พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1261 เสนอแผนการ

“เจ้าแน่ใจนะว่าทำแบบนี้แล้วเหมียวอี้จะตอบตกลงให้เจ้าไปพิภพใหญ่?” ฉินซี

หยางชิ่งตอบว่า “ขอเพียงเหมียวอี้รู้สึกว่าข้ายังมีประโยชน์ให้ใช้งาน ไปช่วยเขาที่พิภพใหญ่ได้ เขาย่อมพิจารณาให้ข้าไป ดังนั้นข้าต้องเป็นฝ่ายสร้างผลงาน ตอนนี้สถานการณ์ที่พิภพเล็กถูกกำหนดแล้ว ต่อให้ข้าไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร เพียงแต่เขาระแวงป้องกันข้าตลอด ต่อให้ไปพิภพใหญ่แล้วก็อาจจะไม่ถูกใช้ให้ทำงานสำคัญ และเจ้าก็อาจจะถูกทิ้งให้เป็นตัวประกันที่นี่ บางทีความสำคัญของเจ้าก็อาจจะยังไม่พอให้เขาวางใจ ถ้าข้าดึงตัวเวยเวยกลับมาเป็นตัวประกันที่พิภพเล็กอีก ก็คงจะทำให้เขาวางใจลงไม่น้อย”

ฉินซีพลันลุกขึ้น หน้าขาวดุจหิมะสองข้างกระเพื่อมราวกับคลื่นในทะเล นางเบิกตากว้างจ้องเขา “เจ้าจะเอาลูกสาวตัวเองมาเป็นตัวประกันเหรอ?”

หยางชิ่งลุกขึ้นอย่างช้าๆ แล้วส่ายหน้าอธิบายว่า “ข้าไม่ได้หมายความอย่างที่เจ้าคิด และไม่ได้จะเอาพวกเจ้าสองแม่ลูกเป็นตัวประกันในความหมายนั้นด้วย ถ้าพวกเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าต้องไปพิภพใหญ่แบบมีข้อผูกมัด ถึงจะทำให้เหมียวอี้วางใจได้ ไม่อย่างนั้นข้าคงโดนขังตายอยู่ในพิภพเล็ก ถ้าครอบครัวของพวกเราตามจังหวะการก้าวเดินของเหมียวอี้ไม่ทัน ก็จะกลายเป็นสิ่งที่มีหรือไม่มีก็ได้ สักวันก็ต้องส่งผลกระทบต่อฐานะของเวยเวยข้างกายเหมียวอี้ บางทีตอนนี้เหมียวอี้ก็คงไม่คิดเหมือนกันว่าจะเกิดสถานการณ์อย่างนั้น แต่ถ้าเขาก้าวไปข้างหน้าตลอด ถ้าอยู่ตำแหน่งสูงในระดับหนึ่ง เรื่องบางอย่างย่อมต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”

ฉินซีพอจะเข้าใจเจตนาของเขาแล้ว เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย “เวยเวยจะตอบตกลงเหรอ? ให้นางกับเหมียวอี้แยกกันอยู่คนละที่ แบบนี้จะเหมาะสมเหรอ?”

หยางชิ่งถอนหายใจ “เหมียวอี้มีอนุภรรยาเป็นโขยง ตอนนี้สถานการณ์ของเวยเวยต่างอะไรกับการแยกกันอยู่คนละที่กับเขา? ให้เวยเวยกลับมาพิภพเล็กยังมีประโยชน์บ้าง อนุภรรยาของเหมียวอี้ล้วนอยู่ที่พิภพใหญ่ มีแค่เวยเวยอยู่ที่พิภพเล็กคนเดียว บางทีข้อยกเว้นที่เกิดขึ้นจากระยะห่างอาจจะทำให้เหมียวอี้เป็นห่วงบ้าง เวยเวยอยู่ท่ามกลางกลุ่มอนุภรรยาของเหมียวอี้ก็ไม่มีจุดไหนที่โดดเด่นเลย ถ้าให้เวยเวยอยู่เหมือนคนธรรมดาท่ามกลางกลุ่มอนุภรรยา ไม่สู้ให้เวยเวยอยู่แบบพิเศษดีกว่า สาเหตุรองก็คือสถานการณ์ที่พิภพใหญ่ซับซ้อน เหมียวอี้ยังไม่ถือว่าลงหลักปักฐานแบบมั่นคงจริงๆ แล้วข้าก็รู้จักนิสัยเหมียวอี้ดีเกินไป ก่อหายนะให้ตัวเองได้ง่ายๆ พาเวยเวยกลับมาที่พิภพเล็กก็เพื่อความปลอดภัยของเวยเวย ข้าเองก็พิจารณาเพื่อลูกสาวเหมือนกัน หวังว่าเจ้าจะเข้าใจความลำบากของข้า”

ฉินซีเข้าใจแล้ว แต่กลับน้ำตาคลอ “ทำไมลูกสาวข้าถึงชะตาลำเค็ญแบบนี้! ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า ลูกสาวอยู่ดีๆ ทำไมถึงส่งไปเป็นอนุภรรยาคนอื่นได้?”

“เฮ้อ! มาพูดเรื่องนี้ตอนนี้จะมีความหมายอะไร? ตอนนี้ข้าก็ทำได้เพียง…” เสียงพูดเงียบลงกะทันหัน หยางชิ่งงุนงง พลิกมือหยิบระฆังดาราที่สั่นไหวอันหนึ่งออกมา แล้วหันมาบอกว่า “เป็นอย่างที่คาดไว้ เหมียวอี้ส่งข้อความมาแล้ว”

ฉินซีรีบหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาช่วยสวมให้เขา รอจนกระทั่งหยางชิ่งเดินออกประตูไปแล้ว นางถึงได้รีบใส่เสื้อผ้าของตัวเอง

ในลานบ้านด้านนอก หยางชิ่งมองดูแสงจันทร์บนท้องฟ้า พลางเขย่าระฆังดาราตอบไปว่า : นายท่าน ไม่ทราบว่ามีธุระอะไร?

เหมียวอี้ : ข้ากับเวยเวยอยู่ด้วยกันพอดี เพิ่งจะพูดถึงเจ้า นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ติดต่อเจ้ามานานแล้ว ทางเจ้ายังสบายดีใช่มั้ย?

หยางชิ่ง : ทุกอย่างปกติดี!

พอมองดูฉินเวยเวยข้างกายที่อ่อนโยนดุจสายน้ำ เหมียวอี้ก็ถามต่อว่า : เจ้าบอกเรื่องที่ข้าเตรียมจะลงมือกับร้านค้าในตลาดสวรรค์ให้ฮูหยินรู้เหรอ?

หยางชิ่ง : ข้าน้อยกลัวว่าเรื่องนี้จะผิดพลาด เป็นห่วงความปลอดภัยของเวยเวย เลยอยากจะให้ฮูหยินช่วยเตือนอยู่ทางนั้นสักหน่อย หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด จะได้ปลีกตัวออกมาได้สะดวก

เหมียวอี้ : ฟังจากที่เจ้าพูด เจ้ารู้สึกว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไร?

ฉินซีที่ปล่อยผมยาวเดินออกมาจากเรือนพัก ดวงตาฉายแววสอบถาม หยางชิ่งจึงกดมือนางไว้ บอกใบ้ว่าอย่ารบกวน แล้วตอบเหมียวอี้ต่อว่า : มีความกังวลอยู่บ้างจริงๆ ขอรับ

เหมียวอี้ยิ้มยาหยีขณะที่รับถ้วยน้ำชาจากฉินเวยเวย เขายิ้มคำหนึ่งแล้วส่งคืน ก่อนจะตบตรงโต๊ะยาวข้างๆ กัน บอกใบ้ให้นางมานั่งข้างตัวเอง ส่วนมือก็เขย่าระฆังดาราต่อไป : จุดประสงค์ที่เจ้าบอกฮูหยิน ก็เพราะอยากจะห้ามไม่ให้ข้าลงมือใช่มั้ย?

หยางชิ่ง : มิบังอาจ! จะลงมือหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายท่าน

เหมียวอี้ : ลงมือแล้วยังไง ไม่ลงมือแล้วยังไง?

หยางชิ่งตอบว่า : ข้ารู้ถึงสถานการณ์ของตำหนักสวรรค์ผ่านทางเวยเวยมาบ้างแล้ว ข้าน้อยวินิจฉัยเหตุการณ์ได้อีกอย่างหนึ่ง นายท่านลุยเดี่ยวโจมตีในทัพใหญ่หนึ่งล้าน ทั้งยังได้อันดับเก้าในการทดสอบ กอปรกับความสำเร็จในอดีตของนายท่าน ตอนนี้กลายเป็นคนที่โดดเด่นไปแล้ว จะต้องดึงดูดความสนใจคนระดับสูงจำนวนมากของตำหนักสวรรค์แน่นอน สำหรับนายท่านในตอนนี้ ไม่ว่าจะไปอยู่ใต้บังคับบัญชาใคร ตราบใดที่ไม่ทำอะไรซี้ซั้ว ก็จะได้อยู่อย่างสงบสุขแน่นอน ถ้าอยากได้ความมั่นคงปลอดภัย นายท่านก็อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม ถ้าจะลงมือ ก็ไม่ต้องให้ข้าน้อยพูดอะไรมาก นายท่านเองก็รู้ ว่าจะต้องล่วงเกินผิดใจกับคนมากมายกว่าเดิม ไม่เป็นผลดีต่ออนาคตของนายท่าน

ดึงดูดความสนใจของคนระดับของตำหนักสวรรค์จำนวนมาก? ใช่เหรอ? เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ คิดในใจว่าทำไมข้าไม่รู้สึกแบบนั้นเลย? เหมือนจะไม่มีใครมาถามอะไรข้าสักคนเลยนะ เจ้าหมอนี่อยู่ไกลขนาดนี้ วินิจฉัยได้แม่นยำหรือไม่แม่นยำกันแน่?

เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วถามอีกว่า : แล้วถ้าข้าดื้อดึงจะลงมือล่ะ?

หยางชิ่ง : หากนายท่านดึงดันจะลงมือ ตราบใดที่เตรียมตัวให้เหมาะสม ก็จะยังไม่เกิดปัญหาอะไร ตอนนี้สถานการณ์มีแนวโน้มเอนเอียงมาทางฝั่งนายท่าน ชัดเจนมากว่าราชันสวรรค์มีเจตนาแน่วแน่ที่จะปรับปรุงตำหนักสวรรค์ นี่ก็คือแนวโน้มของสถานการณ์ สาเหตุที่ครั้งก่อนนายท่านลงมือกับร้านค้าพวกนั้นแต่สามารถรอดไปได้ ก็เป็นเพราะราชันสวรรค์เริ่มแสดงความตั้งใจออกมา ทำให้ขุนนางทั้งราชสำนักไม่กล้าบุ่มบ่ามต่อต้าน แต่ว่าครั้งนี้ ราชันสวรรค์แยกตลาดสวรรค์ออกมาให้ราชินีสวรรค์ควบคุมดูแล ก็เพราะอยากจะลดอิทธิพลที่ขุนนางในอาณาเขตนั้นมีต่อตลาดสวรรค์ หนึ่งในจุดประสงค์ของการทดสอบก็คือเปลี่ยนผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ ทำแบบนี้เพราะต้องการจะตัดอิทธิพลที่ขุนนางในอาณาเขตมีต่อตลาดสวรรค์ต่อไป ราชันสวรรค์จะต้องผลักดันแนวโน้มนี้ต่อไปแน่นอน ขุนนางทั้งราชสำนักของตำหนักสวรรค์จะต้องรู้อยู่แก่ใจ นายท่านอยู่ในระบบของตลาดสวรรค์ ถ้าอาศัยแนวโน้มนี้ลงมือ ก็ยังไม่มีอะไรต้องกังวล

เหมียวอี้ : งั้นก็หมายความว่า ถ้าข้าลงมือครั้งนี้ก็จะไม่เกิดปัญหาอะไรใช่มั้ย?

หยางชิ่ง : ถ้านายท่านต้องการจะลงมือจริงๆ ก็จะต้องเตรียมพร้อมให้เหมาะสม ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปได้สูงว่าจะได้ผลตรงกันข้าม! นายท่านเคยลงมือไปแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าลงมือซ้ำเป็นครั้งที่สอง ร้านค้าใหญ่ๆ ของตลาดสวรรค์ก็ไม่ใช่แพะที่รอโดนเชือดเหมือนกัน เป็นไปได้สูงว่าพวกเขาจะเตรียมพร้อมป้องกันไว้แล้ว ถ้านายท่านดันทุรังจะลงมือ ก็มีโอกาสสูงว่าจะเกิดปัญหา!

เหมียวอี้ : พวกเขายังจะกล้าขัดกฎระเบียบของตำหนักสวรรค์อีกเชียวเหรอ?

หยางชิ่งถามกลับว่า : ชีวิตสำคัญกว่าหรือกฎสวรรค์สำคัญกว่า? นายท่านตัดหัวอย่างไร้ความปรานี ถ้าแม้แต่ชีวิตยังรักษาไว้ไม่ได้ ใครจะยังกลัวกฎสวรรค์อีก? เพื่อป้องกันไม่ให้นายท่านเอาชีวิตพวกเขา พวกเขาย่อมให้ความสำคัญกับการปกป้องชีวิตตัวเองเป็นอันดับแรก!

คำพูดนี้ได้ปลุกเหมียวอี้ให้ตื่นขึ้นมาทันที ที่หยางชิ่งพูดนั้นมีเหตุผล เป็นไปได้สูงว่าหมาจนตรอกจะทำได้ทุกอย่าง ถ้าเปลี่ยนเป็นตัวเอง แทบจะเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว ยังจะสนใจกฎสวรรค์อะไรอีก ถ้าร้านค้าพวกนั้นรวมตัวกันต่อต้านขึ้นมา อาศัยกำลังพลใต้บังคับบัญชาของเขาก็ต้านไม่ไหว จึงถามยืนยันทันที : เจ้าหมายความว่า พวกเขาจะใช้กำลังสู้กับข้าเหรอ?

หยางชิ่ง : ถ้าอยากจะต่อต้านอำนาจของนายท่านที่ตลาดสวรรค์ วิธีการปกป้องชีวิตก็มีอยู่สามวิธี…หนึ่ง ให้เบื้องบนข่มระงับให้ นำคำสั่งลับจากเบื้องบนมาซ่อนไว้ในมือก่อน ถ้านายท่านลงมือ พวกเขาก็จะเผยคำสั่งนี้ทันที จะกดดันให้นายท่านถอนกำลัง หากนายท่านกล้าขัดคำสั่ง ความรับผิดชอบก็จะมาตกอยู่ที่ตัวนายท่านแล้ว แต่เบื้องบนน่าจะไม่มีใครออกคำสั่งแบบนี้ ถ้าเบื้องบนเดาออกว่าท่านจะลงมือ แล้วไม่ขัดขวางล่วงหน้า เบื้องบนก็จะหนีความรับผิดชอบไม่พ้นอยู่ดี วิธีการที่เป็นไปได้มากที่สุดที่เบื้องบนจะทำ ก็คือกดดันเตือนล่วงหน้า ไม่ให้ท่านทำอะไรซี้ซั้ว สอง ปิดกิจการแล้วหนีออกไปหลบภัยชั่วคราว แต่ข้าได้ฟังสถานการณ์มาจากเวยเวยแล้ว เหมือนจะไม่มีใครทำแบบนี้ เช่นนั้นวิธีที่สามก็มีความเป็นไปได้มาก เป็นไปได้สูงว่าร้านค้าพวกนั้นจะให้ยอดฝีมือมานั่งคุมร้านแล้ว ถ้าหากนายท่านใช้กำลัง พวกเขาก็อาจจะใช้กำลังเหมือนกัน ขอเพียงพวกเขาร่วมมือกันทำแบบนี้ นยาท่านก็จะตายสถานเดียว ถ้าไม่โดนสังหารตายคาที่ ก็โดนจับเป็น และจุดจบสุดท้ายก็คือโทษประหารแน่นอน!

เหมียวอี้ได้ยินแล้วตกใจทันที

เป็นเพราะหยางชิ่งเดาความเป็นไปได้แรกแม่นยำแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินได้บอกเขาแล้วจริงๆ ว่าไม่ให้เขาทำซี้ซั้ว ร้านค้าพวกนั้นก็กำลังดำเนินกิจการตามปกติ เท่ากับว่าความเป็นไปได้ที่สองก็ถูกตัดทิ้งแล้วเช่นกัน หรือพูดได้อีกอย่างว่าความเป็นไปได้อย่างที่สามที่หยางชิ่งบอกมีโอกาสเกิดขึ้นสูงมาก!

“เป็นอะไรไป?” ฉินเวยเวยที่ยังนั่งอยู่ข้างๆ รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเหมียวอี้มีสีหน้าแปลกไป นางกำลังเงยหน้าถามเขา

“ไม่มีอะไร กำลังปรึกษาเรื่องบางอย่างกับพ่อเจ้า” หลังจากเหมียวอี้ตอบส่งๆ ก็ถามหยางชิ่งต่อว่า : ถ้าพวกเขากล้าทำแบบนี้จริงๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับการก่อกบฏ เกรงว่าคนที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาก็จะรับผิดชอบผลที่ตามมาไม่ไหวเหมือนกัน!

หยางชิ่ง : นายท่าน ถ้าคนที่อยู่เบื้องหลังพวกเขารวมตัวกัน ก็เรียกได้ว่าอำนาจอิทธิพลสูงทะลุฟ้า! ก็เป็นเพราะผลลัพธ์แบบนี้ร้ายแรง ข้อหาหนักแบบนี้จึงไม่มีทางไปถึงตัวพวกเขา เป็นไปไม่ได้ที่ราชันสวรรค์จะประหารขุนนางที่ปกครองใต้หล้าให้เขาจนหมด ราชันสวรรค์จะประหารขุนนางใหญ่ของตัวเองทั้งหมดเพื่อผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ต่ำต้อยอย่างนายท่านคนเดียวเหรอ? เป็นไปไม่ได้แน่นอน! ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ราชันสวรรค์ก็กำลังกำลังปรับปรุงตำหนักสวรรค์ เดิมทีพวกขุนนางก็ไม่พอใจอยู่แล้ว มีอารมณ์ขัดแย้ง ราชันสวรรค์ไม่มีทางปล่อยให้เกิดผลกระทบกับสถานการณ์โดยรวมเพื่อนายท่านหรอก เพื่อเลี่ยงไม่ให้มีคนเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้าง จะต้องเอานายท่านมาระงับความเดือดดาลของฝูงชนแน่นอน แบบนั้นคนที่ตายก็จะมีแค่นายท่านคนเดียว! ไม่ว่าพวกเขาจะสังหารนายท่านให้ตายคาที่ หรือจะจับเป็น แต่ก็จะต้องยัดข้อหาให้นายท่านเพื่อให้คำอธิบายคนคนในใต้หล้าแน่นอน ถึงตอนนั้นนายท่านก็จะตายสถานเดียว!

เหมียวอี้พลันหยุดหายใจ แทบจะเหงื่อแตกเต็มตัว ก่อนหน้านี้นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าผลที่ตามมาจะร้ายแรงขนาดนี้ พออาการบรรเทาแล้ว ก็ถามว่า : ถ้าพูดแบบนี้ อย่าบอกนะว่าครั้งนี้ข้าทำได้เพียงข่มความโกรธนี้ไว้?

หยางชิ่ง : ถ้านายท่านไม่อยากข่มความโกรธนี้ไว้จริงๆ ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ก็อย่างที่ข้าบอก จะต้องเตรียมตัวล่วงหน้าให้เหมาะสม ถ้าจะลงมือก็ต้องพาตัวเองไปยืนอยู่ในจุดที่ไม่แพ้ก่อน! นายท่านมีเหตุผลในการลงมืออยู่แล้ว ปัญหาในตอนนี้ก็คือ ถ้าสู้กันซึ่งๆ หน้าแล้วใครจะแพ้ใครจะชนะ คนแพ้มักเป็นโจร คนชนะมักมีเหตุผลแก้ตัว ถ้าชนะแล้วก็ย่อมอธิบายเหตุผลของตัวเองได้ เพราะคนตายพูดอะไรไม่ได้ ถ้าแพ้แล้วก็ทำได้แค่ตายไป!

เหมียวอี้ : จะรับมืออย่างไรก็อธิบายมาให้ละเอียด!

หยางชิ่ง : นายท่านกุมอำนาจของตลาดสวรรค์เอาไว้ ก็เท่ากับมีอำนาจในการเริ่มก่อน ทั้งยังรู้ถึงทางหนีทีไล่ของอีกฝ่ายอย่างทะลุปรุโปร่ง ดังนั้นถ้าอยากจะชนะก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่! นายท่านสามารถแสดงท่าทีขอเจรจาสงบศึกเพื่อทำให้คู่ต่อสู้ประมาท แล้วจัดงานเลี้ยงที่ตำหนักคุ้มเมือง เชิญผู้จัดการร้านของเขตเมืองที่พอจะมีหน้ามีตามาร่วมงาน แบบนั้นจะต้องมีคนสงสัยในใจและไม่กล้ามาร่วมงานแน่นอน แต่นี่ก็ไม่ใช่อุปสรรคใหญ่โต! เมื่อผ่านไปสักระยะก็จัดงานเลี้ยงแล้วเชิญผู้จัดการร้านของอีกเขตเมืองมาร่วมงานอีก ถ้าไม่มีเรื่องต่อเนื่องกันซ้ำๆ แบบนี้ ก็จะทำให้คนคลายความระมัดระวังแน่นอน ตอนนี้ต้องคิดหาทางซื้อใจผู้จัดการร้านสักคนให้ประกาศต่อหน้าทุกคนว่าจะเลี้ยงนายท่านกลับ ด้วยสัมพันธภาพทางสังคมแบบนี้ คาดว่าคงจะไม่มีผู้จัดการร้านคนอื่นคัดค้าน การที่นายท่านตั้งใจขอเจรจาสงบศึก ก็ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธการเชื้อเชิญได้ หลังจากอำนาจฝ่ายรุกไปอยู่ในมือของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็จะไม่สงสัยอะไรอีก จะต้องมาร่วมงานทั้งหมดแน่นอน คราวนี้นายท่านก็ต้องเตรียมพร้อม ภายใต้สถานการณ์ที่จำเป็น ถ้าไม่มีความมั่นใจเต็มร้อย เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด นายท่านก็สามารถลงมือได้เลย ไม่ให้โอกาสพวกเขาได้ขัดขืน ประหารทันที ในเวลานี้กำลังพลของนายท่านต้องออกมาเคลื่อนไหวทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ไปยึดทรัพย์และสั่งปิดร้านค้าใหญ่ๆ! ตอนที่ตรวจค้นก็ต้องให้ลูกน้องถือหัวของผู้จัดการของร้านนั้นๆ ไปด้วย ประกาศว่าผู้จัดการร้านยอมรับผิดแล้ว แล้วสั่งว่าถ้าใครยอมรับผิดจะไม่ฆ่า พอในร้านไม่มีหัวหน้าคอยตัดสินใจ ลูกน้องที่ไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึกก็ย่อมไม่กล้าฝ่าฝืนกฎสวรรค์ แบบนี้ก็จะไม่มีใครรอดไปได้! แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่นายท่านต้องระวังไว้ ยอดฝีมือที่อยู่ในร้านค้าเหล่านั้นยังคงเป็นภัยคุกคาม ถ้าตอนนายท่านลงมือแล้วหลบไม่ทัน ก็อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามเด็ดขาด จะได้ไม่กลายเป็นสุนัขกระโดดกำแพงเสียเอง!

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset