พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 913

 ใช้วิธีการสกปรกไปแล้ว

เมื่อเห็นอานุภาพที่แท้จริงของเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้า จงเจิ้นและลูกศิษย์คนอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเผยแววตาอิจฉา ทว่าช่วยไม่ได้ เคล็ดวิชาไม้ตายของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า มู่ฝานจวินไม่มีทางถ่ายทอดออกมาง่ายๆ ไม่อย่างนั้นหากลูกศิษย์ของตัวเองเกิดเจตนาชั่วร้ายขึ้นมา ดีไม่ดีอาจจะไม่สามารถยุติเรื่องได้และโดนลูกศิษย์แว้งกัด

ที่จริงหกปราชญ์ทุกคนก็เป็นเช่นนี้ ยามอาจารย์ส่วนใหญ่ถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์  แต่ไหนแต่ไรมาก็จะสงวนไว้ส่วนหนึ่ง คำโบราณกล่าวไว้ว่า แมวสอนเสือต้องออมมือเอาไว้ ห้ามสอนเสือปีนต้นไม้

หงเทียนกับฝูชิงที่พยายามขัดขวางเต็มที่ ถึงแม้การโจมตีจะรุนแรงดุเดือด แต่กลับทำอะไรเฟิงเป่ยเฉินไม่ได้ มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงคือการสะท้อนพลังกลับ กอปรกับการโจมตีด้วยพลังอิทธิฤทธิ์หลายชั้น ทำให้เกิดเสียงระเบิดดังสองครั้ง สองคนที่เข้ามาขวางกระเด็นถอยหลังไปทันที

คนที่สร้างความยุ่งยากใจให้เขามากที่สุดกลับเป็นอิงอู๋ตี๋ การรุกโจมตีของอิงอู๋ตี๋เรียกได้ว่าโด่งดังเรื่องความเร็วมากในพิภพเล็ก ในใต้หล้าไม่มีใครทัดเทียม ไม่ได้ใช้พลังโจมตี แต่ใช้ความเร็วโจมตี กรงเล็บเหยี่ยวโดนจุดสำคัญของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ่วงเวลาเขาได้แล้ว

ใช้เวลาห่างกันแค่นิดเดียว มู่ฝานจวินโจมตีเข้ามาแล้ว เฟิงเป่ยเฉินฟาดกลับหนึ่งฝ่ามือภายใต้ความฉุกละหุก ทำให้เกิดเสียงระเบิดบึ้มดังขึ้นหนึ่งครั้ง

มู่ฝานจวินกับเฟิงเป่ยเฉินสะเทือนถอยหลังพร้อมกัน เมื่อเจอกับมู่ฝานจวิน มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงของเฟิงเป่ยเฉินได้ผลน้อยลงเยอะมาก วรยุทธ์ยังไม่สูงถึงระดับที่สามารถคลายการโจมตีของสายฟ้าได้ เรียกได้ว่าสีหน้าบิดเบี้ยวแยกเขี้ยวยิงฟันร่ายอิทธิฤทธิ์ทนรับการโจมตีที่ต่อเนื่องของอัสนีบาดเจ็ดสาย

แต่มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงก็มีจุดที่พิเศษเช่นกัน ถึงแม้จะต้านทานการโจมตีของสายฟ้าไม่อยู่ แต่กลับต้านทานการโจมตีจากพลังจริงได้ มู่ฝานจวินก็ย่อมไม่ได้ดีกว่ากันไปสักเท่าไร

ส่วนเฟิงเป่ยเฉินก็ฉวยโอกาสเหาะขึ้นฟ้าด้วยความเร็วสูง หลุดออกจากการพัวพันของอิงอู๋ตี๋ แต่บนตัวยังมีกระแสฟ้าไหลเวียน เหาะขึ้นฟ้าไปไกลอย่างรวดเร็ว

เขาไม่คิดจะลงมือสังหารเหมียวอี้อีก เพราะพลาดโอกาสไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าขนาดมาที่นี่แล้ว ประมุขถิ่นสี่ทิศจะยังเตรียมพร้อมปกป้องเหมียวอี้ในระดับสูงอยู่อีก การพัวกันที่เกิดขึ้นฉับพลันนี้ ทำให้เขาพลาดโอกาสดีในการสังหารไป เมื่อมู่ฝานจวินมีการเตรียมพร้อม ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าเหมียวอี้สำเร็จ ทำได้เพียงออกไปจากตรงนั้น ไม่อย่างนั้นถ้าสู้กับมู่ฝานจวินก็ไม่มีทางได้ผลลัพธ์แพ้ชนะ ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงโดยเปล่าประโยชน์

ที่จริงระหว่างทางที่มา ไม่มีสายตาคนจับจ้องเยอะเท่าไหร่ เฟิงเป่ยเฉินอยากจะลงมือฆ่าเหมียวอี้ทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด แต่จนใจที่ชุยหย่งเจินอยู่ในมือเหมียวอี้ ทั้งยังมีกลุ่มของนภาจอมมารกับทะเลดาวนักษัตรคุ้มกันอีก หาโอกาสลงมือไม่ได้

หรือพูดได้อีกอย่างว่า ตั้งแต่ตอนอยู่สำนักงามวิจิตร ตอนที่ตนบอกให้เหมียวอี้ส่งตัวชุยหย่งเจินมาให้ ตอนนั้นก็คิดจะลงมือฆ่าเหมียวอี้แล้ว แต่ตอนนั้นอยู่ต่อหน้าคนทั้งใต้หล้า จะต้องแสดงมาดของปราชญ์เต๋าผู้สง่าผ่าเผยที่พูดจาคำไหนคำนั้น ลงมือสังหารไม่ได้ แต่หลังจากออกสำนักงามวิจิตรมาก็ต้องการจะลงมือ แต่ใครจะไปคิดล่ะ! ว่าเหมียวอี้จะเลือกสละชีวิตท่านทูตสี่คน แทนที่จะยอมปล่อยชุยหย่งเจิน ต่อให้ตายก็จะต้องเอาชุยหย่งเจินมาเป็นเกราะกำบัง!

เข้าถึงขั้นอยากจะสละชีวิตชุยหย่งเจินเพื่อสังหารเหมียวอี้ทิ้ง แต่คนที่อยู่ในฐานะระดับเขา ไม่สามารถทำตามอารมณ์ได้ง่ายๆ อีก จะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างผลดีและผลเสีย การเอาชีวิตของชุยหย่งเจินไปแลกกับชีวิตเหมียวอี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มค่า

กว่าจะเลี้ยงดูฝึกฝนลูกศิษย์คนหนึ่งให้ถึงระดับบงกชทองได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ทรัพยากรฝึกตนไปเยอะมาก ทั้งยังเป็นคนสนิทที่ใช้ให้ทำงานแทนได้ ถ้าจะให้ฝึกเลี้ยงใหม่อีกคน ก็ใช่ว่าจะทำได้ภายในเวลาสั้นๆ ถ้าไม่ได้ใช้ทรัพยากรฝึกตนจำนวนมหาศาลกับเวลาหลายหมื่นปี ก็ไม่มีทางทำสำเร็จได้เลย

ดังนั้นถึงได้รอจนมาถึงที่นี่ รอให้ได้ตัวชุยหย่งเจินกลับมาก่อนค่อยลงมือ ถึงแม้จะรู้ว่าอาจทำไม่สำเร็จ แต่เขาก็ไม่อาจปล่อยเหมียวอี้ไปเฉยๆ ลองลอบโจมตีดูสักหน่อยดีกว่า แต่ผลที่ได้ก็คือความล้มเหลว

เหมียวอี้ได้ผูกความแค้นใหม่กับเขาอีกแล้ว ความคิดอยากจะฆ่าเหมียวอี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเรื่องในวันนี้ แต่คิดจะฆ่ามาตั้งนานแล้ว หลังจากเฟิงเสวียนตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ที่ทะเลทรายม่านเมฆา เขาก็คิดจะลงมือแล้ว แต่ใครจะคิดว่าอยู่ดีๆ อวิ๋นอ้าวเทียนก็เข้ามาแทรก จู่ๆ ก็มาลอบโจมตีเขาก่อน โจมตีจนเขาบาดเจ็บสาหัส และขู่เตือนเขาไว้ด้วย ทำให้เขายังกังวลไม่กล้าแตะต้องเหมียวอี้ แต่ครั้งนี้เหมียวอี้กลับมาหาถึงที่และชิงตัวลูกศิษย์ของเขาเป็นตัวประกัน เขาทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงได้ลอบโจมตีครั้งนี้

มู่ฝานจวินลอยอยู่กลางอากาศ มองตามเฟิงเป่ยเฉินจนหายลับไปในท้องฟ้า นางไม่ได้ตามไปอีก เพราะรู้เช่นกันว่าสู้กันไปก็หาคนชนะไม่ได้ ตอนนี้นางจึงเหล่ตามองอิงอู๋ตี๋อย่างเย็นเยียบ

ในกรงเล็บของอิงอู๋ตี๋ขยุ้มแขนเสื้อไว้ชิ้นหนึ่ง ตอนนี้เขาคลายกรงเล็บโยนทิ้งไป เมื่อครู่นี้เพิ่งฉวยโอกาสดึงมาจากแขนเสื้อของเฟิงเป่ยเฉิน สุดท้ายก็ยังพลาดไปนิดเดียว ยังทำให้เฟิงเป่ยเฉินเจ็บตัวไม่ได้

ฝูชิงและหงเทียนที่สะเทือนปลิวออกไป ร่ายอิทธิฤทธิ์คุมให้เลือดลมที่ปั่นป่วนอยู่ในร่างกายหายเป็นปกติ แล้วลอยกลับมาอย่างช้าๆ

เหมียวอี้ที่เพิ่งรีบสวมเกราะทองถอนหายใจเบาๆ วางทวนยาวที่ถือไว้ในมืออย่างช้าๆ เรียกได้ว่ายังหวาดผวาไม่หาย

เป็นเพราะเฟิงเป่ยเฉินลงมือกะทันหันเกินไป เคราะห์ดีที่ประมุขถิ่นสี่ทิศไม่ได้ประมือกับเฟิงเป่ยเฉินเป็นครั้งแรก พอจะรู้จักนิสัยใจคอของเฟิงเป่ยเฉินอยู่บ้าง จึงเตรียมพร้อมเฝ้าระวังเฟิงเป่ยเฉินอยู่ตลอด ถึงได้ป้องกันการลอบจู่โจมได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะต้องประสบหายนะแล้วจริงๆ ความคิดที่แวบขึ้นมาเมื่อครู่นี้ก็คือ ต้องใช้ท่าหนึ่งทวนสิบสังหาร พยายามใช้วรยุทธ์ทั้งหมดที่มี ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้านทานเฟิงเป่ยเฉินไหวหรือไม่

บนท้องฟ้า อวิ๋นเป้าก็โล่งใจแล้วเช่นกัน เป็นเพราะเฟิงเป่ยเฉินลงมือได้รวดเร็วเกินไป ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเขาต้านไม่ไหว ต่อให้ต้านไหวก็ต้านไม่ทันอยู่ดี

“เด็กเปรตของนภาจอมมาร ถ่อมาทำอะไรที่แดนโพ้นสวรรค์ของข้า?” มู่ฝานจวินพลันจ้องอวิ๋นเป้าพลางตะคอก

อวิ๋นเป้าพูดไม่ออก และไม่แก้ตัวอะไรด้วย นภาจอมมารเตือนไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อตระกูลอวิ๋นมาเจอกับผู้หญิงคนนี้ ก็ไม่สามารถพูดกันด้วยเหตุผลได้เลย นภาจอมมารไม่ให้พวกเขาไปยุ่งเรื่องของผู้ใหญ่ เวลาที่ควรจะอดทนก็ต้องอดทน ถึงอย่างไรก็คุ้มกันเหมียวอี้มาส่งถึงที่แล้ว เขาถ่ายทอดเสียงบอกลาเหมียวอี้ แล้วดึงกลุ่มปีศาจของทะเลดาวนักษัตรออกไปจากที่นี่ด้วยกันอย่างเซ็งๆ

พวกเขานัดกันไว้แล้วว่าจะรอฟังข่าวของเหมียวอี้อยู่นอกแดนโพ้นสวรรค์

มู่ฝานจวินเหาะลงมาเหยียบที่ด้านนอกตำหนักเก้าชั้นฟ้า แล้วคลายจุดที่เฟิงเป่ยเฉินสกัดไว้บนตัวอันหรูอวี้ โคจรพลังอิทธิฤทธิ์ให้อันหรูอวี้ที่เซื่องซึมไร้ชีวิตชีวา ทำให้กำลังวังชาฟื้นตัวกลับมาเร็วมากจนสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า

“ขอบคุณท่านอาจารย์!” หลังจากอันหรูอวี้คำนับปราชญ์เซียนแล้ว ก็พลันชี้ไปที่เหมียวอี้

แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร มู่ฝานจวินก็หันตัวเดินกลับเข้าไปในตำหนักแล้ว พูดทิ้งท้ายไว้เพียงว่า “เจ้ามานี่หน่อย!”

อันหรูอวี้ที่คำพูดติดอยู่ในลำคอทำได้เพียงเดินตามหลังนางไป ก่อนไปยังหันหน้ามาจ้องเหมียวอี้อย่างดุร้ายด้วย

เหมียวอี้หันหน้าไปทางอื่น แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น

แต่คนอื่นๆ กลับไม่คิดจะปล่อยเขาไปแน่นอน ท่านทูตแปดคนที่เหลือเดินลงจากบันไดอย่างช้าๆ เพื่อมาคิดบัญชีกับเขา

โดยเฉพาะโอวหยางกวง พอเจอหน้าก็ด่าเขาทันที “ไอ้จัญไร ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะตายอย่างไร!”

“ข้าจะอยู่หรือจะตายแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าล่ะ? เจ้าไม่ใช่ท่านทูตสายมะโรงเสียหน่อย เจ้าควบคุมได้เหรอ?” เหมียวอี้พูดดูถูก แล้วกวาดมองท่านทูตแปดคนที่เข้ามาล้อมตัวเอง พร้อมเตือนว่า “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร? พวกหนอนบ่อนไส้ วางแผนลอบสังหารข้าที่สำนักงามวิจิตรไม่ได้ แล้วยังคิดจะลงมือกับข้าที่นี่อีกเหรอ?”

กลุ่มท่านทูตเดือดดาลทันที “เจ้าว่าใครเป็นหนอนบ่อนไส้?”

“ใครที่วางกับดักทำร้ายข้า ข้าก็ว่าคนนั้นแหละ! หลีกไป!” เหมียวอี้เบียดตัวออกมาจากวงล้อมโดยตรง เพราะเขาแน่ใจว่าคนพวกนี้ไม่กล้าลงมือที่นี่ จึงขี้คร้านจะสนใจ ถึงอย่างไรคนพวกนี้ก็ควบคุมเขาไม่ได้อยู่แล้ว เขาวิ่งขึ้นมาด้านบน แล้วคำนับจงเจิ้น ถังจวิน หงเฉินและเยว่เหยา “คุณชายสาม คุณชายสี่ คุณชายห้า คุณชายหก!”

ทั้งสี่มองเขาด้วยสีหน้าประหลาด จงเจิ้นกับถังจวินพยักหน้าพลางยิ้มตามมารยาท ถ้ามู่ฝานจวินยังไม่ได้จัดการ ทั้งสองก็ไม่คิดที่จะแสดงความเห็นอะไร

หงเฉินมองเหมียวอี้อย่างพูดไม่ออก ทำท่านทูตตายไปแล้วสี่คน ยังกล้าเหยียบจมูกขึ้นหน้าท่านทูตคนอื่นอีก หรือคิดว่าตัวเองเป็นพี่ใหญ่ของเยว่เหยาแล้วจะไม่สนใจอะไรได้?

เยว่เหยากลับมองเขาอย่างโมโหฉุนเฉียว

ตอนที่เอียงหน้าหลบสายตาของกลุ่มคน เหมียวอี้ก็กะพริบตาให้นาง จากนั้นก็มายืนรอโดนทำโทษอยู่ข้างๆ ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างใจเย็น เขาครุ่นคิดจนใจลอย ไม่รู้ว่าเฟิงเป่ยเฉินจะช่วยชีวิตชุยหย่งเจินได้หรือไม่…

ในป่าภูเขาที่อยู่ไม่ห่างจากแดนโพ้นสวรรค์เท่าไรนัก เฟิงเป่ยเฉินลงมาซ่อนตัวที่นี่ เขาไม่ได้ออกไปไหนไกล และไม่ได้คิดจะออกไปด้วย เตรียมจะรออยู่ที่นี่ก่อน เพราะเขารู้ว่าหลังจากอีกสี่ปราชญ์ทราบว่าเยารั่วเซียนอยู่ในมือมู่ฝานจวิน ก็จะต้องรีบตามมาที่นี่แน่นอน ความคึกครื้นนี้จะขาดเขาไปได้อย่างไร

สาเหตุรองลงมา ก็คือจะหาโอกาสลงมือสังหารเหมียวอี้อีก ตอนที่อีกสี่ปราชญ์ยกพวกมาเอาเรื่องที่นี่ เขาจะต้องมีโอกาสลงมือแน่นอน แค่คนต่ำต้อยคนเดียว แต่กลับมามีเรื่องกับเขาครั้งแล้วครั้งแล้ว ถ้าไม่ฆ่าทิ้งก็ไม่สามารถหยุดเสียงวิจารณ์ของผู้คนในใต้หล้าได้ เขาเกือบจะเสียหน้าจนหมดสิ้นเพราะเหมียวอี้ จะปล่อยไปง่ายๆ ได้อย่างไร!

เขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ นำชุยหย่งเจินออกจากกระเป๋าสัตว์ เตรียมจะถามชุยหย่งเจินว่าเมื่อคืนวานเกิดเรื่องอะไรกันแน่

ทว่าผลที่เกิดขึ้นกลับทำให้เขาตกใจมาก ชุยหย่งเจินมีเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด ที่รูจมูกมีฟองเลือดผุดออกมา ร่างกายร้อนจี๋ ทั้งตัวยังสั่นระริก พูดอะไรไม่ออกสักคำ เพียงมองเขาด้วยสายตาวิงวอนขอความช่วยเหลือ

เฟิงเป่ยเฉินรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูอาการในร่างกายของนาง ทำให้สังเกตเห็นความผิดปกติแล้ว พบว่าน้ำเลือดในร่างกายนางเดือดเหมือนน้ำต้มโดยไม่รู้สาเหตุ จึงช่วยร่ายอิทธิฤทธิ์ระงับอาการให้ทันที แต่ในร่างกายนางเหมือนจะมีของประหลาดบางอย่างเจือปน ไม่น่าเชื่อว่ามันจะละลายพลังอิทธิฤทธิ์ของเขา ทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนแผดเผา

สิ่งนี้คืออะไร? เฟิงเป่ยเฉินตกใจมาก อาศัยวรยุทธ์อย่างเขาไม่สามารถช่วยชุยหย่งเจินกำจัดของประหลาดนี้ได้ และไม่มีทางระงับได้ด้วย!

เมื่อเห็นชุยหย่งเจินทำท่าเหมือนไม่ไหวแล้ว เฟิงเป่ยเฉินก็รีบนำดวงจิตน้ำแข็งออกมา นำมาแช่เย็นร่างกายที่ร้อนผ่าวของชุยหย่งเจิน ถึงขั้นยัดเข้าปากชุยหย่งเจินไปเม็ดหนึ่งด้วย ร่ายอิทธิฤทธิ์บังคับให้เข้าไปในร่างกายนาง จากนั้นก็นำสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมาอีก เป่าหมอกประกายดาวออกมาช่วยไม่หยุด

สรุปก็คือนึกถึงวิธีการอะไรได้ก็ใช้ไปหมดแล้ว

แต่ก็ยังไม่ได้ผล ดวงจิตน้ำแข็งก็ไม่สามารถระงับของประหลาดที่อยู่ในร่างกายชุยหย่งเจินได้ สมุนไพรเซียนซิงหัวที่มีสรรพคุณอัศจรรย์ก็ไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย ฤทธิ์ยาที่อยู่ในหมอกดาว พอเข้าไปอยู่ในร่างกายชุยหย่งเจินก็ถูกเผาทันที

สุดท้ายมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ชุยหย่งเจินตาเหลือก ร่างกายหยุดชักกระตุกแล้ว ไม่มีลมหายใจอีกต่อไป ตายจนไม่รู้จะตายยังไงแล้ว แต่ยังมีฟองเลือดพ่นปุดๆ ออกมาจากจมูก

จนถึงตอนนี้แล้ว มีหรือที่เฟิงเป่ยเฉินจะไม่รู้ว่าชุยหย่งเจินโดนเล่นสกปรกใส่ แต่สิ่งที่ทำให้เขายิ่งตกใจก็คือ เขาไม่เคยพบพิษประหลาดชนิดนี้มาก่อน ทำให้เขาคิดหาทางช่วยเยียวยารักษาไม่ได้เลยสักนิดเดียว

ขณะมองดูร่างที่ผิวกายเป็นสีแดงสดของชุยหย่งเจิน เฟิงเป่ยเฉินก็หน้าดำเหมือนเมฆครึ้ม กำหมัดสองข้างไว้แน่นจนสั่นระริก ไอ้จัญไรมันช่างใจกล้านัก ขนาดปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉินออกโรงเองยังกล้าใช้วิธีการสกปรก ตัวเองดันพลาดให้กับฝีมืออันต่ำต้อยประเภทนี้ สิ้นเปลืองความพยายามไปขนาดนี้ แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะช่วยกลับมาได้แค่ร่างคนตาย…

ในตำหนักเก้าชั้นฟ้า อันหรูอวี้ที่สภาพสะบักสะบอมยืนนิ่งอยู่ตรงเบื้องล่างของบัลลังก์ เห็นเพียงมู่ฝานจวินนั่งหลับตาเงียบๆ อยู่บนบัลลังก์หยกเย็น ลูกตาที่อยู่ใต้หนังตากำลังกลิ้งไปมา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ นางที่ยืนอยู่เบื้องล่างก็ไม่กล้าเอ่ยเสียงรบกวนเหมือนกัน

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ มู่ฝานจวินก็เหมือนจะตัดสินใจได้เลย ลืมดวงตาหงส์อย่างช้าๆ จ้องอันหรูอวี้ที่อยู่เบื้องล่างด้วยแววตาคมกริบ พร้อมถามว่า “ใครอนุญาตให้เหมียวอี้ไปที่สำนักงามวิจิตร?”

อันหรูอวี้เกร็งหนังศีรษะ นึกไม่ถึงว่าท่านปราชญ์จะถามคำถามนี้เป็นอันดับแรก นายไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย ก้มหน้าตอบว่า “คงจะเป็นเยว่เทียนโปพาไปค่ะ”

“เยว่เทียนโปตายแล้ว ตายแล้วก็พิสูจน์ไม่ได้เสียด้วยสิ!” มู่ฝานจวินทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ แล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “หรูอวี้ เจ้ากับข้าอยู่ในฐานะอาจารย์กับลูกศิษย์ อาจารย์เองก็ไม่อยากทำรุนแรงเกินไป! อาจารย์จะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าได้วางแผนทำร้ายเหมียวอี้รึเปล่า? คิดให้ดีแล้วค่อยตอบ เหลือทางกลับตัวไว้ให้อาจารย์สักหน่อย และเหลือทางกลับตัวไว้ให้ตัวเองด้วย!”

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset