พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1333 จี้เอาตัวไป

หยางชิ่งพยักหน้าเล็กน้อย ชำเลืองมองเฟยหงที่กำลังโดนเหมียวอี้โอบเอว จากนั้นก็ยืนตรงแล้วถอยออกไปยืนด้านหลัง

แขกผู้มีเกียรติด้านบนยังไม่ออกจากงาน คนที่อยู่ข้างล่างก็ไม่สะดวกจะออกจากงานเช่นกัน เสียงเพลงและการระบำบนลานยังไม่หยุด ทุกคนกำลังสังเกตปฏิกิริยาของเหมียวอี้ที่อยู่ด้านบน ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ได้คืบแล้วจะเอาศอกอีกหรือไม่

ผลก็เป็นอย่างที่พวกเขาคาดไว้ เหมียวอี้อุ้มเฟยหงลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวกับทุกคนด้วยรอยยิ้มว่า “คืนนี้ข้ายังสนุกไม่พอเลย เป็นเพราะยังดูเฟยหงเต้นระบำไม่พอ ทุกคนค่อยๆ คุยกันไปนะ ข้าจะเชิญแม่นางเฟยหงไปแสดงเดี่ยวให้ดูที่ตำหนักคุ้มเมือง”  พูดจบก็บังคับพาเฟยหงออกจากที่นั่งไป

เห็นได้ชัดว่าเฟยหงขอร้องด้วยความจนใจ แต่นางก็ถูกเหมียวอี้ควบคุมไว้แล้ว พูดขอร้องอะไรไม่ออก ทำได้เพียงส่ายหน้าอย่างร้อนรนอยู่อย่างนั้น เหมียวอี้จะสนใจได้อย่างไรว่านางจะยอมหรือไม่ยอม

ไห่ผิงซินที่อยู่ข้างๆ กัดริมฝีปากแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เหมือนอยากจะยกกาสุราไปทุ่มใส่หน้าเหมียวอี้ให้ตาย

“ขอรับๆ”

“ผู้บัญชาการใหญ่ค่อยๆ ไป”

คนกลุ่มหนึ่งกุมหมัดคารวะส่งด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจแต่ละคนกลับรู้สึกปลงไม่หาย เกรงว่าการแสดงเดี่ยวจะเป็นเรื่องโกหก ความจริงคือจะกลับไปวาดภาพวาบหวิวกันต่างหาก เกรงว่าดอกไม้งามอย่างเฟยหงคงจะโดนเด็ดในคืนนี้ เฮ้อ ผักดีๆ โดนหมูขวิดทิ้งเสียแล้ว

หวงฝู่จวินโหรวจ้องเหมียวอี้ที่กำลังอุ้มสาวงามอยู่ข้างบน ในแววตาราวกับจะมีไฟลุกขึ้นมา

ท่ามกลางคณะระบำที่รวมตัวกันมาส่งแขก ท่านแม่สวีเม้มปากเกือบจะหลุดขำออกมา

ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ สวีถังหรานละมู่หรงซิงหัวคอยติดตามส่งอยู่ข้างหลังเหมียวอี้ ตอนที่เพิ่งจะเดินออกมาใต้ชายคานอกตึกศาลา ด้านหลังก็มีเสียงตะโกนร้องอย่างรู้สึกผิดดังมา

“ผู้บัญชาการใหญ่ ไม่ได้นะคะ!”

ทุกคนหันกลับไปมอง เห็นเพียงท่านแม่เฝิงกำลังฝืนยิ้มทว่าดูแย่กว่าร้องไห้เสียอีก นางกำลังรีบร้อนวิ่งเข้ามา

ฝูชิงเอียงหน้าเล็กน้อย มีลูกน้องสองคนรีบยื่นมือเข้ามาขวางท่านแม่เฝิงไว้ทันที

“เจ้าเป็นใคร?” เหมียวอี้ที่กำลังอุ้มเฟยหงหันกลับมาถาม

“ผู้บัญชาการใหญ่ เฟยหงคือคนในหอของข้าค่ะ” ท่านแม่เฝิงตอบอย่างเคารพนอบน้อม

อ๋อเหรอ!” เหมียวอี้ถามว่า “ทำไมจะไม่ได้ อย่าบอกนะว่าจ้างเฟยหงมาแสดงเดี่ยวก็ไม่ได้ กลัวว่าข้าจะไม่มีเงินจ่ายรึไง?”

ท่านแม่เฝิงโบกมือซ้ำๆ “ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่ เพียงแต่ตอนนี้ดึกมากแล้ว กลัวว่าจะรบกวนการพักผ่อนของผู้บัญชาการใหญ่”

“ไม่รบกวนหรอก ข้ากำลังมีอารมณ์สนุกสนานได้ที่” เหมียวอี้กล่าว

แรงแขนงัดกับแรงต้นขาไม่ไหว ท่านแม่เฝิงหมดหนทางแล้วจริงๆ นางกัดฟันกระทืบเท้า แล้วบอกตรงๆ ว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ เฟยหงคือบุตรสาวบุญธรรมของแม่เฒ่าลวี่ที่ดูแลสวนบรรณาการ ท่านทำแบบนี้ไม่เหมาะนะ!”

เหมียวอี้จ้องนางเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ในเมื่อเป็นบุตรสาวบุญธรรมของแม่เฒ่าลวี่ มีหรือที่จะข้าจะมองดูนางเสื่อมโทรมอยู่ในสถานบันเทิงต่อไป เหยียนซิว จ่ายเงิน ข้าจะไถ่ตัวแม่นางเฟยหง” พูดจบก็พาเฟยหงหันตัวเดินออกไปทันที

ท่านแม่เฝิงร้องอย่างตกใจทันทีว่า “ไม่ได้นะ ผู้บัญชาการใหญ่ แบบนั้นข้าจะอธิบายกับแม่เฒ่าลวี่ไม่ได้ แม่เฒ่าลวี่ให้ข้าดูแลเฟยหงให้ดีนะ!” นางยังคิดจะเอาชื่อแม่เฒ่าลวี่มากดดันเหมียวอี้ ตอนนี้ใช้ได้แค่วิธีนี้

เงาคนคนหนึ่งถลันเข้ามา เป็นสวีถังหรานนั่นเอง เตะเข้าที่หน้าท้องท่านแม่เฝิงเสียเลย

“อ๊า!” ท่านแม่เฝิงกระเด็นถอนหลังพลางร้องอย่างเจ็บปวด พอตกลงพื้นก็กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง

สวีถังหรานชี้พร้อมตะโกนบอกว่า “ไว้หน้าแล้วแต่ไม่รับไว้ บังอาจตะโกนเสียมารยาทกับผู้บัญชาการใหญ่ ลากไปประหารให้ข้า!”

กลุ่มนางระบำของหอมงกุฏงามตกใจจนหน้าซีดทันที ทหารสวรรค์หลายคนพุ่งเข้าไป เอาอาวุธจ่อที่ท่านแม่เฝิงแล้วลากออกไปทันที

ท่านแม่เฝิงตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกไปนอกโลก ร้องอย่างตกใจว่า “ขาย! ผู้บัญชาการใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว ไถ่ตัวไปเลย ข้าจะให้ท่านไถ่ตัวเฟยหง ผู้บัญชาการใหญ่โปรดละเว้นชีวิตด้วย!”

“ช่างเถอะ จะไปคิดเล็กคิดน้อยกับนางทำไม”เหมียวอี้ที่เดินลงบันไดกล่าวเสียงเรียบ พาเฟยหงเหาะขึ้นฟ้าไปแล้ว

ท่านแม่เฝิงที่ตกใจจนเข่าอ่อนถูกโยนไว้บนพื้น เหยียนซิวดีดกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งมาไว้ตรงหน้าท่านแม่เฝิง แล้วหันตัวเหาะตามพวกหยางชิ่งไป

แขกในงานทยอยกันแยกย้ายกลับ อวิ๋นจือชิวที่เงียบงันอยู่ท่ามกลางกลุ่มนสีหน้าแย่มาก

ในตึกศาลา ท่านแม่เฝิงคว้ากำไลเก็บสมบัติร้องไห้ฟูมฟายอยู่บนพื้น ร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจ ไม่ว่าใครดึงก็ไม่ยอมลุกขึ้น

“เฮ้อ นี่! พี่เฝิง เด็กสาวที่ปั้นให้ดังแล้ว สักวันหนึ่งก็จะเป็นแบบนี้กันทั้งนั้น เพียงแค่จะช้าหรือเร็วก็เท่านั้นเอง นี่เป็นเรื่องปกติมากไม่ใช่เหรอ ไม่มีอะไรน่าปวดใจหรอกน่า” ท่านแม่สวีคุกเข่าปลอบใจอยู่ข้างๆ

“ใช่แล้วๆ! ความคิดเปิดกว้างหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว” พวกป้าๆ จากคณะระบำอื่นก็เกลี้ยกล่อมด้วยเหมือนกัน

“ไสหัวไป! ไสหัวไปให้หมด!” จู่ๆ ท่านแม่เฝิงก็เงยหน้าตวาด ชี้หน้าพวกป้าๆ ที่แสร้งหวังดี ไม่รับน้ำใจจากพวกนาง

“เชอะ!” ท่านแม่สวีลุกขึ้นยืน สะบัดผ้าเช็ดหน้า แล้วพูดเยาะเย้ยว่า “ในเมื่อเจ้าตัวไม่รับน้ำใจ งั้นพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องโดนเมินแบบนี้ ไปกันเถอะ!”

กลุ่มสตรีสูงวัยพาลูกน้องตัวเองจากไปพร้อมความร่าเริงบนความทุกข์ของคนอื่น มีเพียงท่านแม่เฝิงที่น้องไห้ทุบพื้นไม่หยุดอยู่อย่างนั้น เรียกได้ว่าปวดใจมาก…

ตำหนักคุ้มเมือง ไห่ผิงซินเดือดาลมาก พอเข้ามาในตำหนัก เห็นเหมียวอี้พาเฟยหงเข้าไปในตำหนักนอนแล้ว นางก็ทนไม่ไหวทันที ตะโกนเรียกว่า “นายท่าน ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน…”

ยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ เหยียนซิวที่ใบหน้ามืดครึ้มน่าสะพรึงกลัวก็มาโผล่ตรงหน้านาง มาขวางหน้าประตูตำหนักนอน บังตรงหน้าไห่ผิงซินไว้ ทำให้ไห่ผิงซินต้องกลืนคำพูดตัวเองกลับไป

ไห่ผิงซินก้าวถอยหลังโดยจิตใต้สำนึก เหมือนจะกลัวนิดหน่อย กล่าวอย่างอึกอักว่า “เหยียนซิว ท่านหลีกไป ข้ามีเรื่องจะคุยกับผู้บัญชาการใหญ่”

“นางหนู ดึกแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่ต้องการพักผ่อน มีเรื่องอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้แล้วกัน” เหยียนซิวกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เย็นเยียบพิศวง

ไห่ผิงซินเบะปากพูดว่า “พักผ่อนอะไร เขาจะดูการแสดงเดี่ยวไม่ใช่เหรอ ข้าจะเข้าไปรินน้ำชาให้นายท่าน”

ตอนนี้หยางเจาชิงนำหทารยามกลุ่มหนึ่งมาปรากฏตัวแล้ว เขามองดูไห่ผิงซินพลางหัวเราะเบาๆ แล้วสั่งให้ทหารสองคนไปขวางประตูไว้ ไม่ให้ใครเข้าไปทั้งนั้น แล้วก็สั่งให้คนที่เหลือล้อมห้องนอนไว้อีก ไม่ให้ใครบุกเข้าไปเช่นเดียวกัน

เหยียนซิวไม่สนใจการอ้างเหตุผลของไห่ผิงซิน หันตัวเดินเข้าไปแล้ว เดินไปหน้าประตูห้องของเหมียวอี้ ถือกระบี่วิเศษด้ามหนึ่งไว้ในมือ ยืนอยู่บนบันไดและใช้สองมือถือกระบี่ค้ำไว้ตรงหน้าท้อง จากนั้นกก็หลับตาพักผ่อน เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูอย่างนั้น ไม่ให้ใครรบกวนคนในห้อง

ในห้องนอน เหมียวอี้คลายผนึกวรยุทธ์บนตัวเฟยหง เฟยหงคิดจะหนีโดยจิตใต้สำนึก แต่เหมียวอี้ลงมือรวดเร็วมาก คว้าข้อมือนางดึงกลับมา กอดไว้ในอ้อมอก ร่างสูงกับร่างเล็กน้องแนบชิดกัน ดวงตาทั้งสี่สบประสานกัน

เฟยหงแววตาวูบไหว นางเอียงหน้ามองไปด้านข้าง พอเห็นเตียงผ้าแพรที่อยูในห้อง ก็รู้แล้วว่าที่นี่คือสถานที่หลับนอน ตอนนี้ในใจกระสับกระส่ายร้อนรนแล้วจริงๆ สีหน้าตื่นเต้นหวาดกลัวนั้นยากจะปิดบัง นางใช้สองมือยันหน้าอกเขาไว้ พร้อมบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ได้โปรดใจกว้างเมตตา เฟยหงขายศิลปะไม่ได้ขายตัว ถ้าผู้บัญชาการใหญ่อยากดูการแสดงเดี่ยว เฟยหงก็จะแสดงให้ท่านดู ได้โปรดสำรวมตัวเองด้วยค่ะ”

เหมียวอี้จับสองมือของนางเอาไว้ จับไขว้ไปข้างหลัง ใช้มือหนึ่งจับมือนางไว้ แล้วใช้มืออีกข้างบีบคางนางขึ้นมา เขาก้มหน้าจูบบนริมฝีปากแดงของนางที่พูดอู้อี้ไม่หยุด พร้อมทั้งปล่อยมือให้ไหลลงไปดึงที่คอเสื้อของนาง เสียงผ้าฉีกดังแคว่ก ภูเขาหิมะคู่หนึ่งกระโดดออกมา

เฟยหงดิ้นรนสุดชีวิต แต่กลับรอดพ้นเงื้อมมือมารได้ยาก โดนฉีกเสื้อผ้าสองสามทีก็เปลือยหมดแล้ว เรือนร่างอรชนอ้อนแอ้นที่เผยออกมาสมกับเป็นคนที่เต้นระบำบ่อย เป็นรูปร่างที่งามประณีต ส่วนที่ควรจะผอมก็ไม่มีไขมันส่วนเกิน ส่วนที่ควรจะมีเนื้อหนังก็อวบอัดกลมกลึง เอวบางสุดๆ ผิวกายงามราวกับหยกขาวที่ไร้มลทิน

เหมียวอี้เหมือนกระเหี้ยนกะหือรือจนทนไม่ไหว โถมทับนางลงบนเตียงทันที…

อวิ๋นจือชิวที่สีหน้าย่ำแย่เป็นพิเศษ พอกลับมาถึงร้านโฉมเมฆา ก็เห็นเสวี่ยเอ๋อร์เข้ามารับทันที ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ฮูหยิน หยางชิ่งปลอมตัวมาหาแล้วเจ้าค่ะ กำลังรอท่านอยู่ที่ลานบ้านด้านหลัง”

อวิ๋นจือชิวไม่พูดอะไรสักคำ เร่งฝีเท้าเดินไปทางลานบ้านด้านหลังทันทีลานล้านด้านหลัง

ในศาลาที่อยู่ด้านหลังภูเขาจำลองที่แขวนโคมไฟ หยางชิ่งกำลังยืนเอามือไขว้หลังมองดูเงาโคมไฟในบ่อน้ำอย่างเงียบๆ โดยมีเชียนเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างๆ

พอได้ยินเสียงฝีเท้า หยางชิ่งก็หันกลับไปมอง พอเห็นอวิ๋นจือชิว เขาก็ก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ “ฮูหยิน!”

อวิ๋นจือชิวนั่งลงข้างโต๊ะทันที ก่อนจะถามด้วยสีหน้าเย็นเยียบว่า “คืนนี้พวกเจ้าเล่นบ้าอะไรกันแน่? ให้คำอธิบายกับพวกข้า ไม่อย่างนั้นข้าไม่ยอมจบเรื่องนี้แน่!”

“ขอรับ!” หยางชิ่งก้มหน้าเล็กน้อย เขามาปรากฏตัวที่นี่ก็เพื่อจะอธิบายเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นอวิ๋นจือชิวก็อาจจะทำอะไรซี้ซั้วเพราะไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึก จึงกุมหมัดคารวะกล่าวอีกครั้ง “ตอนนั้นนายท่านโดนยาพิษขอรับ”

อวิ๋นจือชิวได้ยินแล้วลุกขึ้นยืนอย่างตกใจ “มันเรื่องอะไรกันแน่?” ไม่ใช่แค่นาง เชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์ก็หวาดหวั่นพรั่นพรึงเช่นกัน

หยางชิ่งตอบว่า “ถ้าหากเดาไม่ผิด เฟยหงคือคนของหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของตำหนักสวรรค์ ฝ่ายนั้นจงใจส่งนางมาเข้าใกล้นายท่าน นายท่านถูกหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของตำหนักสวรรค์จับตามองแล้ว เรื่องที่มีคนจงใจเข้าใกล้นายท่าน ฮูหยินเองก็รู้เรื่องนี้ เพียงแต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นใคร ในที่สุดการปรากฏตัวของเฟยหงในคืนนี้ก็ทำให้เจอเบาะแสบ้างแล้ว…” เขาอธิบายต้นสายปลายเหตุให้ฟังอย่างละเอียด

หลังจากฟังจบ อวิ๋นจือชิวก็หันขวับไปมองทางตำหนักคุ้มเมือง เดาออกแล้วว่าในตำหนักคุ้มเมืองเกิดเรื่องอะไรขึ้น หหยดน้ำตาไหลพรากออกมาจากเบ้าตาทันที ไหลลงมาตามแก้ม พร้อมถามเสียงสั่นว่า “ข้าให้เขาแย่งชิงอำนาจแบบนี้แล้วจะมีความหมายอะไร ข้าแต่งงานกับเขาเพื่อจะดูเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเฉยๆ เหรอ?”

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก้มหน้าเงียบๆ พร้อมกัน

หยางชิ่งถอนหายใจแล้วพูดปลอบว่า “ฮูหยินไม่ต้องห่วง แค่เล่นสนุกชั่วคราวเท่านั้น  ข้างกายนายท่านไม่ควรเก็บสายลับเอาไว้นานๆ รอให้มีโอกาสเหมาะก็จะกำจัดทิ้งแน่นอน!”

บนตึกสูงที่มีลมพัดเบาๆ เมฆลอยช้าๆ ซือหม่าเวิ่นเทียนเก็บระฆังดาราในมือ ยืนทอดสายมองขอบฟ้าเพียงลำพัง พลางพึมพำว่า “เมล็ดพันธุ์ชั้นดีที่ใช้ความพยายามมากมายเพื่อฝึกเลี้ยงออกมา เดิมทีคิดจะส่งไปใช้กับงานใหญ่ ไม่น่าเชื่อว่าจะยกประโยชน์ให้เจ้าเด็กนั่นแล้ว ขาดทุนแล้ว” เขาส่ายหน้ายิ้มขื่นขม แต่กลับถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็ทำสำเร็จแล้ว!

เขาเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน เขาแทบจะเขียนหนังสือคำปฏิญาณตนต่อหน้าประมุขชิงแล้ว มีเวลาเพียงสามปีเท่านั้น ถ้าจัดการเรื่องนี้ไม่เรียบร้อย ถ้าแม้แต่ตำหนักคุ้มเมืองเล็กๆ ก็ยังฝ่าเข้าไปไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเขาจะรายงานผลการปฏิบัติงานได้หรือเปล่า ตัวเขาเองจะทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร สำหรับนักพรตแล้ว เวลาสามปีนั้นสั้นมาก แค่เก็บตัวฝึกตนประเดี๋ยวเดียวก็ผ่านไปแล้ว เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เขาทำได้เพียงทุ่มเทโดยไม่เสียดายต้นทุน แต่ยังโชคดี ในที่สุดก็ทำสำเร็จแล้ว ขอเพียงรายงานผลงานต่อเบื้องบนได้ ต่อให้ต้องจ่ายมากกว่านี้ก็คุ้มค่า…

ท้องฟ้าเริ่มสว่างเล็กน้อย เปลวเทียนมอดดับจนน้ำตาเทียนแห้ง แสงสว่างนอกหน้าต่างส่องเข้ามาในห้อง สาวงามดุจหยกนอนขดตัวอยู่เตียง ผมงามยุ่งสยาย โดนปราบมาทั้งคืน มีรอยเลือดสีแดงแสดงถึงความบริสุทธิ์

เหมียวอี้ยืนแต่งตัวเรียบร้อยอยู่ข้างเตียง หันหลังให้นางพร้อมกล่าวขอโทษ “ปกติข้าไม่ได้เป็นแบบนี้ เมื่อคืนข้าอาจจะยั้งสติไม่อยู่หลังจากดื่มสุรา เจ้าว่ามาเถอะ เจ้าอยากจะกลับหอมงกุฏงามหรือมีความคิดอย่างอื่น ก็บอกมาได้เลย ข้าจะพยายามเตรียมการให้เจ้า จะพยายามปฏิบัติต่อเจ้าอย่างยุติธรรมด้วย”

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset