พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 922

 เพิ่มอีกสักคน

“ท่านปราชญ์!” อวิ๋นจือชิวที่เดินมาถึงข้างโต๊ะเครื่องแล้วแล้วทำความเคารพ

ดวงตาหงส์ที่สวยวิจิตรลืมขึ้นอย่างช้าๆ ตอนที่ไม่มีเครื่องประดับใดๆ กอปรกับแววตาที่อ่อนโยนกว่าปกติ ท่วงทีที่สง่างามและสวยสดใสได้แสดงออกมาอย่างเต็มที่ ขณะที่มองดูอวิ๋นจือชิวผ่านกระจก มู่ฝานจวินจะกล่าวทักทายเสียงเบา “นางหนูอวิ๋นมาแล้วเหรอ”

นางหนู? ข้าโตจนอายุกี่ปีแล้ว! อวิ๋นจือชิวค่อนข้างพูดไม่ออก คำเรียกนี้มักทำให้อวิ๋นจือชิวรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว เป็นเพราะมู่ฝานจวินเรียกนางแบบนี้บ่อยๆ แต่นางก็ไม่เคยชินเลย เพียงขานรับว่า “ค่ะ!”

มู่ฝานจวินพยักหน้า แล้วก็เป็นเหมือนอย่างเคย อวิ๋นจือชิวเดินมาหยิบหวีหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วเริ่มหวีผมยาวสยายให้นางอย่างระมัดระวัง

ตอนที่บังเอิญเห็นมู่ฝานจวินกำลังจ้องมองสำรวจตัวเองผ่านกระจก อวิ๋นจือชิวก็รีบหลบสายตา แต่มู่ฝานจวินพูดเปิดว่า “นางหนูอวิ๋น เจ้ามีความเห็นอย่างไรกับการที่ผู้ชายมีภรรยาหลายคน?”

มือของอวิ๋นจือชิวหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงถามเช่นนี้ จึงตอบไปส่งๆ ว่า “ประเพณีนิยมของสังคมเป็นเช่นนี้ หัวใจของคนในใต้หล้าเป็นเช่นนี้ ภายใต้แนวคิดที่ฝังรากลึก ผู้หญิงเองก็ตัดสินใจอะไรไม่ได้ค่ะ”

“อืม! พูดได้ดี” มู่ฝานจวินจ้องนางพลางถามว่า “ถ้าผู้ชายของเจ้ามีภรรยาหลายคน เจ้าจะรับได้รึเปล่า?”

อวิ๋นจือชิวยิ้มบางๆ “ย่อมรับได้อยู่แล้วค่ะ เพียงแต่ผู้ชายของข้า ไม่ว่าใครก็แย่งไปไม่ได้” ในน้ำแสดงให้เห็นความมั่นใจหลายส่วน

มู่ฝานจวินพยักหน้าเล็กน้อย “เรื่องนี้ข้าเชื่อ ข้าเองก็ดูออก พวกเจ้าสองสามีภรรยามีความรักให้กัน… แต่สำหรับผู้ชาย ความรักกับความปรารถนาเป็นคนละเรื่องกัน ข้าได้ยินว่าข้างกายเหมียวอี้ก็มีหญิงรับใช้สองคนเหมือนกัน และได้ร่วมห้องตั้งนานแล้วด้วย อย่าบอกนะว่ายามปกติเจ้าไม่ปล่อยให้เหมียวอี้แตะต้องพวกนาง?”

อวิ๋นจือชิวไม่รู้ว่าทำไมวันนี้นางจึงพูดโยงมาถึงเรื่องนี้ นางยิ้มพร้อมตอบว่า “ก็ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ หญิงรับใช้ทั้งสองอยู่กับเขามาก่อนข้า ไม่ว่าจะเป็นกับข้าหรือกับเขา พวกนางก็จงรักภักดีมาก ต่อให้ระหว่างพวกเขาจะไม่ใช่สามีภรรยากัน แต่ก็มีพฤติกรรมเหมือนกับสามีภรรยา ต่อให้ข้าน้อยเห็นแก่ตัวกว่านี้ก็ไม่อาจฝืนแยกพวกเขาได้ เรื่องบางเรื่องต้องมองให้กว้างเข้าไว้ อะไรที่ผ่อนปรนได้ก็ต้องผ่อนปรน”

มู่ฝานจวินถอนหายใจแล้วบอกว่า “เจ้าพูดไม่ผิดหรอก คนเรามีชีวิตอยู่ในโลก เรื่องบางเรื่องก็ต้องมองให้กว้างเข้าไว้ ต้องมองไปข้างหน้า ถ้ามัวคิดเล็กคิดน้อยก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี เจ้าเป็นคนที่เข้าใจหลักการเหตุผลชัดเจน นางหนู ถ้าข้าจะประทานอนุภรรยาให้เหมียวอี้อีกสองคน เจ้าจะยินยอมรึเปล่า?”

ในชั่วพริบตาเดียว อวิ๋นจือชิวก็เข้าใจแล้วว่าทำไมนางจึงโยงมาถึงเรื่องนี้ได้ อดไม่ได้ที่จะชะงักอยู่อย่างนั้น มองดูตัวเองในกระจกอย่างค่อนข้างตกตะลึง

ล้อเล่นอะไรกัน ต่อให้เป็นผู้หญิงที่ใจกว้างกว่านี้ แต่ก็รับไม่ได้ที่ข้างกายผู้ชายของตัวเองจะมีผู้หญิงแปลกหน้าเพิ่มเข้ามา

มู่ฝานจวินจ้องมองนางผ่านกระจก “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น ถ้าเจ้ายินยอม ข้าก็จะประทานให้เขาสองคน แต่ถ้าเจ้าไม่ยินยอม ข้าก็ไม่ฝืนใจเหมือนกัน แค่ถามความเห็นของเจ้าเท่านั้น ข้าเองก็เป็นผู้หญิง ไม่ฝืนใจเจ้าด้วยเรื่องแบบนี้แน่นอน และไม่อยากเห็นเจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมแบบนี้ด้วย”

ก็ต้องไม่ยินยอมอยู่แล้วล่ะ! ผู้หญิงที่ไหนจะยินยอมกับเรื่องแบบนี้ล่ะ ถ้าเป็นไปได้ อวิ๋นจือชิวก็อยากจะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ แม้แต่เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่ต้องมีอยู่ถึงจะดี! แต่นางก็รู้ว่ามู่ฝานจวินพูดแบบนี้จะต้องมีสาเหตุแน่ จึงถามอย่างสงสัยว่า “สองคนเหรอคะ?”

นางแปลกใจนิดหน่อย เจ้าบอกว่าจะประทานให้คนเดียวก็พอแล้ว ทำไมต้องประทานให้สองคน?

“อืม!” มู่ฝานจวินพยักหน้า “สองคน จะบอกว่าคนเดียวก็ได้ จะบอกว่าสองคนก็ไม่ผิด ถึงอย่างไรก็เป็นคนเป็นๆ คู่หนึ่ง ลูกสาวฝาแฝดของอันหรูอวี้ลูกศิษย์ข้าเอง ตอนแรกข้าก็เคยบอกเรื่องข่าวลือระหว่างเหมียวอี้กับพวกนางให้เจ้ารู้ ข้าไปยืนยันเรื่องนี้กับอันหรูอวี้มาแล้ว พวกเขาเคยมีความสัมพันธ์กันจริงๆ แต่เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องนี้เหมียวอี้ไม่ใช่คนผิด…”

นางพูดเรื่องที่เหมียวอี้โดนขืนใจได้อย่างไม่รำคาญใจ แต่อวิ๋นจือชิวเรียกได้ว่าฟังแล้วกัดฟันกรอด ใช่ว่านางจะไม่รู้เรื่องนี้ เพียงแต่พอได้ยินแล้วไม่สบอารมณ์ รู้สึกเลี่ยนในใจ รอจนกระทั่งมู่ฝานจวินเล่าเสร็จ อวิ๋นจือชิวก็บอกว่า “ข้าเคยถามเหมียวอี้เรื่องนี้แล้ว เขาสารภาพกับข้าแล้วค่ะ”

“อ้อ! งั้นก็ถือว่าข้าพูดมากไปก็แล้วกัน เจ้าเองก็คงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่สำนักงามวิจิตรมาแล้ว สาเหตุที่อันหรูอวี้วางแผนทำร้ายเขา ก็เป็นเพราะเรื่องลูกสาวของนาง เจ้าเองก็รู้ถึงประเพณีค่านิยมของโลกนี้ ถ้าให้ลูกสาวนางไปแต่งงานกับคนอื่น เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายคนอื่น ก็เลิกคิดไปได้เลยว่าชาตินี้จะได้เงยหน้าอ้าปาก ถ้าจะไม่แต่งงานไปตลอดชีวิตเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ อันหรูอวี้ก็วุ่นวายใจไปทั้งชาติเหมือนกัน กับเรื่องแบบนี้ สำหรับคนเป็นแม่มันคือความทุกข์ที่ไม่อาจแก้ได้ เรื่องที่สำนักงามวิจิตร ข้าต้องลงโทษนางแน่นอน เวลาหนึ่งหมื่นปีที่ฮูเหยียนไท่เป่ายืนหันหน้าเข้ากำแพงเพื่อสำนึกผิด เวลาที่เหลือก็ให้นางมารับช่วงต่อ ส่วนโอวหยางกวงท่านทูตสายชวดก็ควรลงจากตำแหน่ง แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นลูกศิษย์ข้า หลายปีมานี้ต่อให้ไม่ได้สร้างผลงานแต่ก็ลำบากทำงาน เป็นไปไม่ได้ที่อาจารย์อย่างข้าจะไม่เหลือทางหนีทีไล่ให้พวกเขา ถ้าแม้แต่ลูกศิษย์ตัวเองยังเอาใจออกห่าง ต่อไปก็คงไม่มีใครทำงานให้ข้าแล้ว ดังนั้นเรื่องชีวิตการแต่งงานของลูกสาวนาง ข้าจึงรับผิดชอบให้ทั้งหมด ที่ตอนนี้ยังไม่ทำโทษพวกเขา ก็เพื่อให้เกียรติลูกสาวของนางก่อนแต่งงาน หลังจากแต่งงานแล้วก็ต้องรับการลงโทษ นางหนูอวิ๋น ข้าพูดถึงขั้นนี้แล้วเจ้าต้องแสดงความเห็นสักหน่อยแล้วนะ!”

ก็เจ้ารับปากไปแล้ว ยังจะมาถามข้าทำไมอีกล่ะ? อวิ๋นจือชิวหงุดหงิดใจมาก กลับคิดว่าสิ่งที่มู่ฝานจวินบอกว่าขอความคิดเห็นจากนาง เป็นเพียงการแสร้งทำเท่านั้น ไม่เหลือทางไว้ให้นางปฏิเสธเลย น้องสาวของเหมียวอี้ถูกบีบอยู่ในมืออีกฝ่าย… นางถามอย่างสับสนมากว่า “ลูกสาวของคุณชายรอง จะให้แต่งมาเป็นอนุภรรยาได้อย่างไรคะ”

“ถ้าไม่ให้เป็นอนุภรรยาแล้วจะให้เป็นอะไรล่ะ? จะให้เจ้าถอยออกจากตำแหน่งภรรยาเอกเชียวหรือ? แบบนั้นข้าไม่ตอบตกลงหรอก!” มู่ฝานจวินยื่นมือไปกุมมือนางเอาไว้ แล้วใช้มือีกข้างลูบหลังมือนางเบาๆ “นางหนู เมื่อครู่นี้เจ้าก็บอกเอง เรื่องบางเรื่องต้องมองให้กว้างเข้าไว้ อนุภรรยาแค่สองคนเท่านั้น เข้าไปอยู่ในบ้านเจ้าก็ต้องเชื่อฟังเจ้าอยู่ดี เจ้าต่างหากที่เป็นนายหญิงที่แท้จริง พวกนางสองคนเชื่อฟังเจ้า โอวหยางกวงกับฮูหยินก็ต้องไว้หน้าเจ้าเช่นกัน ในภายหลังก็จะช่วยเหลือเจ้าได้เยอะ ไม่คุกคามตำแหน่งของเจ้าหรอก เจ้าคิดว่าทำไมข้าถึงลดขั้นเหมียวอี้ให้เป็นที่ปรึกษาของประมุขปราสาทอย่างเจ้าล่ะ? ก็เพราะไม่อยากให้มีคนมาคุกคามตำแหน่งเจ้าบ้านของเจ้า สาเหตุที่ข้ายังไม่แต่งตั้งท่านทูตสายมะโรง ก็เพราะจะเก็บไว้ให้เจ้าไง ต่อไปนี้เจ้าคือผู้มีอำนาจตัดสินใจของบ้านนั้น เรื่องหลงเมียน้อยกำจัดเมียหลวงจะไม่เกิดขึ้นกับเจ้าแน่นอน ที่สำคัญที่สุดก็คือ ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นหลานสาวของอวิ๋นอ้าวเทียน ให้เจ้าเป็นท่านทูตของแดนเซียนคงไม่เหมาะ แต่ถ้าเหมียวอี้แต่งงานกับลูกสาวของลูกศิษย์ข้า แบบนั้นก็พอฟังขึ้นแล้ว มีความสัมพันธ์กับข้าทางอ้อมแบบนี้แล้ว ถ้าให้เจ้าเป็นท่านทูต คนอื่นก็ว่าอะไรไม่ได้ อย่างน้อยสองพี่น้องตระกูลอันกับโอวหยางกวงก็ต้องสนับสนุนเจ้าแน่นอน นางหนู ข้าตั้งใจจะสนับสนุนเจ้า ข้าคิดทบทวนอย่างหนักเลยนะ เจ้าดูไม่ออกเชียวหรือ?”

คิดทบทวนอย่างหนัก? เจ้ามีเจตนาดีที่จะสนับสนุนข้าขนาดนั้นเลยเหรอ? อวิ๋นจือชิวกัดริมฝีปาก ในที่สุดตอนนี้นางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมจู่ๆ อันหรูอวี้กับโอวหยางกวงมาตีสนิทตน จึงแข็งใจบอกไปว่า “ข้าไม่สนใจตำแหน่งชื่อเสียงพวกนั้นหรอกค่ะ เรื่องนำสามีตัวเองมาแลกกับตำแหน่ง ข้าทำไม่ลงหรอกค่ะ”

“เหลวไหล! ใครบอกว่าว่านำสามีเจ้ามาแลกกับตำแหน่งของเจ้า? นี่เป็นงานสมรสที่ข้าประทานให้!” มู่ฝานจวินทำหน้าเคร่งขรึมทันที จับมือนางไว้แน่น เอียงหน้ามองนาง พร้อมกล่าวด้วยสายตาคมกริบ “นางหนู ผู้ชายน่ะพึ่งพาไม่ได้ทั้งนั้น สุดท้ายเจ้าก็ต้องพึ่งพาตัวเอง ภูมิหลังของเจ้าได้กำหนดแล้วว่าเจ้าจะใช้ชีวิตธรรมดาไม่ได้ ปฏิเสธแนวคิดชายเป็นใหญ่เหมือนที่ปู่เจ้าสอนซะ ใครบอกว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะต้องโดนผู้ชายควบคุมไปทั้งชีวิต? ในเมื่อเจ้ามาอยู่ข้างกายข้าแล้ว ข้าไม่มีทางให้เจ้าใช้ชีวิตธรรมดาต่อไปหรอก ตำแหน่งท่านทูตนี้ เจ้าไม่อยากเป็นก็ต้องเป็น เอาตามนี้แล้วกัน!”

อวิ๋นจือชิวอยากจะบอกมากว่า ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าทำไมท่านปูข้าไม่มีทางอยู่ร่วมกับเจ้าได้ ในโลกนี้มีผู้ชายคนไหนทนรับผู้หญิงประเภทนี้ได้บ้าง ต่อให้เจ้าจะสวยกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์

ทว่านางก็ไม่กล้าพูดคำนี้ออกไป เพียงกัดฟันตอบว่า “เรื่องนี้ข้าตอบตกลงไปก็ไม่มีประโยชน์ ยังต้องถามความเห็นเหมียวอี้ค่ะ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนรับอนุภรรยา หากเขาไม่ชอบ บังคับไปก็ไม่มีประโยชน์” ถึงแม้จะไม่ได้ต่อต้านอย่างแข็งกร้าว แต่ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะตัดสินใจได้

มู่ฝานจวินถามกลับ “ข้างกายมีผู้หญิงเพิ่มขึ้น เจ้าคิดว่ามีผู้ชายคนไหนไม่ชอบบ้าง? ลูกสาวของอันหรูอวี้หน้าตางดงามใช้ได้เลย ฝาแฝดคู่หนึ่งที่รูปโฉมงดงามดุจดอกไม้ไปเป็นอนุภรรยาเขา เป็นวาสนาทางความรักที่คนอื่นไขว่คว้าไม่ได้ ต่อให้เป็นแค่ความฝัน ก็เกรงว่าเขาจะแอบดีใจ เจ้าเอาความกล้าจากไหนมารับประกันว่าเขาจะไม่ชอบ?”

อวิ๋นจือชิวหน้าซีดทันที ใช่แล้วล่ะ นางเองก็ไม่กล้ารับประกันว่าเหมียวอี้จะไม่ชอบ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือนางไม่อยากยอมรับ เป็นนางเองที่ช่วยพูดแทนเหมียวอี้ว่าไม่ชอบ

นางยกมือขึ้นช้าๆ เริ่มหวีผมให้มู่ฝานจวินอย่างช้าๆ

มู่ฝานจวินเองก็ไม่ได้กดดันนางมากเกินไป เพราะรู้ว่าต่อให้นางไม่ตอบตกลงก็ต้องตอบตกลง

หลังจากเงียบไปนาน สุดท้ายอวิ๋นจือชิวก็เอ่ยว่า “ข้าน้อยตอบตกลงก็ได้ค่ะ เพียงแต่ข้าน้อยมีเรื่องจะขอร้องหนึ่งอย่าง”

“ว่ามา!” มู่ฝานจวินกล่าวตรงๆ

“นอกจากฝาแฝดคู่นั้นแล้ว บวกเพิ่มไปอีกสักคนได้มั้ยคะ ท่านปราชญ์ได้โปรดประทานงานสมรสให้พร้อมกันเลย!”

“บวกเพิ่มอีกคนเหรอ?” มู่ฝานจวินแปลกใจมาก นางกำลังจ้องมองคนในกระจก คิดไม่ตกไปชั่วขณะว่าหมายความว่าอย่างไร แต่ไม่นานก็เข้าในใจทันที จึงกล่าวว่า “เจ้ากังวลว่าภูมิหลังของสองฝาแฝดจะทำให้เจ้าควบคุมพวกนางไม่ไหว จึงอยากจะเพิ่มอีกสักคนมาสร้างสมดุลเหรอ? อืม! คิดได้แบบนี้ก็ถูกต้องแล้ว เจ้าเป็นคนมีความตั้งใจ นี่คือท่าทีของผู้ที่ควบคุมดูแลบ้านควรจะมี ข้าตอบตกลงเจ้า!”

อวิ๋นจือชิวหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ผู้หญิงประเภทนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็สามารถคิดโยงไปถึงหนทางของตัวเองได้ และนับถือนางจริงๆ ไม่แปลกใจที่ท่านปู่ข้าทิ้งเจ้า…

เมื่อกลับถึงปราสาทดำเนินสุริยัน บัณฑิตที่เฝ้าประตูตำหนักหลังก็เปิดค่ายกลแปดทิศ ช่างไม้กับช่างหินหามเกี้ยวเข้ามาในตำหนักหลัง

เมื่อวางเกี้ยวลง อวิ๋นจือชิวเพิ่งก้าวออกมาจากเกี้ยว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็เข้ามาคำนับแล้ว อวิ๋นจือชิวมองไปรอบๆ แล้วถามส่งเดชว่า “นายท่านล่ะ?”

“นายท่านกำลังฝึกตนค่ะ” เชียนเอ๋อร์ตอบ

อวิ๋นจือชิวแปลกใจทันที “ข้าให้ประมุขตำหนักฉินอยู่เล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนนายท่านไม่ใช่เหรอ?”

เชียนเอ๋อร์ตอบว่า “หลังจากประมุขปราสาทไปได้ไม่นาน ผู้การใหญ่หยางก็ส่งคนมาเชิญประมุขตำหนักฉินไปหา แล้วนายท่านก็ไปฝึกตนเจ้าค่ะ”

“เจ้าไปดูซิว่าประมุขตำหนักฉินยังอยู่ที่จวนผู้การใหญ่รึเปล่า ถ้ายังอยู่ ก็เชิญนางมาพบข้าหน่อย ข้ามีธุระจะคุยกับนาง” อวิ๋นจือชิวพูดทิ้งไว้แล้วเดินเข้าตำหนักทันที

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง พบว่าวันนี้นางเหมือนจะมีปฏิกิริยาต่างไปจากปกติ

ประตูหินของห้องสมาธิฝึกตนถูกผลักออกโดยอวิ๋นจือชิว ไม่บอกไม่กล่าวสักคำ เห็นเพียงเหมียวอี้ที่กำลังนั่งกุมแสงสีแดงสองกลุ่มในฝ่ามือพลันลืมตา

เมื่อเห็นนางบุกเข้ามา เหมียวอี้ก็ค่อยๆ หยุดฝึกวิชา แล้วขมวดคิ้วถามว่า “เป็นอะไรไป? โมโหอะไรมา?” เขาเองก็ดูออกว่าสีหน้าของอวิ๋นจือชิวดูไม่ดีเท่าไร

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset