พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1332 เป็นไปได้เก้าในสิบ

ตอนนี้เขายังไม่มีทางแน่ใจได้ว่าเฟยหงคือเป้าหมายที่เขาวางกับดักล่อในคืนนี้หรือไม่ ถึงอย่างไรตั้งแต่เฟยหงขึ้นเวทีจนกระทั่งตอนนี้ นางก็เป็นฝ่ายถูกกระทำมาตลอด เป็นคนที่โดนกดดันโดยไม่เต็มใจมาตลอด เป็นคนที่ถูกบังคับ ภายใต้การเฝ้าสังเกตการณ์อย่างเข้มงวดของเขาและเหยียนซิว ก็ยังไม่สังเกตเห็นเลยว่าเฟยหงลงมือวางยาพิษเหมียวอี้

และก็เพราะเหตุนี้เอง ถ้าเฟยหงคือคนที่อำนาจลับผลักออกมาจริงๆ เช่นนั้นกำลังของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาตกตะลึงพรึงเพริดแล้ว เรียกได้ว่าสามารถแทรกซึมเข้าไปได้ทุกที่จริงๆ

ทางนี้เพิ่งจะคลายปากกับดัก ยังคิดอยู่เลยว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีการแบบไหนให้คนมาเข้าใกล้เหมียวอี้ กำลังตั้งตารออยู่พอดี…

ตามการคาดเดาก่อนหน้านี้ ผู้ที่มาควรจะเป็นคนที่มีภูมิหลังเป็นคนของทางการ จากนั้นก็อนุมานว่าจะเข้ามาอยู่ในตำหนักคุ้มเมืองอย่างไร หยางชิ่งกำลังอยากจะรู้เหมือนกันว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้ อีกฝ่ายจะมีวิธีการอะไรเพื่อเข้ามาพัวพันได้ แต่ใครจะคิดว่าจะมีเฟยหงที่เป็นนางคณิกาของหอนางโลมโผล่มา ช่างเหนือความคาดหมายของหยางชิ่งจริงๆ

ไม่ใช่จะบอกว่าเฟยหงเข้ามาอยู่ในตำหนักคุ้มเมืองไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม ขั้นตอนการหาบัตรผ่านที่ต่อเนื่องกันต่างหากที่ทำให้เขาตกตะลึงพรึงเพริด

กุญแจสำคัญของปัญหานี้อยู่บนตัวเฟยหง เฟยหงอยู่ที่ตลาดสวรรค์มาหลายพันปีแล้ว รักษาตัวให้พ้นจากปัญหายุ่งยากมาตลอด ทางนี้เปิดจะเปิดปากกับดักเล็กๆ เพื่อไม่ทำให้อีกฝ่ายตื่นตกใจ ปากกับดักถึงขั้นเปิดไม่กว้างด้วยซ้ำ ขนาดหยางชิ่งเองยังรู้สึกเลยว่าอีกฝ่ายเข้าใกล้ได้ยากมาก ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะผลักเฟยหงออกมาได้อย่างเหมาะเจาะมาก

ด้วยความสามารถและชื่อเสียงของเฟยหง การเข้ามาเกี่ยวกันภายใต้โอกาสและสถานที่แบบนี้เหมาะสมเกินไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้คนสงสัยด้วย

แบบนี้แปลว่าอะไรล่ะ? แปลว่าเพื่อที่จะเข้าใกล้เหมียวอี้ อีกฝ่ายไม่ได้เตรียมไพ่อย่างเฟยหงไว้แค่ใบเดียวแน่นอน กำลังรอโอกาสเคลื่อนไหวมาตลอด กำลังดูสถานการณ์เพื่อเผยไพ่ ในมือมีไพ่เลือกเยอะมาก เพียงแต่ก่อนหน้านี้ตำหนักคุ้มเมืองไม่เคยให้โอกาสอีกฝ่ายลงมือเลย พอตอนนี้มีงานเลี้ยง จึงถือโอกาสปล่อยไพ่อย่างเฟยหงออกมา

แล้วแบบนี้จะไม่ให้ในใจหยางชิ่งรู้สึกเหมือนโดนคลื่นซัดได้อย่างไร เฟยหงที่ชื่อเสียงโด่งดังมาก แม้แต่คนทั่วไปยังไม่กล้าแตะต้อง ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเพียงเครื่องมือให้คนอื่นใช้งานได้ตามใจประสงค์ ใช้พื้นที่และเวลาที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ ฉวยโอกาสของงานเลี้ยงคืนนี้ส่งนางมาอยู่ใกล้เหมียวอี้แล้ว!

ในขณะที่เขาสังเกตอย่างละเอียด ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่พบความผิดปกติใดๆ บนตัวเฟยหงเลย

ตอนมาดื่มสุราก็ถูกคนกดดันให้มา ตอนถือกาสุรารินให้ก็ถูกกดดันให้ทำเช่นกัน แม้แต่ตอนโดนเหมียวอี้จับมากอดก็เป็นการบังคับเหมือนกันด้วย ตั้งแต่ต้นจนจบเฟยหงล้วนเป็น ‘ผู้บริสุทธิ์’  ทำให้คนไม่เจอจุดที่น่าสงสัยใดๆ บนตัวเฟยหงเลย หรือพูดได้อีกอย่างว่า ตัวเฟยหงเองไม่เผยช่องโหว่อะไรทั้งนั้น วิธีการที่ใช้เข้าหาเหมียวอี้ก็คือโดนกดดัน ไม่อย่างนั้นถ้าโดนกดดันภายใต้สถานการณ์ที่ฉุกละหุกขนาดนี้ ทำไมไม่แสดงอาการผิดปกติอะไรเลยล่ะ เป็นการใช้กลเม็ด ‘ยั่วยวน’ เวลาที่ผู้หญิงปกติทั่วไปโดนบังคับ เป็นไปไม่ได้ที่จะแสดงได้ประณีตละเอียดอ่อนขนาดนี้ อย่างน้อยก็ต้องแสดงอารมณ์ที่ไม่ปกติบ้างสิ ทว่านางร้องเพลงได้ดี บรรเลงเพลงได้ดี อารมณ์เยือกเย็นไม่สะทกสะท้านเลย!

แบบนี้อธิบายได้ว่าอะไรล่ะ? อธิบายได้ว่าเฟยหงก็คือหมากตัวหนึ่งที่อำนาจบางฝ่ายเตรียมเอาไว้แล้ว นางเตรียมใจสำหรับเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว สาเหตุที่แม่เฒ่าลวี่รับนางเป็นลูกสาวบุญธรรม ก็เพื่อปกป้องหมากตัวนี้ไม่ให้โดนคนที่ไม่เกี่ยวข้องทำลาย ถึงได้สร้างเหยื่อล่ออันหอมหวานที่เชี่ยวชาญศิลปะแขนงต่างๆ ขึ้นมา เหยื่ออันงดงามที่พอสบโอกาสเหมาะโยนออกไปก็จะแสดงผลทันที!

เหยื่อล่อที่ใช้ความพยายามมากขนาดนี้เพื่อเตรียมไว้ ไม่น่าเชื่อว่าจะอาจจะเป็นแค่หนึ่งในตัวเลือกเท่านั้น แค่คิดก็รู้แล้วว่าพลังที่อยู่หลังฉากน่ากลัวขนาดไหน!

สิ่งที่ยิ่งแสดงพลังของผู้บงการหลังฉากก็คือ หมากตัวนี้อยู่ใต้หนังตาทุกคนแค่นี้เอง ไม่รู้เลยสักนิดว่าเหมียวอี้โดนวางยาได้อย่างไร จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังคิดไม่ตกเลยว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่!

วิธีการที่แปลกประหลาดขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเหมียวอี้สังเกตได้เองว่าโดน ‘ราคะ’ ในเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ก็ไม่มีทางที่จะทำให้คนสงสัยในตัวเฟยหงได้เลย!

แน่นอน หยางชิ่งก็รู้สึกแปลกใจมากเช่นกันที่เหมียวอี้สังเกตได้ว่าตัวเองโดนพิษ ตามหลักการแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าตัวเองโดนพิษอะไร เมื่อ ‘ราคะ’ ปริมาณเท่านั้นเข้าสู่ร่างกาย ฤทธิ์มันก็จะกำเริบอย่างเงียบๆ ไม่มีทางสังเกตพบได้เลย เพราะนี่คือลักษณะพิเศษของเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา แต่เหมียวอี้ไม่ใช่แค่สังเกตได้ ทั้งยังเหมือนจะถอนพิษได้แล้วด้วย!

สามารถพูดได้ว่า ถ้าเฟยหงเป็นเป้าหมายในคืนนี้จริงๆ สาเหตุที่แผนของฝ่ายตรงข้ามพังในคืนนี้ กุญแจสำคัญเป็นเพราะถูกเหมียวอี้สังเกตได้ว่าตัวเองถูกวางยา ไม่อย่างนั้นด้วยความของเฟยหง บวกกับการมีสุรานารีในงานที่คอยกระตุ้น ถ้าจะบอกว่าผู้ชายคนไหนเกิดอารมณ์ชั่ววูบเพราะนางก็ฟังขึ้นทั้งนั้น เกรงว่าแม้แต่เหมียวอี้เองก็ยังไม่รู้สึกเลยว่ามีอะไรไม่เมาะสม

ความคิดของหยางชิ่งเชื่อมโยงจากเฟยหงไปถึงตัวแม่เฒ่าลวี่ที่ดูแล ‘สวนบรรณาการ’ อาศัยอำนาจอิทธิพลของแม่เฒ่าลวี่ เกรงว่าจะยังไม่มีพลังมากขนาดนั้น แต่แม่เฒ่าลวี่มีวังสวรรค์หนุนหลังอยู่! แม่เฒ่าลวี่ที่ดูแล ‘สวนบรรณาการ’ ของ ‘ตำหนักสวรรค์ก็ ก็ไม่น่าจะถูกอำนาจฝ่ายใดใช้งานเช่นกัน ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะดูแล ‘สวนบรรณาการ’ ให้วังสวรรค์มาได้หลายปีขนาดนี้!

คนที่มีพลังมากขนาดนี้ในวังสวรรค์อาจจะมีไม่น้อย แต่เมื่อดูจากการประมือแบบไม่ต้องเจอหน้ากันหลายครั้งที่ผ่านมา ผู้ที่มีพลังมากขนาดนี้ได้ มีประสบการณ์มากขนาดนี้ได้ ทั้งยังใช้วิธีการได้อย่างเชี่ยวชาญลึกลับจนเทพไม่รู้ผีไม่เห็นแบบนี้! หยางชิ่งแทบจะไม่คิดถึงอย่างอื่นเลย ชั่วพริบตานั้นความคิดอขงเขามุ่งตรงไปที่เป้าหมายด้วย…หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของตำหนักสวรรค์!

นี่ก็คือการพิสูจน์การคาดเดเของเขาก่อนหน้านี้แล้วเช่นกัน คนที่ต้องการจะเข้าใกล้เหมียวอี้อย่างเงียบๆ เกี่ยวข้องกับตำหนักสวรรค์ เป็นไปได้สูงว่าต้องการจะจับตาดูเหมียวอี้ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นระดับแกนกลางของตำหนักสวรรค์ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายที่วังสวรรค์ควบคุมโดยตรง!

เมื่อมือบงการหลักฉากที่ใหญ่ขนาดนี้ลอยตัวขึ้นมา จะไม่ให้หยางชิ่งรู้สึกเหมือนในใจมีคลื่นยักษ์โหมซัดสาดได้อย่างไร ทำไมหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของตำหนักสวรรค์ถึงต้องการจะจับตาดูเหมียวอี้ล่ะ?

ระดับที่แตกต่างกันของบางสิ่งนั้นไกลเกินกว่าจะทำความเข้าใจ ของที่สัมผัสไม่ได้มักจะลึกลับอยู่เสมอ ไม่มีทางศึกษาอย่างละเอียดได้!

อย่าบอกนะว่าอีกฝ่ายค้นพบว่าเหมียวอี้มีความลับอะไรที่ต้องจับตาดู? แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ด้วยพลังของหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของตำหนักสวรรค์ ถ้าสังเกตพบอะไรแล้ว ต่อให้ต้องการจะจับตาดูจริงๆ แต่การรับมือกับเหมียวอี้เล็กๆ คนเดียวก็ไม่จำเป็นต้องให้หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายผู้น่าเกรงขามจะทำเรื่องราวให้ลำบากซับซ้อนขนาดนี้เป็นเวลาหลายพันปี ถ้าไม่สำเร็จจริงๆ ก็คงจับเหมียวอี้ไปสอบสวนตั้งนานแล้ว อาศัยวิธีการของพวกเขา เกรงว่าจะยังทำให้ทำให้เหมียวอี้คายความจริงออกมาไม่ได้ไม่ใช่เหรอ?

แน่นอน การวินิจฉัยตัดสินทุกอย่างล้วนเกิดจากการคาดเดาของเขา การคาดเดาของเขาจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง กุญแจสำคัญก็ขึ้นอยู่กับเฟยหง ต้องดูก่อนว่าหลังจากเหมียวอี้ ‘โดนวางยา’ แล้ว ก่อนจะกลับตำหนักคุ้มเมืองจะมีอีกเป้าหมายโผล่มาหรือไม่ ถ้ามีเป้าหมายอื่นโผล่ออกมาโดยพุ่งเป้ามาที่ ‘ราคะ’ เช่นนั้นก็แปลว่าการคาดเดาของตัวเองก่อนหน้านี้ถูกยกเลิกทั้งหมด

หยางชิ่งเองก็เหนื่อยพอสมควร ปกติคนฉลาดก็คิดเยอะอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเหนื่อย ในหัวเขาไม่ใช่แค่คิดเรื่องที่วุ่นวายไร้ระเบียบ ขณะเดียวกันก็ยังต้องคอยสังเกตการณ์รอบด้านต่อไป

เหยียนซิวยังคงเก็บสองมืออยู่ในแขนเสื้อ ยืนเงียบๆ อยู่อย่างนั้น ราวกับว่าเหมียวอี้ทำอะไรก็ถูกไปหมด ที่จริงเขาติดตามรับใช้เหมียวอี้มาหลายปีขนาดนี้ เหมียวอี้ก็ไม่เคยดูแลเขาไม่ดีเลย ตลอดทางที่เดินมาจนถึงวันนี้ เขามีให้เหมียวอี้เพียงคำว่า ‘เชื่อใจ’ เท่านั้น

สวีถังหรานที่อยู่ด้านล่างอึ้งนิดหน่อย ในสายตาเขาเหมียวอี้ไม่ใช่คนบ้าผู้หญิง วันนี้เหมือนค่อนข้างบุ่มบ่าม หารู้ไม่ว่าสำหรับสายตาที่คอยสอดส่องอยู่อย่างเงียบๆ การบุ่มบ่ามของเหมียวอี้ในวันนี้สิถึงจะถูก การไม่บุ่มบ่ามต่างหากที่เป็นเรื่องแย่

มู่หรงซิงหัวที่นั่งอยู่ตรงข้ามเหลือบมองเหมียวอี้ที่กอดเฟยหงและป้อนสุราอยู่เป็นระยะ บางครั้งนางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไร นางก็ยังยืนอยู่ในมุมของผู้หญิง ไม่ได้รู้สึกดีกับการกระทำของเหมียวอี้ในคืนนี้สักเท่าไร

ในฐานะที่เป็น ‘ตัวละครหลัก’ ที่พวกพ่อค้าจัดงานเลี้ยงฉลองให้ในคืนนี้ ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะด้านล่างบันไดบางครั้งก็ชูจอกสุราและส่งสายตาแลกเปลี่ยนความคิดกัน ทั้งสองรู้ถึงสถานการณ์เบื้องลึกอยู่ก่อนแล้ว รู้ว่าคืนนี้คือกับดักที่เชิญท่านลงโอ่ง ดังนั้นทั้งสองจึงไม่รู้สึกผิดคาดกับเรื่องใดๆ ที่เหมียวอี้ทำในคืนนี้ สิ่งเดียวที่เหนือความคาดหมายก็คือเฟยหงเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้?

จนกระทั่งตอนนี้ทั้งสองยังมองไม่ออกเลยว่าเฟยหงจะมีปัญหาอะไรได้

สำหรับทั้งสองคน หรือสำหรับประมุขถิ่นสี่ทิศ ผลประโยชน์ของพวกเขาผูกติดอยู่กับเหมียวอี้ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเหมียวอี้ พวกเขาก็จะยุ่งยากเหมือนกัน ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เรื่องปล้น ‘สวนท้อ’ ก็มีโทษตายแล้ว

และเหมียวอี้ที่เป็น ‘เจ้าห้า’ ในสายตาของพวกเขา ยิ่งนานวันก็ยิ่งมองไม่ออก มีพลังมากจนทำให้พวกเขาตกใจกลัว เรื่องทดสอบที่แดนเวจีพวกเขาก็รู้ดีที่สุด ว่าไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากเลย เหมียวอี้ใช้วิธีการบางอย่างที่พวกเขาไม่เข้าใจทำให้พวกเขาผ่านด่านนี้ไปได้อย่างราบรื่น พวกเขายังกังวลอยู่เลยว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดกับคนไม่มีภูมิหลังอย่างพวกเขาจนขึ้นนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ไม่ได้หรือเปล่า แต่เหมียวอี้ก็เตรียมตำแหน่งไว้ให้พวกเขาแล้วที่อาณาเขตดาวฟ้าเถาะ พวกเขากังวลอีกว่าก่อนหน้านี้ทำ ‘เรื่องชั่ว’ ด้วยกันกับเหมียวอี้ไว้มากมาย หลังจากแยกกันไปแล้วจะเกิดปัญหายุ่งยากอะไรหรือเปล่า เหมียวอี้บอกว่าไม่มีปัญหาอะไรหรอก ได้สร้างเส้นสายไว้ให้พวกเขาแล้ว ห้พวกเขาปิดปากลูกน้องให้ดีก็พอ

แบบนี้เท่ากับว่าเพียงพลิกฝ่าก็มีอำนาจตัดสินใจในตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ได้สี่ตำแหน่งแล้ว ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ เรื่องที่แม้แต่ผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์ยังจัดการได้ยาก แต่ไม่น่าเชื่อว่า ‘เจ้าห้า’ จะโบกมือเฉยๆ โดยไม่ต้องพูดก็จัดการได้แล้ว จะไม่ทำให้พวกเขาตกใจกลัวได้อย่างไร

ท่านแม่สวีที่อยู่บนชั้นลอยกำลังดูความเคลื่อนไหวด้านล่าง เรียกได้ว่าทั้งโมโหทั้งเฝ้าคอย โมโหที่ในปีนั้นเหมียวอี้ไม่ชอบเสวี่ยหลิงหลง เฝ้าคอยให้เหมียวอี้ทำเกินเลยเพื่อทำลายเฟยหง

ที่จริงความคิดแบบนางก็ไม่ได้มีแค่หอกลิ่นสวรรค์เท่านั้น คณะระบำของหอนางโลมที่อื่นๆ ก็คิดแบบนี้เหมือกนัน…เพื่อร่วมอาชีพคือศัตรูคู่แค้น!

ท่านแม่เฝิงประสานนิ้วทั้งสิบไว้แนบแน่น มองดูสถานการณ์ด้านล่างด้วยความกังวล นางกลัวว่าเหมียวอี้จะทำลายดาวเด่นของนาง เพราะนี่คือต้นไม้เงินต้นไม้ทองของนาง การจะฝึกเลี้ยงเฟยหงออกมาอีกคนไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น  พรสวรรค์ของเฟยหงในปีนั้นเรียกได้ว่าดีมาก หลังจากเติบโตแล้วหน้าตายิ่งงดงามโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่นางเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน จู่ๆ ตัวเองก็เจอครูฝึกหลายคนมาฝึกให้ ทักษะหลายด้านก้าวรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทักษะด้านการแต่งกลอน ร้องเพลง เล่นหมากล้อม เล่นกู่ฉิน วาดภาพ เขียนพู่กันล้วนก้าวหน้าไวมาก บรรยายได้เพียงคำว่าน่าอัศจรรย์เท่านั้น แล้วจะให้นางไปหาต้นไม้เงินต้นไม้ทองดีๆ แบบนี้มาจากไหนอีก? นางย่อมจับไว้แน่นไม่ยอมปล่อยอยู่แล้ว ตัดตวงให้อิ่มก่อนแล้วค่อยขายให้เจ้าของในรวดเดียวต่างหากถึงจะเป็นหลักการที่ถูกต้อง!

คืนนี้ได้กำหนดให้คนพวกนี้มีความคิดแตกต่างกันไป

ตอนที่งานเลี้ยงเลิก ก็ไม่เห็นเป้าหมายอื่นๆ ปรากฏตัว หยางชิ่งแอบทอดถอนใจ สุดท้ายผลลัพธ์ที่ไม่อยากเห็นก็เกิดขึ้นแล้ว เขาเดินไปข้างกายเหมียวอี้ แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของตำหนักสวรรค์!”

เหมียวอี้ตกจทันที ถามว่า “แน่ใจนะ?”

“เป็นไปได้เก้าในสิบ!” หยางชิ่งตอบ

เมื่อเกี่ยวข้องกับอำนาจอิทธิพลที่น่ากลัวขนาดนั้น ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคุยรายละเอียดกันอย่างช้าๆ เหมียวอี้ถามเลยว่า “ทำยังไงดีล่ะ?”

หยางชิ่งตอบว่า “มีแต่ต้องเดินตามแผนของอีกฝ่ายต่อไป หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายไม่ใช่สิง่ที่พวกเราจะต้านทานไหว ทำได้เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้ ถ้าไปเปิดโปงจนอีกฝ่ายอับอายโมโหขึ้นมา…ถ้าหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายผู้สง่าผ่าเผยทำไม่ได้แม้กระทั่งยัดคนเข้ามาในตำหนักคุ้มเมืองตลาดสวรรค์ พวกเขาใช้ความอดทนเต็มที่แล้ว เกรงว่าหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายคงจะไม่ยอมให้ชื่อเสียงถูกทำลายด้วยน้ำมือพวกเรา สรุปก็คือไม่ว่าพวกเขาจะทำอย่างไร ก็อย่าให้พวกเราเปิดโปงได้เด็ดขาด!”

เหมียวอี้เข้าใจความหมายของเขา พวกเขารับผิดชอบผลที่ตามมาไม่ไหว

ที่ว่ากันว่าแขนซ้ายใหญ่กว่าแขนขวาก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล สำหรับคนมากมาย หน่วยตรวจการฝ่ายขวาของตำหนักสวรรค์นับว่าน่าหวาดกลัวมากพอแล้ว แต่หน่วยตรวจการฝ่ายขวาอยู่ในที่แจ้ง ถ้าเรื่องไม่มาถึงตัวก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวที่สุดกลับเป็นหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของตำหนักสวรรค์ นั่นคือดวงตาอันมืดครึ้มน่าสะพรึงท่ามกลางความมืดยามราตรี อีกฝ่ายจับจ้องเจ้าตั้งแต่เมื่อไรเจ้าก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ สามารถเอาชีวิตเจ้าได้ทุกเมื่อ จุดจบของตระกูลหัวหน้าภาคแปดสิบกว่าคนของตลาดสวรรค์ก็เป็นบทเรียนให้เห็นแล้ว

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset