พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1178 ปี้เยว่ย้ายรัง

เชียนเอ๋อร์กลับตำหนิตัวเองว่า “ฮูหยิน เป็นความผิดของบ่าวเจ้าค่ะ”

ก่อนหน้านี้อวิ๋นจือชิวกำชับนางไว้ว่าให้เฝ้าเหมียวอี้ เห็นได้ชัดว่านางทำหน้าที่นี้ได้ไม่ดี

อวิ๋นจือชิวที่ตาแดงก่ำยิ้มอ่อนพร้อมบอกว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าหรอก เป็นเขาเองที่ไม่เชื่อฟังจนหาเรื่องใส่ตัว ถ้าเขาจะแอบทำเจ้าก็เฝ้าไม่ไหวหรอก เก็บกวาดบนพื้นเถอะ” นางพูดจบแล้วเดินออกมาอยู่ในลานบ้าน จากนั้นหยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นอ้าวเทียน เรียกได้ว่าด่าทออวิ๋นอ้าวเทียนไปยกใหญ่

นี่เป็นครั้งแรกที่นางโมโหอวิ๋นอ้าวเทียนขนาดนี้ นางด่าอวิ๋นอ้าวเทียนว่าไม่มีมโนธรรม นางบอกแล้วว่าหลังจากมาพิภพใหญ่อวิ๋นจือชิวจะไม่ปฏิบัติกับตระกูลอวิ๋นอย่าขาดความยุติธรรม แต่ท่านมาวางกับดักผู้ชายของข้าอย่างนี้น่ะเหรอ? ต้องให้เห็นข้าเป็นหม้ายก่อนใช่มั้ยท่านถึงจะพอใจ?

“กำเริบเสิบสาน” อวิ๋นอ้าวเทียนตอบไปแค่นั้น แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไรเหมือนกัน ถึงอย่างไรทางนี้ก็กำลังมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของคนอื่น ในที่สุดก็ได้พิสูจน์คำทำนายของเทพพยากรณ์แล้ว พวกเขาอยากจะให้เหมียวอี้กับพวกเขามา ‘รวมตัวกันหกคนอีกครั้ง’ แล้วผจญภัยด้วยกัน กำลังรอคอยตาปริบๆ

เพียงแต่หลังจากวางระฆังดาราแล้ว อวิ๋นอ้าวเทียนก็ยังอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองฟ้าแล้วถอนหายใจ “ลูกสาวแต่งงานแล้วกลายเป็นคนนอกจริงๆ ด้วย ผู้ชายของเจ้ายังไม่ทันมานรกเลย แต่ปู่ของเจ้ากำลังอยู่ในนรกนะ!”

เหมียวอี้ที่อาการทุเลาแล้วเดินออกจากออกมานั่งในศาลา อวิ๋นจือชิวก็กลับมาที่ชัยภูมิถ้ำสวรรค์แล้วเช่นกัน ยกน้ำแกงที่ตุ๋นเกือบทั้งวันกลับมาด้วย นางวางตรงหน้าเขาพร้อมบอกว่า “รีบดื่มตอนยังร้อนๆ รสชาติจะดี!”

เหมียวอี้ยิ้มบางๆ นี่ก็คือสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้เขารักผู้หญิงคนนี้ อย่างน้อยตอนที่อยู่ข้างนอกก็ไม่เคยได้กินอะไรที่ถูกปากเท่ากับอาหารที่นางทำเลย มันทำให้เขาคิดถึง

รอจนเขากินเสร็จแล้ว อวิ๋นจือชิวถึงได้ถามว่า “เจ้าเตรียมตัวจะเข้าร่วมการทดสอบของผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่นรกเหรอ?”

เหมียวอี้รับผ้าเช็ดปากมาจากมือนาง พอเช็ดปากเสร็จแล้วก็ตะลึงงัน “เจ้ารู้แล้วเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ “ข้างนอกลือกันให้ทั่วแล้ว”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “พวกปากหอยปากปูเยอะจริงๆ ถ้ายั่วโมโหมากๆ ก็ระวังผู้บัญชาการใหญ่คนนี้จะออกคำสั่งนะ จับสักร้อยคนมาตัดหัวเชือดไก่ให้ลิงดู ดูซิว่าใครจะกล้าแพร่ข่าวมั่วๆ อีกมั้ย”

อย่างน้อยทางหวงฝู่จวินโหรวก็รู้ข่าวไวกว่าเขา เจ้าตัวส่งข้อความมาถามเขาแล้ว แต่เขากลับบอกหวงฝู่จวินโหรวว่าตัวเองจะไม่เข้าร่วมการทดสอบ

“เรื่องแบบนี้จะปิดบังไหวเหรอ?” อวิ๋นจือชิวถาม

เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าไม่ได้คิดจะปิดบังเจ้านะ เพียงแต่อยากจะรอให้ฝึกฝนได้หลายๆ วิชาก่อนแล้วค่อยบอกว่า จะได้บอกเจ้าได้ว่าพวกปู่เจ้าอาศัยเคล็ดวิชานี้ปกป้องตัวเองได้ ข้าไปแล้วก็ย่อมไม่มีปัญหา จะได้ทำให้เจ้าหายกังวลใจหน่อย”

อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ทิ้งอำนาจ! พวกเรายอมแพ้เถอะ ไม่ต้องไปเข้าร่วมการทดสอบแล้ว ถึงอย่างไรครั้งนี้ก็ไม่ได้บังคับ จะเป็นเทพแห่งผืนดินหรือผีหลักเมืองก็เป็นไปเถอะ ถ้าไม่ไหวจริงๆ พวกเราก็ไม่ต้องเป็นขุนนางแล้ว ถ้าหากินที่พิภพใหญ่ไม่ได้ พวกเราก็กลับพิภพเล็ก ถ้าทรัพยากรฝึกตนหมด พวกเราก็ค่อยรวบรวมคนมาปล้นที่พิภพใหญ่”

“แล้วปู่เจ้ากับพรรคพวกจะทำยังไงล่ะ? จะโยนพวกเขาไว้ในนรกโดยไม่สนใจจริงๆ เหรอ?” เหมียวอี้ถามพร้อมรอยยิ้ม

อวิ๋นจือชิวตอบว่า “พวกเขาแกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง แล้วอีกอย่างนะ เจ้าไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร เพื่อให้มีคนพ่วงเข้าไปด้วยอีกคนเหรอ?”

“อย่างน้อยถ้าข้าพยายามเต็มที่แล้ว เจ้าก็จะได้ไม่เสียใจทีหลัง ถ้านิ่งดูดายโดยไม่สนใจจริงๆ หากเกิดเรื่องอะไรกับพวกปู่เจ้าล่ะ ถึงปากเจ้าจะไม่พูด แต่ในใจเจ้าคงจะรู้สึกผิดไปทั้งชีวิตแน่” เหมียวอี้กล่าว

“แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเพราะเรื่องนี้ ข้าก็จะยิ่งรู้สึกผิด ถ้าต่อไปนี้เหลือข้าอยู่แค่คนเดียว แล้วเจ้าจะให้ข้าทำยังไง?” อวิ๋นจือชิวถาม

เหมียวอี้กล่าวว่า “ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก หลังจากไปแล้วข้าจะติดต่อกับพวกปู่เจ้า พวกเขาสามารถรอดพ้นการไล่ฆ่าของนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพสามคนได้ ถ้าพาข้าหนีไปด้วยอีกคนก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แล้วอีกอย่างนะ ข้าไปครั้งนี้ก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องต่อสู้แลกชีวิตเลย และไม่คิดจะสร้างผลงานอะไรมากมายด้วย เป้าหมายใหญ่สุดก็คือหาสมบัติ พยายามหาเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางภาคดินให้เจอ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ร่ำรวยอีกสักก้อนก็ได้ จากนั้นก็หาที่ซ่อนเอาไว้ ปะปนอยู่ในการทดสอบต่อจนจบ พอกลับมาต่อให้ไม่มีผลงานจนโดนถอดจากตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ แต่ก็ไม่ถึงขนาดถูกลดให้อยู่ระดับต่ำสุด ทั้งยังถูกจำกัดหน้าที่หนึ่งหมื่นปี หลังจากออกมาแล้ว อย่างมากก็เปลี่ยนสถานที่รับตำแหน่งขุนนาง ปี้เยว่ฮูหยินจะไปหาท่านโหวเทียนหยวนให้เตรียมให้ข้า ต่อให้ทางปี้เยว่ฮูหยินจะจัดการไม่ได้ แต่ข้าก็สามารถไปหาทูตตรวจการขวาเกาก้วนของตำหนักสวรรค์ได้เหมือนกัน ข้าติดต่อกับเขาไว้แล้ว หลังจบการทดสอบถ้าอยากจะย้ายที่อยู่ เขาก็จะย้ายข้าไปอยู่หน่วยตรวจการฝ่ายขวา ยังคงอยู่ในระดับเดียวกับผู้บัญชาการใหญ่ ถ้ามีหนังเสือนี้คอยคุมไว้ ก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องร้านค้าของพวกเราที่ตลาดสวรรค์”

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจเบาๆ “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังใช้คำพูดดีๆ ปลอบใจข้า ไม่อย่างนั้นเจ้าคงไม่รีบร้อนฝึกวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้ากับมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงแบบนั้นหรอก”

เหมียวอี้ “ข้าแค่อยากจะมีหลักประกันเพิ่มอีกสักชั้นหนึ่ง ใครจะคิดว่าพอลองแล้วลองอีก ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว ว่าเคล็ดวิชาอัคนีดาราที่ข้าฝึกไม่สามารถฝึกร่วมกับเคล็ดวิชาอื่นได้ ไม่อย่างนั้นจะทำลายสมดุลหยินหยางในร่างกาย”

“เจ้าตัดสินใจแน่วแน่แล้วใช่มั้ยว่าจะไปเข้าร่วม?” อวิ๋นจือชิวถาม

เหมียวอี้บอกว่า “ถ้าข้าพบเจอความยากลำบากแล้วถอย ก็คงไม่เดินมาจนถึงจุดนี้หรอก ถ้าข้าทิ้งอาชีพที่พิภพใหญ่แล้วหนีกลับพิภพเล็กง่ายๆ โดยไม่แม้แต่จะลอง ข้าก็ไม่มีทางเผชิญหน้ากับพวกเจ้าได้เลย และไม่มีทางอธิบายกับตัวเองได้ด้วย อวิ๋นจือชิว เจ้าอย่าห้ามข้าเรื่องนี้เลยนะ เรื่องอื่นพวกเราสามารถเจรจากันได้ แต่เรื่องนี้จะไม่มีการเจรจา นี่คือความรับผิดชอบที่ข้าต้องแบกรับ ก็เหมือนอย่างที่เจ้าบอก แต่งงานกับพวกเจ้าไม่ใช่เพื่อให้พวกเจ้ามานอนด้วยเท่านั้น หน้าที่ของข้าคือสร้างสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตที่ดียิ่งขึ้นให้พวกเจ้า การให้พวกเจ้าหลบอยู่ที่นี่โดยไม่กล้าเปิดเผยความสัมพันธ์กับข้า ทำได้เพียงไปมาหากันอย่างหลบซ่อน แค่นี้ก็ทำให้ข้าไม่สงบใจมากพอแล้ว ให้ข้ารักษาศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายไว้สักหน่อยเถอะ ไม่อย่างนั้นจะเอาหน้าจากไหนไปนอนกับพวกเจ้า?”

อวิ๋นจือชิวกัดริมฝีปาก “เจ้าพูดถึงขั้นนี้แล้ว ข้าไม่ห้ามเจ้าแล้วล่ะ ที่จริงข้าคิดมาตลอดว่าผู้ชายควรจะทำตัวให้สมกับเป็นลูกผู้ชาย เพียงแต่ถ้ารู้อยู่แก่ใจแต่ยังดึงดัน ก็ไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดนัก แบบนั้นข้าไม่เห็นด้วย และจะยืนหยัดคัดค้านด้วย ดังนั้นข้าจะบอกเจ้าเอาไว้นะ ถ้าเจ้าไปแล้วกลับมาไม่ได้ เจ้าก็อย่าหวังเลยว่ากลุ่มผู้หญิงอย่างเราๆ จะอยู่เป็นหม้ายเพื่อเจ้า อย่างน้อยข้าก็จะไม่อยู่เป็นหม่ายเพื่อเจ้า ข้าจะหอบสมบัติที่เจ้าทิ้งไว้ให้ข้าไปแต่งงานใหม่ ในปีนั้นข้าเลิกกับเฟิงเสวียนมาแต่งงานกับเจ้าได้ ก็สามารถเลิกกับเจ้าไปหาคนอื่นได้เหมือนกัน เจ้าคิดถึงผลที่จะตามมาให้ดีเถอะ!”

เหมียวอี้ยิ้มอ่อน…

เมื่อร้านโฉมเมฆาได้ข่าวแล้ว ไม่นานทางพวกจีเหม่ยลี่ก็ได้ข่าวเช่นเดียวกัน ทยอยกันมายืนยันข่าว

เหมียวอี้บอกกับพวกนางอย่างแน่วแน่เด็ดเดี่ยวมาก ว่าข้าจะไม่ไปเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้

เขาไม่อยากให้พวกนากังวลใจเร็วเกินไป แต่ใครจะคิดว่าหลังจากข่าวไปถึงหูพวกอวิ๋นอ้าวเทียน ห้าปราชญ์ก็งงนิดหน่อย

“ไม่เข้าร่วมเหรอ? การทดสอบครั้งนี้ ไม่เข้าร่วมได้ด้วยเหรอ?”

ในถ้ำภูเขา อวิ๋นอ้าวเทียนพลันหันมองไปทางทั้งสี่คนที่เดินเข้ามาถามข่าวด้วยกัน

จีฮวนขมวดคิ้วพลางพยักหน้าบอกว่า “พวกเรายืนยันมาแล้ว ว่าเจ้าหมอนั่นจะไม่เข้าร่วมการทดสอบจริงๆ การทดสอบครั้งนี้ไม่ได้บังคับ ใครเต็มใจก็มา ถ้าไม่มาอย่างมากก็ถูกลดขั้นเท่านั้นเอง”

“หลังจากสืบฟังสถานการณ์อย่างชัดเจนแล้ว ความเป็นไปได้ที่เจ้าหมอนั่นจะมาก็มีไม่มาก ไม่มีใครอยากมาเสี่ยงอันตรายแบบนี้ง่ายๆ หรอก เพียงแต่ถ้าเป็นแบบนี้ คำทำนายของเทพพยากรณ์ก็จะไม่ตรงแล้วหรือเปล่า? เป็นพวกเราที่เข้าใจผิดไปเอง หรือว่าอะไร?” ฉางเหลยถามอย่างกลุ้มใจ

พวกเขารวมตัวอยู่ด้วยกันอย่างกลัดกลุ้มทันที พบว่าเสียแรงที่หลงดีใจไป…

หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน ในที่สุดตำหนักสวรรค์ก็ประกาศเรื่องการทดสอบอย่างเป็นทางการแล้ว

ส่วนคำสั่งแต่งตั้งปี้เยว่ฮูหยินให้เลื่อนขั้นก็ลงมาอย่างเป็นทางการแล้ว ระดับยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่อำนาจเพิ่มขึ้นสิบเท่า นางได้คุมตลาดสวรรค์สิบแห่งในรวดเดียว นี่ข้อข้อดีที่เห็นได้ง่ายที่สุดของการมีสามีเป็นท่านเซียนอยู่ในราชสำนัก ตำหนักสวรรค์ตั้งแม่ทัพภาคของตลาดสวรรค์ขึ้นมาใหม่แปดร้อยตำแหน่ง การหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวผู้ยิ่งใหญ่จะช่วงชิงมาให้นางสักตำแหน่งก็ไม่ใช่เรื่องยาก

ในความเป็นจริง เพื่อให้สถานการณ์แรกเริ่มในการปรับปรุงตลาดสวรรค์ครั้งนี้มั่นคงและแน่นอน เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่รุนแรงตั้งแต่เริ่มต้น ราชินีสวรรค์สามารถยอมให้ทุกคนที่ยืนอยู่ในราชสำนักได้ตำแหน่งแม่ทัพภาคของตลาดสวรรค์ไปคนละตำแหน่งเพื่อเป็นหลักประกันขั้นต่ำ ส่วนตำแหน่งหัวหน้าภาคของตลาดสวรรค์แปดสิบกว่าตำแหน่งที่อยู่สูงกว่านั้น ถ้าท่านโหวเทียนหยวนอยากจะช่วงชิงอีกก็เป็นเรื่องยากมาก สี่อ๋องสวรรค์ สิบสองจอมพล สามสิบหกเทพประจำดาวต่างก็ครอบครองไปแล้วคนละห้าตำแหน่ง ตำแหน่งที่อยู่เหนือตำแหน่งหัวหน้าภาคของตลาดสวรรค์ขึ้นไป โดยส่วนใหญ่คนระดับท่านโหวจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว เพียงแต่ท่านโหวเทียนหยวนโกยตำแหน่งแม่ทัพภาคของตลาดสวรรค์มาได้หกตำแหน่ง จะเตรียมไว้ให้เมียสักหนึ่งตำแหน่งก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

พอเป็นแบบนี้ การเริ่มต้นปรับปรุงตลาดสวรรค์ของราชินีสวรรค์ก็นับว่าพัฒนาไปอย่างราบรื่น แรงขัดขวางที่พบมีน้อยมาก ไม่อย่างนั้นถ้ามีคนลอบกัดอยู่เรื่อยๆ ก็จะยุ่งยากแล้ว

ตลาดสวรรค์ของดาวเทียนหยวนยังคงเป็นส่วนหนึ่งที่ปี้เยว่ฮูหยินควบคุม เพียงแต่ต้องย้ายที่อยู่ ดาวเทียนหยวนค่อนข้างอยู่บริเวณริมขอบของขอบเขตอำนาจตำหนักสวรรค์ แม่ทัพภาคอย่างนางย่อมต้องย้ายไปอยู่ตรงจุดที่ค่อนข้างอยู่ตรงกลางระหว่างตลาดสวรรค์ทั้งสิบ เลือกที่ตั้งของตำหนักใหม่ไว้เรียบร้อยแล้ว แค่รอให้นางย้ายเข้าไปอยู่

นอกประตูเมืองเขตตะวันออก นอกจากทหารที่เข้าเวรยาม ทหารสวรรค์ของตลาดสวรรค์ก็มารวมตัวกันนอกเมืองทั้งหมด เพื่อส่งให้ปี้เยว่ฮูหยินไปรับตำแหน่งใหม่

ทิวทัศน์ภูเขานอกเมืองวกวนซับซ้อน กำลังพลกลุ่มใหญ่สวมเกราะรบสีสันสดใส พลังอำนาจเกริกก้อง

ก่อนจะออกเดินทาง ปี้เยว่ฮูหยินที่อุ้มจิ้งจอกสีชมพูก็เรียกเหมียวอี้ไปถ่ายทอดเสียงคุยกันตามลำพัง “เจ้าไตร่ตรองเรื่องการทดสอบเป็นยังไงบ้างแล้ว?”

“ข้าน้อยจะเข้าร่วมขอรับ!” เหมียวอี้ตอบ

“เฮ้อ!” ปี้เยว่ฮูหยินถอนหายใจเบาๆ แล้วก็หันกลับไปมองสถานที่ที่ตัวเองอาศัยอยู่มาเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดก็ได้ออกจากที่นี่แล้ว นางทอดถอนใจอีกครั้ง

“น้อมส่งท่านแม่ทัพภาค!”

ท่ามกลางเสียงตะโกนของผู้คนนับหมื่น ปี้เยว่ฮูหยินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า พาลูกน้องคนสนิทของตัวเองไปด้วย รองผู้บัญชาการใหญ่สองคนของเหมียวอี้ก็ถูกพาตัวไปด้วยเช่นกัน ผู้บัญชาการของตำหนักคุ้มเมืองก็ถูกพาไปด้วย เหมียวอี้จัดเตรียมกำลังพลส่วนใหญ่ของตำหนักคุ้มเมืองไปคุ้มกันส่งตลอดทาง ก่อนหน้านี้ปี้เยว่ฮูหยินแอบสั่งเขาไว้แล้ว ว่าทั้งหมดนั่นคือคนที่ติดตามนางมาหลายปี พอไปครั้งนี้ก็จะไม่ส่งกลับมาแล้ว ถึงอย่างไรตำหนักใหม่ก็ยังต้องการคนเฝ้ารักษาการณ์ การใช้งานลูกน้องคนสนิทของตัวเองก็ย่อมไว้ใจได้และสงบใจได้มากกว่า

ดังนั้นกำลังพลของเหมียวอี้จึงขาดแคลน อย่างน้อยก็ขาดตำแหน่งผู้บัญชาการและรองผู้บัญชาการใหญ่ของตำหนักคุ้มเมือง มีคนไม่น้อยที่เริ่มเฝ้าคอยแล้ว

หลังจากมองคล้อยหลังปี้เยว่ฮูหยินหายไปในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ เหมียวอี้ก็นำคนเข้าเมือง

“ผู้บัญชาการใหญ่!”

“ผู้บัญชาการใหญ่!”

สองข้างทางของถนนในเมืองมีผู้จัดการร้านค้าใหญ่ๆ ที่รู้ข่าวล่วงหน้ามาคอยส่ง ยามเห็นเหมียวอี้ในเวลานี้ ภายนอกพวกเขาก็กุมหมัดคารวะอย่างสุภาพ แต่ความจริงมีคนทำสายตาเยาะเย้ยแล้วไม่น้อย ต่างก็รู้ว่าเหมียวอี้จะได้นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ได้ไม่นานแล้ว การล้างแค้นมาถึงเร็วขนาดนี้ มีคนกำลังเตรียมตัวรอซ้ำเติมแล้ว

ถ้าเหมียวอี้ไปเข้าร่วมการทดสอบก็จะปล่อยไป แต่ถ้าไม่ไปแล้วโดนลดขั้นเป็นพวกผีหลักเมืองหรือเทพแห่งผืนดิน อาศัยเส้นสายของพวกเขาก็มีทางสั่งสอนให้เหมียวอี้ตายทั้งเป็นอยู่แล้ว

ส่วนเหมียวอี้ก็เห็นความเปลี่ยนแปลงนี้อยู่ในสายตาเช่นกัน ในใจกำลังครุ่นคิดว่า เตรียมจะตัดหัวอีกสักชุดก่อนจะไปเข้าร่วมการทดสอบ!

แต่การจะตัดหัวได้ก็ต้องมีเหตุผล ใช่ว่าเจ้าอยากจะตัดก็ตัดได้ แล้วจะอ้างเหตุผลอะไรดีล่ะ? เห็นได้ชัดว่าสวีถังหรานเหมาะสมที่จะทำเรื่องแบบนี้…

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset