรู้สึกว่าไม่เร็วเท่าตอนที่ดูดซับไฟหยินหยางที่ดาวสองขั้ว…

หลังจากนั้นหลายวัน เหมียวอี้ก็เข้ามาขอพบปี้เยว่ฮูหยินที่ตำหนักคุ้มเมือง

“จะออกไปข้างนอกอีกแล้วเหรอ? ครั้งก่อนเจ้าเหมือนจะหายไปปีกว่าไม่กลับมา ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลยนะ!” เรือนร่างเย้ายวนของปี้เยว่ฮูหยินที่นอนตะแคงขี้เกียจอยู่บนเตียงหยกลุกขึ้น นางเดินออกไปข้างนอก ขณะที่เดินเคียงข้างเหมียวอี้ ปี้เยว่ฮูหยินก็ขมวดคิ้วถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ หน้าที่ของเจ้าคือเฝ้ารักษาการณ์ตลาดสวรรค์ ไม่ใช่ว่าพอหมดธุระก็ออกไปเพ่นพ่านข้างนอก ไม่อย่างนั้นถ้าตลาดสวรรค์เกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เจ้าก็จะแบกความรับผิดชอบไม่ไหวนะ ตำหนักสวรรค์ก็มีกฎระเบียบ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็อย่าละทิ้งหน้าที่โดยพลการ!”

เหมียวอี้ที่เดินอยู่ข้างกันกุมหมัดตอบว่า “เมื่ออยู่ต่อหน้าฮูหยิน ข้าน้อยจะไม่ปิดบัง อยู่ที่ตลาดสวรรค์นานๆ น่าเบื่อหน่ายจริงๆ ข้าน้อยด้อยประสบการณ์ความรู้ อยากจะไปท่องเที่ยวดูให้ทั่ววักหน่อย”

ปี้เยว่ฮูหยินหันมามองเขาแวบหนึ่ง “ข้าก็รู้สึกว่าอยู่ที่ตลาดสวรรค์น่าเบื่อหน่ายเหมือนกัน งั้นข้าก็ต้องออกไปเพ่นพ่านจนทั่วเหมือนกันหรือเปล่า?”

“หรือจะให้ข้าน้อยออกไปเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนฮูหยินดีล่ะขอรับ?” เหมียวอี้ถาม

ปี้เยว่ฮูหยินพ่นเสียงทางจมูก “ถ้าผู้บัญชาการใหญ่อย่างเจ้าไม่อยู่ แล้วหัวหน้าภาคอย่างข้าก็ไม่อยู่ ละทิ้งหน้าที่โดยพลการทั้งคู่ ถ้าเกิดเรื่องที่ตลาดสวรรค์ขึ้นมาก็จะไม่มีใครอยู่ตัดสินใจแม้แต่คนเดียว ไม่อยากจะทำมาหากินที่ตำหนักสวรรค์แล้วใช่มั้ย? ข้าว่าเจ้าเอาเวลาที่ไปเที่ยวเล่นมาเพิ่มวรยุทธ์ของตัวเองดีมั้ย?”

ถ้าไม่อนุญาตให้ลาพักก็ยุ่งยากแล้ว! ขณะที่เหมียวอี้กำลังครุ่นคิดว่าจะอ้างเหตุผลอะไรดี ปี้เยว่ฮูหยินก็พลันถามว่า “เตรียมจะไปเที่ยวเล่นที่ไหนล่ะ? มีที่ไหนน่าเที่ยวบ้างรึเปล่า?”

เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ สงสัยผู้หญิงคนนี้จะสนใจแล้ว จึงรีบตอบว่า “อยากจะไปดูที่ดาวดำเนินเซียนสักหน่อย ข้าน้อยก็ไม่รู้เหมือนกันว่าน่าเที่ยวรึเปล่า”

“ดาวดำเนินเซียน?” ปี้เยว่ฮูหยินหันกลับมาถามอย่างแปลกใจ “ดาวดำเนินเซียนที่ตั้งของปราสาทดำเนินเซียน หนึ่งในสิบปราสาทใหญ่น่ะเหรอ?”

“ใช่แล้ว!”

“ทำไมเจ้าถึงคิดจะไปเที่ยวเล่นที่นั่น?”

“ข้าอยากจะไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อย ฮูหยินเคยไปหรือเปล่า?”

“ไม่เคยไป อาณาเขตปกครองของตำหนักสวรรค์กว้างใหญ่ขนาดนั้น ใครจะไปทั่วทุกที่ได้?” ปี้เยว่ฮูหยินเดินเนิบนาบส่ายหน้าตอบ แล้วขมวดคิ้วถามว่า “ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าไปจะดีกว่า คนของสิบปราสาทใหญ่ไม่ค่อยอยากคลุกคลีกับคนของตำหนักสวรรค์ ต่อให้เจ้าไปแล้ว อีกฝ่ายก็อาจไม่ต้อนรับเจ้าก็ได้ ทำไมต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วยล่ะ?”

เหมียวอี้ไม่คิดอย่างนั้น “ข้าเป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์ ทุกแห่งในใต้หล้านี้ มิมีที่ใดไม่ใช่ผืนดินของราชัน ข้าแค่ไปเที่ยวดูนิดหน่อย พวกเขาจะดันทุรังไล่ข้าเชียวหรือ?”

“เจ้าอย่าพูดถึงเลย ถ้าอีกฝ่ายต้องการจะไล่เจ้าจริงๆ ฐานะในตำหนักสวรรค์ของเจ้าก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้หรอก” ปี้เยว่กล่าว

“ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกมั้ง! พวกเขาจะกล้าเป็นศัตรูกับตำหนักสวรรค์เชียวหรือ?” เหมียวอี้งุนงง

“ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึก ไม่ต้องไปน่ะถูกแล้ว” ปี้เยว่ส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่อยากพูดต่อ ถือโอกาสยื่นมือไปเด็ดดอกไม้กิ่งหนึ่ง ยกขึ้นมาสูดดมเบาๆ เดินเข้าไปในสวนดอกไม้แล้ว

เหมียวอี้ที่เดินตามอยู่ข้างๆ แววตาวูบไหว ผู้ชายของนางคือหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ เกรงว่านางคงจะรู้ความลับบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้ จึงถามพร้อมรอยยิ้มว่า “ฮูหยินมีท่านโหวหนุนหลัง ยังจะกลัวปราสาทดำเนินเซียนเล็กๆ แห่งเดียวเชียวหรือ?”

ปี้เยว่ฮูหยินเดินลากกระโปรงยาวเข้าไปนั่งในศาลา ผ่านไปไม่นานก็มีสาวใช้นำน้ำชามาวาง หลังจากรินน้ำชาไว้ถ้วยหนึ่ง ปี้เยว่ฮูหยินก็โบกมือให้สาวใช้ออกไป แล้วบอกว่า “ไม่เกี่ยวว่ากลัวหรือไม่กลัว แต่ไม่อยากสร้างปัญหาโดยไม่จำเป็น”

เหมียวอี้ทำท่าแปลกใจ “ก็แค่ไปเที่ยวที่ดาวดำเนินเซียน จะสร้างปัญหาอะไรได้?”

“สงสัยเจ้าจะอยากรู้ให้ได้เลยสินะ!” ปี้เยว่กลอกตามองเขา แล้วจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “เดิมทีสิบปราสาทใหญ่มีสัมพันธ์อันดีกับประมุขไป๋ แล้วในปีนั้นคนที่เกี่ยวข้องกับประมุขไป๋ก็แทบจะโดนข้อหาโจรกบฏกันหมด เจ้าว่าจะสร้างปัญหามั้ยล่ะ?”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! พอเป็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็ฉงนใจแล้วจริงๆ “ตอนนี้สิบปราสาทใหญ่ก็ยังอยู่สบายดีไม่ใช่เหรอ? ไม่เห็นตำหนักสวรรค์ตั้งข้อหาโจรกบฏกับพวกเขาเลย!”

หลังจากปี้เยว่ยื่นมือเชิญให้เขานั่ง ก็อธิบายว่า “ในปีนั้นตอนที่กำหนดอำนาจยิ่งใหญ่ในใต้หล้า สถานการณ์ยังผันผวนไม่แน่นอน รอบข้างมีการเข่นฆ่ากันไม่หยุด ไม่รู้ว่ามีตัวละครที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ตายไปตั้งเท่าไร ราชันสวรรค์กับประมุขพุทธะวางแผนร่วมกัน จับกุมประมุขปีศาจอย่างกะทันหันรวดเร็วก่อน แล้วค่อยปราบปรามประมุขไป๋ สิบปราสาทใหญ่ที่เดิมทีมีความสัมพันธ์อันดีกับประมุขไป๋ พอเห็นประมุขไป๋มีกำลังอ่อนแอ ถึงได้ไปขอพึ่งพาราชันสวรรค์กับประมุขพุทธะ ภายใต้การร่วมมือของกลุ่มวีรบุรุษ ในที่สุดก็ปราบประมุขไป๋ไว้ในเจดีย์สยบปีศาจได้! ถ้าไม่ใช่เพราะประมุขปราสาทของสิบปราสาทใหญ่ทรยศหักหลังแล้วจู่โจม เกรงว่าคงจะจัดการประมุขไป๋ไม่สำเร็จ!”

เหมียวอี้ตกใจทันที นึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่พระอาจารย์แสงทองบอกตอนที่ตนคุยกับเจ้าสำนักอวี้หลิง จึงถามว่า “ข้าน้อยได้ยินมาว่า เขาหลิงซานของแดนสุขาวดีมีเจดีย์สยบปีศาจอยู่หลังหนึ่ง ได้ยินว่าประมุขไป๋กับประมุขปีศาจโดนขังอยู่ในเจดีย์นั้น ไม่ทราบว่าฮูหยินกำลังพูดถึงเจดีย์สยบปีศาจหลังนั้นหรือเปล่า?”

ปี้เยว่เหล่ตามองแวบหนึ่งแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ที่แท้เจ้าก็รู้มาบ้างแล้วเหมือนกัน”

เหมียวอี้โบกมืออย่างถ่อมตัว แล้วถามอีกว่า “ข้าน้อยยังเคยได้ยินมาว่าประมุขไป๋กับประมุขปีศาจยังไม่ถูกประหารชีวิต แค่โดนขังไว้ในเจดีย์ ไม่ทราบว่าจริงเท็จอย่างไร?”

ปี้เยว่ได้ยินแล้วดวงตาวูบไหว กล่าวอย่างปากไม่ตรงกับใจว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าโดนประหารหรือยัง? อีกฝ่ายจะตายหรือไม่ตายแล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเรา เจ้าจะสนใจมากขนาดนั้นไม่ทำไม?”

เหมียวอี้ได้ยินแบบนี้ก็รู้แล้วว่านางมีอะไรปิดบังไว้ “ข้าน้อยแค่แปลกใจเฉยๆ ถ้ายังไม่ตายจริงๆ ข้าสงสยัว่าในเมื่อจับประมุขไป๋กับประมุขปีศาจไปแล้วทำไมไม่ฆ่าทิ้ง ไม่กลัวว่าจะเกิดปัญหาตามมาทีหลังเหรอ?”

“อาจจะคิดถึงไมตรีระหว่างพี่น้องละมั้ง ถึงอย่างไรประมุขไป๋กับประมุขปราชญ์สองท่านนั้นเคยเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน” ปี้เยว่พูดกลบเกลื่อนไปอย่างนั้น แล้วก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา “สิบปราสาทใหญ่ทรยศประมุขไป๋แล้ว ตอนหลังราชันสวรรค์ประทานสิบดาวเคราะห์ใหญ่ให้เป็นรางวัลแก่สิบปราสาทดำเนิน ให้เป็นสถานที่ส่วนตัวของสิบปราสาทดำเนิน นั่นคืออาณาเขตส่วนตัวของพวกเขา เจ้าจะถ่อไปทำไม?”

“เพราะเป็นสถานที่ที่คนทั่วไปไปได้ยาก ก็ควรจะไปดูสักหน่อยสิถึงจะถูก” เหมียวอี้กล่าว

ปี้เยว่เลิกคิ้ว “อย่าบอกนะว่าเจ้ายังฟังไม่เข้าใจ? สิบปราสาทดำเนินสร้างผลงานใหญ่ขนาดนั้น แต่ราชันสวรรค์กลับกำจัดให้พวกเขาอยู่นอกระบบเซียน มอบดาวเคราะห์เพียงสิบดวงเป็นรางวัลให้พวกเขาลงหลักปักฐาน ทั้งยังไม่อนุญาตให้พวกเขาทำการค้าที่ตลาดสวรรค์ด้วย แบบนี้เท่ากับป้องกันไม่ให้สิบปราสาทดำเนินยิ่งใหญ่ นับว่าข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง ด้วยเหตุนี้สิบปราสาทดำเนินจึงรักษาระยะห่างกับตำหนักสวรรค์มาตลอด นี่คือความไม่สงบใจ ถ้าคนของตำหนักสวรรค์ไปที่นั่น มีหรือที่พวกเขาจะทำสีหน้าดีๆ ใส่?”

เหมียวอี้เงียบไป ในใจกลับคิดถึงอีกเรื่องหนึ่ง ว่าราชันสวรรค์ท่านนี้กำลังเล่นบ้าอะไรกันแน่ ในเมื่อข้ามแม่น้ำรื้อสะพานแล้ว ไม่ว่าจะทางไหนก็ล่วงเกินไปแล้วอยู่ดี ตอนหลังเมื่อใต้หล้าสงบแล้ว ก็มีกำลังที่สามารถกำจัดสิบปราสาทดำเนินได้เลย ทำไมกลับปล่อยไว้อย่างนี้?

เหมียวอี้แอบมองปี้เยว่ฮูหยินเงียบๆ ไม่หยุด รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ยังมีความลับบางอย่างที่รู้มาจากท่านโหวเทียนหยวนแน่นอน เพียงแต่ไม่ยอมพูดออกมาเท่านั้น อีกฝ่ายตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่พูด ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเขาไม่มีทางบังคับให้นางพูดได้ ถ้าสืบสาวราวเรื่องอีกก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะสงสัย จึงกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นข้าน้อยเปลี่ยนสถานที่ไปก็สิ้นเรื่องแล้ว”

ปี้เยว่ฮูหยินเหล่ตามองเขา “ไปเที่ยวที่ไหน? พาข้าไปด้วยสิ”

“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก เจ้าพูดถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าข้าพาเจ้าไปด้วย สถานที่ที่ไปก็ยังเป็นปราสาทดำเนินเซียน แบบนี้จะไม่เผยพิรุธหรอกเหรอ?

“ข้าว่าเจ้าเป็นโจรไม่กลับใจ ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไปดูใช่มั้ย?” ปี้เยว่ฮูหยินถามอีก

เหมียวอี้พึมพำในใจ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าเบื้องหลังสิบปราสาทใหญ่ยังมีเรื่องแบบนี้อยู่ เช่นนั้นตอนแรกตนก็ไม่ควรพูดออกมาว่าจะไปปราสาทดำเนินเซียน ตอนนี้ถ้าคิดจะกลับคำพูด เกรงว่าอีกฝ่ายก็คงจะไม่เชื่อแล้ว จึงยิ้มแห้งพร้อมบอกไปว่า “ข้าน้อยได้ยินว่าทิวทัศน์ของปราสาทดำเนินเซียนยอดเยี่ยมมาก ถึงได้มีคำว่า ‘เซียน’ อยู่ด้วย เป็นสุดยอดในใต้หล้า ทิวทัศน์สวยงามขนาดนี้ ถ้าไม่ไปดูสักหน่อยก็น่าเสียดายจริงๆ นี่คือเหตุผลที่ข้าน้อยอยากจะไปดูสักหน่อยขอรับ”

“ถ้าถูกจับได้ถึงตัวตนที่แท้จริง เกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้นมา ข้าเป็นคนปล่อยให้เจ้าไป ถึงตอนนั้นข้าจะไม่ลำบากไปด้วยหรอกเหรอ?” ปี้เยว่ฮูหยินถาม

เหมียวอี้อาศัยที่ทั้งสองฝ่ายเคยต่อรองทำเรื่องน่าไม่อายกันลับหลัง หน้าด้านบอกไปว่า “ไม่หรอก! อย่างมากอีกฝ่ายก็ไม่ต้อนรับ แล้วไล่ข้าน้อยออกมาก็เท่านั้นเอง ข้าน้อยไม่เชื่อหรอกว่าปราสาทดำเนินเซียนจะลงมือกับคนของตำหนักสวรรค์โดยไร้เหตุผล ยิ่งไปกว่านั้น ข้าน้อยก็จะเตรียมตัวไปพอสมควร ไม่เกิดเรื่องอะไรแน่นอน”

“ฟังจากที่เจ้าพูด ก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน ทิวทัศน์ของดาวดำเนินเซียนมีชื่อเสียงในใต้หล้า ข้าก็เริ่มสนใจแล้วเหมือนกัน ถ้าเจ้าสามารถเตรียมการได้อย่างเหมาะสม ข้าก็จะไปกับเจ้าแล้วกัน!” ปี้เยว่ฮูหยินกล่าว

เหมียวอี้พูดไม่ออก เจ้าจะไปกับข้าจริงๆ ด้วย!

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset