พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1194 วิสัยทัศน์แคบ

สำหรับผลลัพธ์นี้ เหมียวอี้เตรียมใจไว้ตั้งแต่แรกแล้ว หลังจากโดนซูลี่ทรยศหักหลัง เขาก็เตรียมพร้อมทางด้านสภาพจิตใจไว้แล้ว

แบบนี้เรียกว่ารู้อยู่แก่ใจแต่ยังดึงดัน การยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ลองไม่ใช่ลักษณะของเขา อย่างน้อยก็กอดความหวังเอาไว้นิดหน่อย ต่อให้หาเจอแค่คนเดียว เขาก็เชื่อว่าจะสามารถหาได้อีกหนึ่งกลุ่มหลังจากกำลังพลทั้งหมดของตำหนักสววรรค์ที่เข้าร่วมการทดสอบรวมตัวกัน แต่ผลลัพธ์ก็ยังสะเทือนใจเขานิดหน่อย

ในเมื่อหาพันธมิตรไม่ได้สักคน เขาก็ตัดใจแล้วเช่นกัน รู้ว่าหลังจากกำลังพลทั้งหมดของตำหนักสวรรค์ที่เข้าร่วมการทดสอบมารวมตัวกัน ก็ไม่จำเป็นต้องลองหาอีกแล้ว

เป็นการตัดความเพ้อเพ้อฝันจริงๆ ปล่อยให้นอกลานบ้านมีคนมาด่าทอแดกดันทุกวัน ซูลี่ก็ยิ่งถูกกระตุ้นให้มาทุกวัน พอเขาอ้าปากพูดก็จะมีเสียงหัวเราะดังลั่น เหมียวอี้นั่งขัดสมาธิฝึกตนอย่างสงบใจอยู่ในห้อง ฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เตรียมตัวว่าถึงแม้จพะต้องเผชิญหน้ากับคนนับหมื่น แต่ก็จะพุ่งไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ!

ทว่าสาเหตุที่คนกลุ่มนี้ต้องการจะทำให้เหมียวอี้เสียหน้าจนหมดสิ้น ไม่ใช่เพื่อความสะใจของตัวเองเท่านั้น แต่ยังต้องการแสดงความสามารถให้คนที่หนุนหลังตัวเองเห็นด้วย ไม่อย่างนั้นคงไม่มาทำตัวเหมือนผู้หญิงปากร้ายทุกวันเหมือนคนที่กินอิ่มแล้วว่างงานหรอก ย่อมต้องการให้ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปอยู่แล้ว

เมื่อมีระฆังดาราช่วยส่งข่าว ไม่นานทางดาวเทียนหยวนก็มีข่าวแพร่ออกไปอย่างบ้าคลั่งว่าเหมียวอี้ได้รับความอัปยศจากลูกน้องตัวเองอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคตงหัว คำด่าของซูลี่ผู้บังคับการกองร้อยเขตเมืองตะวันตกก็ยิ่งเป็นจุดเน้น

ข่าวนี้แพร่กลับมาที่ตลาดสวรรค์ การทดสอบยังไม่ทันเริ่ม ข้างนอกก็มีคนลับมีดเตรียมฟันเหมียวอี้แล้ว นี่ยังเป็นแค่ที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวเท่านั้น เมื่อถึงเวลาเหมียวอี้ยังต้องเผชิญหน้ากับคนมากกว่านี้ จะมีหนทางรอดชีวิตได้อย่างไร ทุกคนเหมือนจะคิดถึงจุดจบของเหมียวอี้ได้แล้ว!

พอข่าวแพร่กลับมา อวิ๋นจือชิวก็เรียกรวมอนุภรรยามาประชุมทันที แล้วเตือนต่อหน้าทุกคนว่า “นายท่านอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง เผชิญหน้ากับความกดดันใหญ่หลวง ไม่ว่าข้างนอกจะมีข่าวอะไร แต่ทุกคนก็อย่าไปรบกวนนายท่าน อย่าให้นายท่านแบกรับความกดดันภายนอกแล้วยังต้องรู้สึกว่าไม่มีหน้ามาเจอกับทุกคนอีก ทุกคนต้องเชื่อในความสามารถของนายท่าน เชื่อว่านายท่านจะต้องพลิกสถานการณ์ได้แน่นอน อย่าเพิ่มแรงกดดันทางจิตใจให้นายท่านจนนายท่านทำเรื่องวู่วามเพื่อกู้หน้ากลับมาเด็ดขาด เข้าใจชัดเจนกันหมดแล้วใช่มั้ย?”

“ปั้กๆ” นางทุบโต๊ะใส่กลุ่มผู้หญิงที่นิ่งเงียบมาตลอด

หลังจากสั่งแล้ว ผู้หญิงกลุ่มนี้ก็แยกย้ายกันออกไป แต่อวิ๋นจือชิวกลับร้องไห้ทันที เริ่มกอดเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ร้องไห้สะอึกสะอื้น

ฉินเวยเวยที่กลับมาถึงร้านค้าตัวเองรู้สึกทุกข์ใจมาก สถานการณ์ข้างนอกไม่มีอะไรชี้ชัดเลยว่าเหมียวอี้จะมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าไร ความเครียดมหาศาลนี้ทำให้นางแทบจะหายใจไม่ออก นางอยากจะติดต่อเหมียวอี้ ถามเหมียวอี้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่อวิ๋นจือชิวไม่อนุญาตให้ใครไปรบกวนเหมียวอี้ทั้งนั้น

ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าจะไปกำจัดความเครียดทิ้งที่ไหน ความหวังแรกของนางก็คือหยางชิ่ง นางติดต่อหยางชิ่งเพื่อให้ช่วยคลายความกดดัน

หลังจากหยางชิ่งถามสถานการณ์โดยละเอียดแล้ว ก็บอกว่า : เวยเวย ในจุดนี้เจ้าสู้อวิ๋นจือชิวไม่ได้เลยนะ นางถนัดเรื่องนี้มากกว่าเจ้า นางข่มอารมณ์ไว้ได้ ภายใต้แนวโน้มของสถานการณ์แบบนี้ ตอนนี้เจ้าทำอะไรก็ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้น อย่ารบกวนเหมียวอี้ คนของพิภพเล็กบุกมาถึงพิภพใหญ่ได้ก็เพราะให้เหมียวอี้เป็นใหญ่ ถ้าเขาผ่านด่านนี้ไปไม่ได้ ก็ต้องกลับมาอย่างพ่ายแพ้ ต่อไปก็จะต้องหลบๆ ซ่อนๆ ถ้าอยากจะปิดปากคนอื่นที่มาพิภพเล็กอีกก็ยากแล้ว ต้องให้เขายืนอยู่ในระบบของตำหนักสวรรค์อย่างมั่นคง สามารถนำทุกคนผ่านการโจมตีของอุปสรรคคลื่นลมนี้ได้เท่านั้น เขาถึงจะเป็นแกนหลักของทุกคนได้อย่างแท้จริง เจ้าเองก็มีส่วนได้กับผลประโยชน์นี้ด้วย เข้าใจมั้ย?

ฉินเวยเวย : ท่านพ่อ! แต่ตอนนี้สถานการณ์ของเขาอันตรายมากจริงๆ ข้ากลัวจัง!

หยางชิ่ง : เวยเวย! ที่เขาสามารถเดินมาจนถึงทุกวันนี้ได้ จะต้องมีปัจจัยต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกรวมกัน เรื่องบางอย่างพวกเรารู้ แต่บางอย่างพวกเราก็ไม่รู้ เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นความบังเอิญ ไม่มีทางที่โชคดีจะไปรวมอยู่ที่ตัวเขาคนเดียว! ในเมื่อเขากล้าไปเสี่ยงอันตรายที่ใหญ่หลวงขนาดนี้ ก็แสดงว่าต้องมีความมั่นใจอยู่บ้างแน่นอน ถ้าเขาไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด เขาก็คงจะหนีกลับมาแล้ว เหมียวอี้ในวันนี้ไม่ใช่คนมุละทุในปีนั้นอีกแล้ว ไม่ใช่เจ้าเด็กที่ใจร้อนบ้าบิ่นคนนั้นอีกแล้ว ผ่านอุปสรรคมามากมายขนาดนี้ เขาเริ่มเติบโตสุกงอมอย่างช้าๆ ข้าถึงขั้นมองเห็นขั้นตอนการเติบโตของเขาด้วยซ้ำ ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาในปีนั้น ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทนความอัปยศแบบนี้ ด้วยนิสัยอย่างเขาไม่มีทางปล่อยคนพวกนั้นไปง่ายๆ หรอก แต่ตอนนี้เขายังสามารถสงบจิตใจข่มอารมณ์ได้ ก็แสดงว่ามีความมั่นใจในตัวเองพอสมควร มีความมั่นใจว่าจะกลับมาคิดบัญชีกับคนพวกนั้นได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงดึงคนพวกนั้นให้ตายตกไปตามกันไปก่อนแล้ว เจ้าอยู่กับเขามาหลายปีขนาดนี้ ทำไมไม่เข้าใจเขาสักนิดเลยล่ะ?

พอได้ฟังแบบนี้แล้ว ฉินเวยเวยก็มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นไม่น้อย สิ่งนี้ตั้งอยู่บนการวินิจฉัยตัดสินที่แม่นยำของหยางชิ่งที่มีมาโดยตลอด แต่ก็ยังวางใจอย่างเต็มที่ไม่ได้ อดไม่ได้ที่จะถามอีกว่า : ท่านพ่อ! ท่านแน่ใจเหรอว่าเขาจะกลับมาได้อย่างปลอดภัย?

หยางชิ่ง : เวยเวย! เหมียวอี้เป็นทหารสายบุก นี่คือความสามารถของเขา เจ้าต้องมั่นใจในตัวเขา!

หลังจากพ่อกับลูกสาวติดต่อกันเสร็จแล้ว หยางชิ่งที่ยืนอยู่ในลานบ้านก็เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว พร้อมทั้งถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้

คำพูดเมื่อครู่นี้ ถึงแม้จะด้านหนึ่งจะเป็นการตัดสินจากเขา แต่ส่วนใหญ่ก็พูดไปเพื่อปลอบใจฉินเวยเวย ต่อให้เขาจะไม่มีความมั่นใจใดๆ กับผลลัพธ์ในการเดินทางครั้งนี้ของเหมียวอี้ แต่เขาจะทำอย่างไรได้ล่ะ?

ที่สำคัญคือเวลาเจอคนแบบเหมียวอี้ หยางชิ่งก็ไม่มีทางไประบายอารมณ์โกรธได้เลย เวลาจะใช้งานเจ้าอีกฝ่ายถึงจะถามเจ้า อีกฝ่ายแค่ต้องการให้เจ้าเสนอความคิดเห็นอย่างที่ตัวเองต้องการ หรือไม่ก็จะขอให้เจ้าไปทำอะไรสักอย่าง ส่วนเวลาอื่นไม่ว่าจะทำอะไร อีกฝ่ายก็จะไม่บอกเจ้าเลย อำนาจของฝ่ายรุกอยู่ในมือของเหมียวอี้เสมอ เจ้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าลับหลังเหมียวอี้ทำบ้าบออะไรไว้บ้าง ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางตัดสินใจอย่างแม่นยำ เมื่อเจอกับคนแบบนี้เขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจ

แดนอเวจี ในถ้ำภูเขาแห่งหนึ่ง หลังจากได้รับข่าวจากจีเหม่ยลี่และอนุภรรยาคนอื่นๆ พวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็มารวมตัวอยู่ด้วยกัน สีหน้าดูค่อนข้างเคร่งเครียด

“อามิตตาพุทธ!” ฉางเหลยประนมมือพลางถอนหายใจ แล้วบอกว่า “นึกไม่ถึงว่าการก่อเรื่องของพวกเราครั้งเดียว จะสร้างปัญหาให้เหมียวอี้ใหญ่โตขนาดนี้”

ซือถูเซี่ยว “ไม่แปลกใจที่ตอนแรกเจ้าหมอนั่นเดือดเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้น แทบจะด่าบรรพบุรุษมารเฒ่าอวิ๋นเสียแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นใครก็ต้องโมโหทั้งนั้น”

“เป็นเรื่องยากที่เหมียวอี้จะผ่านด่านนี้ไปได้” มู่ฝานจวินกล่าวเน้นยำทีละคำ

หลังจากพวกเขาเงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆ จีฮวนก็หัวเราะลั่น “ทุกคนคงจะคิดมากไปแล้ว มีคำทำนายของเทพพยากรณ์อยู่ การที่เจ้าเด็กนั่นวิ่งมาเจอกับพวกเรา ก็เป็นการพิสูจน์คำทำนายได้แล้ว พวกเราเป็นกระต่ายตื่นตูมไปเองแน่นอน”

พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง แล้วสุดท้ายก็พยักหน้าเงียบๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะโล่งใจเพราะคำทำนายเหลวไหลนั่น แบบนี้ต้องเชื่อใจเทพพยากรณ์มากเท่าไรกัน!

หวงฝู่จวินโหรวที่ได้รู้ข่าวติดต่อเหมียวอี้ทันที นางปรี๊ดแตกแล้ว : เจ้าบอกว่าจะไม่เข้าร่วมการทดสอบไม่ใช่เหรอ ไหนบอกว่าติดต่อกับตระกูลโค่วเรียบร้อยแล้ว จะไปทำงานในอาณาเขตของตระกูลโค่ว?

เหมียวอี้ : เรื่องราวมีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย

หวงฝู่จวินโหรว : อย่ามาใช้มุกนี้ เจ้าหลอกข้ามาตั้งแต่แรกแล้ว! หลอกข้าสนุกนักใช่มั้ย? ตอนนี้ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะตายยังไง!

เหมียวอี้ : ข้าจะตายหรือไม่ตายแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า? เจ้านับเป็นอะไรกับข้า?

หวงฝู่จวินโหรว : ไปตายซะ!

เหมียวอี้ : เอาล่ะ คุยเรื่องสำคัญดีกว่า เห็นแก่ที่ข้ากำลังจะไปตาย เจ้าบอกข้าได้มั้ยว่าปีศาจโลหิตอยู่ที่ไหน?

ตอนนี้เขากังวลมากว่าเกิดอะไรขึ้นกับศีลแปดหรือเปล่า ว่ากันตามหลักเหตุผล ตอนนี้มีข่าวลือใหญ่โตเกี่ยวกับเขา เป็นไปไม่ได้ที่ศีลแปดจะไม่รู้เรื่องการทดสอบผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เลยสักนิด แต่ไม่น่าเชื่อว่าศีลแปดจะไม่ติดต่อกับเขาสักครั้งเลย เขาอยากจะรู้ที่อยู่ของปีศาจโลหิต แล้วลองไปตามหาตัวดู ดูว่าศีลแปดอยู่กับปีศาจโลหิตหรือไม่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่

หวงฝู่จวินโหรวยังคงตอบคำเดิม : ไปตายซะ!

“กฎระเบียบสมาคมร้านค้าของดาวเทียนหยวนที่พวกเราใช้อยู่ตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าแตกต่างจากกฎระเบียบสมาคมร้านค้าแห่งอื่นของตำหนักสวรรค์ ข้ารู้สึกว่าไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก”

“ผู้จัดการร้านโจวพูดถูก ก็เพราะแบบนี้ ทุกครั้งที่กลับไปชำระบัญชี ข้ากลายเป็นตัวตลกในสายตาผู้จัดการสาขาอื่นๆ ของร้านค้าแล้ว”

“กฎของสมาคมร้านค้าที่ใช้อยู่ตอนนี้ เดิมทีก็กดขี่ผูกมัดพวกเราอยู่แล้ว หนิวโหย่วเต๋อมีสิทธิ์อะไรมาตั้งกฎให้ตัวเขาเองมีอำนาจตัดสินใจ?”

“ใช่! ควรจะกลับมาใช้กฎแบบเดิม ข้าแนะนำให้เลือกหัวหน้าสาขากับหัวหน้าสมาคมของสมาคมร้านค้าทั้งสี่เขตเมืองใหม่”

“เห็นด้วย!”

“ข้าเห็นด้วย!”

เมื่อได้รู้ว่าเหมียวอี้เริ่มถูกจำกัดอำนาจและเริ่มสูญเสียอิสระอย่างเป็นทางการ ไม่สามารถกลับมาจัดการพวกเขาได้อีก ภายใต้สถานการณ์ที่ผู้บัญชาการทั้งสี่เขตเมืองแสดงความอ่อนแอให้เห็น กลุ่มผู้จัดการร้านค้าของตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนที่มีหน้าตาก็รวมตัวกันประชุมอยู่ใน ‘ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท’ ภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดของตลาดสวรรค์ พวกเขาเรียกร้านค้าต่างๆ ของตลาดสวรรค์ให้มาลงชื่อเลือกหัวหน้าสมาคมรวมทั้งกรรมการของสมาคมร้านค้า แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าจะรื้อฟื้นกฎเดิมของสมาคมร้านค้ากลับมา

ที่ทำแบบนี้เพราะต้องการแย่งอำนาจกลับคืนมาจากมือของตำหนักคุ้มเมือง ถ้าไม่แย่งกลับมาคงไม่ได้ ถ้าอิทธิพลที่มีต่อร้านค้าร้านอื่นๆ ของตลาดสวรรค์ถูกควบคุมโดยตำหนักคุ้มเมือง อำนาจในการดำเนินกิจการแบบผูกขาดของร้านตัวเองก็จะสั่นคลอน เดิมทีร้านค้าระดับไหนสามารถขายอะไรได้บ้าง ทุกคนก็ได้แบ่งแยกไว้เรียบร้อยแล้ว ทำแบบนี้สามารถรักษาสถานะผู้นำตลาดของตัวเองได้ แต่ปรากฏว่าพอโดนผู้บัญชาการใหญ่หนิวตั้งกฎมาแบบนี้ ทำให้ไม่ว่าใครอยากจะค้าขายอะไรก็ขายได้ แย่งส่วนแบ่งตลาดของพวกเขาไปทางอ้อม ทำให้ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของพวกเขาโดยตรง

กฎของสมาคมร้านค้าถูกควบคุมอยู่ในมือสมาคมร้านค้าอีกครั้ง ถ้าร้านค้าร้านอื่นๆ ไม่ทำตาม พวกเขาก็สามรถอ้างชื่อสมาคมร้านค้ามากดดันได้

หวงฝู่จวินโหรวที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไรสักคำ

อวี้ซวีเจินเหริน ผู้จัดการร้านขายของชำซื่อตรงที่นั่งอยู่อีกด้านก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน ตอนนี้เขานับว่าเป็นผู้จัดการร้านใหญ่ของตลาดสวรรค์แล้ว มีสิทธิ์นั่งอยู่ตรงนี้ ส่วนพวกอวิ๋นจือชิว ไม่ว่าจะเป็นภูมิหลังหรือขนาดธุรกิจ ตรงนี้ก็ไม่มีที่ให้นางเลย

ณ หอกลิ่นสวรรค์ ท่านแม่สวีที่ได้ยินข่าวมาบ้างจากข้างนอกเข้ามาในห้องนอนของเสวี่ยหลิงหลงแล้ว นางนั่งบ่นชุดใหญ่อยู่ตรงข้ามเสวี่ยหลิงหลง สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “กลุ่มคนของสมาคมร้านค้าเรียกรวมร้านค้าทั้งตลาดสวรรค์มาลงชื่อเลือกหัวหน้าสมาคมแล้ว นี่กำลังจะแย่งอำนาจของสมาคมร้านค้ากลับมาจากตำหนักคุ้มเมืองชัดๆ”

เสวี่ยหลิงหลงกัดริมฝีปาก แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ท่านแม่ ผู้บัญชาการใหญ่หนิวไม่มีหวังที่จะรอดชีวิตกลับมาสักนิดเลยเหรอ?”

ท่านแม่สวีถอนหายใจพลางส่ายหน้า “เกรงว่าจะยากนะ! ตัวคนเดียวอยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้! น่าเสียดายแล้ว พวกเราอยู่ที่ตลาดสวรรค์ได้เห็นเองกับตาตั้งแต่ตอนเขาเป็นเพื่อนบ้านจนเดินขึ้นไปทีละก้าวละก้าว น่าเสียดายที่ไต่เต้าเร็วเกินไป วิธีการโหดร้ายเกิรนไป ทำอะไรเกินพอเหมาะพอดี ถึงได้สร้างหายนะให้ตัวเอง!”

“ถ้าผู้บัญชาการใหญ่หนิวกลับมาไม่ได้ แล้วผู้บัญชาการสวีจะ…” เสวี่ยหลิงหลงกล่าวด้วยสีหน้ากังวล

ท่านแม่สวีรู้ว่านางกำลังหมายถึงเรื่องที่สวีถังหรานชิงตัวนางครั้งก่อน จึงยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “เขายังจะกล้าทำเรื่องนี้ในสถานการณ์แบบนี้อีกเหรอ? ตอนนี้แค่ปกป้องตัวเองเขายังลำบากเลย เขาไม่กล้าขัดแย้งกับผู้จัดการร้านหวงฝู่หรอก ไม่มีมาดของคนที่ราชันสวรรค์แต่งตั้งให้รางวัลเหมือนในปีนั้นแล้ว”

สวีถังหรานหยุดแล้วจริงๆ พอเหมียวอี้ไปเขาก็หยุดทันที หยุดเรื่องกอบโกยหาความร่ำรวยไว้ชั่วคราว เขาติดต่อซูลี่ไม่ได้เลย ถ้าจะพูดให้ชัดคืออีกฝ่ายไม่สนใจทางนี้แล้ว ทำเอาสวีถังหรานเดือดดาลแต่ไม่มีที่ให้ระบายความโกรธ

เขาไม่ได้แยแสเรื่องนี้มากเท่าไร แค่เดือดดาลไปชั่วขณะเท่านั้นเอง คอยไปหาฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋อยู่เป็นระยะเพื่อถามความจริง ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองกับสองคนนี้เป็นตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกัน ดังนั้นจึงอยากจะมาดูสักหน่อยว่าพวกเขามีแผนอย่างอื่นหรือเปล่า

แต่จนใจที่สองคนนั้นก็ข่มอารมณ์ไว้คราวเช่นกัน

ตอนนี้จำเป็นต้องยอมรับว่าหยางชิ่งวางแผนไว้ดี เหมียวอี้บอกกับทั้งสามอย่างจริงจใจถึงแผนที่หยางชิ่งวางไว้ให้ สถานการณ์ในตอนนี้ดำเนินไปตามหมากที่เหมียวอี้วางไว้จริงๆ ตอนนี้กลับทำให้พวกเขาสงบลงได้ชั่วคราว ในใจของทั้งสามคิดอย่างอื่นเตรียมไว้บ้างนิดหน่อย เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่วางแผนเพื่ออนาคตเลย แต่ชั่วขณะนี้ก็ยังไม่กล้าลงมือทำจริง การที่สถานการณ์ของตลาดสวรรค์ล้วนเป็นไปตามแผนของเหมียวอี้ทำให้พวกเขากดดันไม่น้อย ไม่รู้ว่าได้วางแผนอีกอย่างไว้ป้องกันพวกเขาหรือเปล่า ทั้งสามจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ไม่อย่างนั้นถ้าเหมียวอี้สามารถกลับมาได้จริงๆ แบบนั้นก็ไม่มีทางยุติเรื่องราวได้แล้ว อย่างน้อยก็ทำให้ทั้งสามอดทนรอดูสถานการณ์ตอนหลัง

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset