พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1336 เตรียมตัวย้ายรังเถอะ!

“เจ้าเองเหรอที่ชื่อหนิวโหย่วเต๋อ?” อวี่จ้งเจินเห็นหน้าแล้วถามกลั้วหัวเราะ

“ขอรับ!” เหมียวอี้พยักหน้าตอบอย่างสงสัยนิดหน่อยว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ยังไม่ทันได้ถามกลับ อีกฝ่ายก็เริ่มแนะนำตัวเองเสียงดังไม่หยุดแล้ว

ตอนนี้เพิ่งจะเจอหน้ากัน คนกลุ่มหนึ่งเพิ่งจะเข้ามาในตำหนักคุ้มเมือง เพิ่งจะเจอกับแม่เฒ่าลวี่ ยังไม่ทันได้ทำความเคารพแม่เฒ่าลวี่เลย หัวหน้าภาคอวี่ท่านนี้ก็เริ่มแล้ว

กำลังพลขององครักษ์ซ้ายขวาแห่งตำหนักสวรรค์ไม่เหมือนกับกำลังพลของอำนาจท้องถิ่น สิ่งที่เรียกว่า ‘ท้องถิ่น’ ก็ย่อมเป็นกำลังพลที่ตั้งมั่นรักษาการณ์อยู่ตามท้องถิ่นอยู่แล้ว มีอาณาเขตที่ตัวเองได้รับแบ่งไว้ ส่วนองครักษ์ซ้ายขวาคือกำลังพลที่ขึ้นตรงต่อวังสวรรค์ มีกำลังรบที่เข้มแข็งที่สุด ไม่อย่างนั้นก็คงกลายเป็นกองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์ไม่ได้เช่นกัน แต่ไหนแต่ไรมาหากพื้นที่ไหนต้องการทัพใหญ่ ก็จะถูกย้ายไปตั้งมั่นอยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นอาณาเขตของใครก็ไปประจำการได้ทั้งนั้น แต่กลับไม่มีอาณาเขตที่แน่นอนของตัวเอง บังเอิญว่าตอนนี้หัวหน้าภาคอวี่มาประจำการในอาณาเขตของท่านโหวเทียนหยวนพอดี เขากับแม่เฒ่าลวี่รู้จักกัน เมื่อทราบข่าวว่าแม่เฒ่าลวี่จะมาที่นี่ เขาจึงตามมาดูสักหน่อย

อวี่จ้งเจินกำลังพูดเป็นต่อยหอยอยู่อย่างนั้น แต่แม่เฒ่าลวี่ไม่พูดอะไรสักคำ กำลังจ้องเขาด้วยสีหน้าเย็นเยียบ ทำให้ผู้บัญชาการใหญ่เหมียวสัมผัสได้ถึงรสชาติความแตกต่างของไฟกับน้ำแข็ง

หยางชิ่ง เหยียนซิว หยางเจาชิง ไห่ผิงซินอยู่ข้างๆ

เหมียวอี้ร้อนใจนิดหน่อย ไม่รู้ว่าหัวหน้าภาคอวี่ท่านนี้จะเลิกพูดหรือไม่

“ท่านแม่บุญธรรม!” เมื่อเฟยหงที่อยู่ข้างๆ เห็นสถานการณ์ดังนั้น ก็ก้าวขึ้นมาคำนับแม่เฒ่าลวี่ก่อน

แม่เฒ่าลวี่คว้ามือนางดึงไปไว้ข้างหลังตัวอง แล้วก็จู่ๆ ทำเสียงฮึดฮัด กระแทกไม้เท้าหัวเขียวในมือลงพื้นอย่างแรง

“ตึ้ง!” เกิดเสียงดังสะเทือน พื้นดินสั่นไหว อวี่จ้งเจินหันกลับมาอย่างงงงัน ในที่สุดก็หุบปากแล้ว

ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้ทหารยามที่อยู่รอบๆ ปรากฏตัว เหมียวอี้โบกมือให้กลุ่มทหารถอยไป เสร็จแล้วถึงได้ก้าวขึ้นมาคำนับ “หนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนคำนับแม่เฒ่าลวี่”

ซวบ! แม่เฒ่าลวี่โบกไม้เท้าชี้ เนื้อเสียงราวกับอีกาแก่ ตวาดด้วยเสียงที่แสบแก้วหูว่า “ใจกล้านักนะ บังอาจมาแตะต้องลูกสาวข้า!”

“ท่านแม่บุญธรรม!” เฟยหงรีบก้าวขึ้นมาช่วยพูด

“มีข้าอยู่ เจ้าไม่ต้องกลัว!” แม่เฒ่าลวี่ตะคอกพร้อมดึงนางไว้

ไม้เท้าด้ามนั้นแทบจะจิ้มโดนหน้าอกเหมียวอี้ แต่เหมียวอี้ยืนไม่สะทกสะท้านอยู่อย่างนั้น ยกมือเขี่ยปลายไม้เท้าตรงหน้าออกไป แต่พบว่าเขี่ยออกไม่ได้ เพราะวรยุทธ์ไม่สูงเท่าอีกฝ่าย จึงหันตัวหลีกทางให้ แล้วยื่นมือเชิญพร้อมยิ้มบางๆ “ตรงนี้ไม่ใช่ที่คุยกัน เชิญเข้าไปดื่มน้ำชาในโถงหลักขอรับ”

อวี่จ้งเจินพยักหน้าเบาๆ ให้กับความสุขุมใจเย็นของเหมียวอี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่กลัวเลยสักนิด ในดวงตาฉายแววชื่นชม

หารู้ไม่ว่าสำหรับเหมียวอี้แล้ว เขาจะกลัวเสียที่ไหนล่ะ อีกฝ่ายมีแผนการมาตั้งนานแล้ว ถ้าจะฆ่าเขาก็คงฆ่าไปนานแล้ว จะสิ้นเปลืองเวลาแบบนี้ทำไม เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้มาเพื่อขู่ให้ตกใจ รับรองว่าเขาจะไม่เป็นอะไรเลยสักนิด

แม่เฒ่าลวี่กำหมัดทุบบนดอกฝ้าย ให้ความรู้สึกเหมือนไร้เรี่ยวแรง พอใบหน้าชราบึ้งตึง ก็ถามอย่างโมโหว่า “ใครจะไปดื่มน้ำชาเส็งเคร็งของเจ้า ข้าจะถามเจ้าสักคำ เจ้าอยากจะตายหรืออยากจะรอด?”

“เหตุใดแม่เฒ่าจึงต้องเดือดดาลขนาดนี้ ไม่ทราบว่าอยากตายแล้วยังไง อยากรอดแล้วยังไง?” เหมียวอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้ม

แม่เฒ่าลวี่ “ถ้าอยากตาย ยายแก่คนนี้ก็ย่อมเอาไม้เท้าฟาดเจ้าสักครั้ง แต่ถ้าอยากรอดก็ต้องให้ลูกสาวข้าเป็นฮูหยินภรรยาเอกเดี๋ยวนี้ เห็นแก่ที่พวกเจ้ากลายเป็นแบบนี้แล้ว คุกเข่าเอาหัวโขกพื้นให้ข้าอีกสามที ข้าก็จะไม่ถือสาหาความเจ้าแล้ว”

เหมียวอี้ยังคงรอยยิ้มเอาไว้ “ข้ารับเฟยหงเป็นอนุภรรยาแล้ว ส่วนเรื่องรับเป็นภรรยาเอกน่ะเหรอ ข้าปรึกษากับเฟยหงไปแล้ว ว่าเดี๋ยวค่อยดูกันตอนหลัง ถ้าหากพบว่าเหมาะสม ก็ย่อมเลื่อนให้เป็นภรรยาเอกขอรับ”

“เหลวไหล!” แม่เฒ่าลวี่ระเบิดอารมณ์ทันที ใช้ปลายไม้เท้าแตะหัวไหล่เหมียวอี้ “ลูกสาวข้าจะเป็นอนุภรรยาได้ยังไง อย่าเอาเรื่องในภายหลังมาหลอกตบตาข้า ถ้าไม่เลื่อนให้นางเป็นฮูหยินเอกตอนนี้ ก็เอาชีวิตเจ้ามา!”

เหมียวอี้สีหน้าเครียดขรึมลงเล็กน้อย “แม่เฒ่าลวี่ อย่าให้ข้าไว้หน้าแต่ท่านไม่รับไว้ ดูให้ชัดเจนก่อนว่าที่นี่ที่ไหน ที่นี่คือตำหนักคุ้มเมืองที่หนิวเฝ้ารักษาการณ์ให้ตำหนักสวรรค์ ไม่ใช่สวนผลไม้ที่ท่านดูแล ควรจะทำอย่างไรข้ามีแผนอยู่ในใจแล้ว ยังไม่ถึงคราวให้ท่านมาพาลเกเรที่นี่หรอก!”

ไห่ผิงซินเบิกตากว้างพูดไม่ออก ในฐานะที่นางไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึก นางพบว่าท่านที่นางกำลังทำงานรับใช้อยู่ช่างโหดนัก!

เฟยหงที่ดึงแขนแม่เฒ่าลวี่งงงันเล็กน้อย พบว่าผู้ชายของตัวเองแข็งกร้าวเหมือนอย่างที่เคย สมกับเป็นผู้บัญชาการใหญ่หนิวที่ตัดหัวข้าทาสของตระกูลผู้มีอำนาจครั้งแล้วครั้งเล่า

อวี่จ้งเจินกระตุกมุมปากเล็กน้อย

“อะไรนะ?” แม่เฒ่าลวี่โมโหจนร้องโวยวาย เอามือดึงเฟยหงออก แล้วบอกว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้ารึไง!” นางเอาไม้เท้ากระแทกหัวเหมียวอี้ด้วยความเดือดดาลเสียเลย

อวี่จ้งเจินที่อยู่ข้างๆ พลันยกมือห้าม แต่กลับยกมือกระแทกไม้เท้าของแม่เฒ่าลวี่เล็กน้อย มาขวางไว้ตรงกลางพร้อมกล่าวโน้มน้าวดีๆ “ไอ๊หยา! แม่เฒ่า เรื่องรักใคร่ระหว่างชายหญิงท่านจะโมโหขนาดนี้ไปทำไม มีอะไรก็พูดกันดีๆ สิ” เสร็จแล้วก็หันกลับมาถลึงตาใส่เหมียวอี้ “เจ้าเด็กนี่ไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่สักนิดเลยเหรอ? เรียนหนังสือมาน้อยล่ะสิ? รีบมาขอโทษเร็วๆ!”

เฟยหงก็กอดเอวแม่เฒ่าลวี่เหมือนกัน “ท่านแม่บุญธรรม เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิด”

พวกเหยียนซิวที่กำลังจะลงมือพร้อมกันโล่งอกแล้ว หยางชิ่งจ้องประเมินอวี่จ้งเจินอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ยังคิดอยู่เลยว่าคนขององครักษ์ฝ่ายซ้ายจะถ่อมาที่นี่ทำไม ตอนนี้เข้าใจแล้ว สงสัยจะมาเพื่อทำให้เรื่องจบลงด้วยดี คนหนึ่งแสดงบทผู้ร้าย คนหนึ่งแสดงบทคนดี จะได้ไม่เล่นออกนอกบทที่กำหนดวางเอาไว้แล้ว ไม่มีคนของฝ่ายนี้เลยจริงๆ

“ขอโทษเหรอ?” เหมียวอี้ที่ถอยไปข้างหลังถลันตัวออกมาแสยะยิ้ม “หนิวคนนี้ยังยืนยันคำเดิม ที่นี่คือตำหนักคุ้มเมืองที่หนิวเฝ้ารักษาการณ์ให้ตำหนักสวรรค์ ไม่ใช่ที่ที่ใครจะมาพาลเกเรก็ได้ ในเมื่อท่านกล้าไม่เห็นราชันสวรรค์อยู่ในสายตา มองข้ามกฏระเบียบสวรรค์ งั้นก็อย่าหาว่าหนิวคนนี้ไม่เกรงใจ ทหาร!” เสียงตะโกนนี้ดังสะท้านทั้งตำหนักคุ้มเมือง

ชั่วพริบตานั้น ทหารสวรรค์หลายร้อยคนก็ปรากฏตัว ทุกคนออกอาวุธพร้อมกัน มาล้อมพื้นที่นั้นเอาไว้

อวี่จ้งเจินรีบมองไปรอบๆ ลูกน้องของเขาก็รีบถลันตัวมาคุ้มกันโดยรอบเช่นกัน แต่กลับเลี่ยงไม่ได้ที่จะหันไปสบสายตาบอกใบ้ จะลงมือกันที่ตำหนักคุ้มเมืองจริงๆ เหรอ? ไม่ว่าจะมองในแง่อารมณ์หรือเหตุผลก็ไม่เหมาะสมทั้งนั้น คงจะไม่เกิดเรื่องหรอกใช่มั้ย?

แม่เฒ่าลวี่หันซ้ายหันขวา รู้สึกงงงันอยู่บ้างนิดหน่อย เมื่อเจอกับการลงไพ่แบบไม่อิงหลักการแบบนี้ เรื่องราวก็บิดเบี้ยวจากที่คาดไว้แล้ว

เหมียวอี้โบกมือชี้แม่เฒ่าลวี่ แล้วกล่าวเสียงเย็นว่า “ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าพ่อคนนี้ไม่เกรงใจ!”

หยางชิ่งแอบทอดถอนใจ พบว่านี่ก็คือจุดที่เขาสู้เหมียวอี้ไม่ได้

“นายท่าน!” เฟยหงกล่าวขอร้อง

แม่เฒ่าลวี่โกรธจนหน้าเขียวหน้าแดง รอยย่นบนใบหน้าแยกออกจากกันแล้ว ปราณปีศาจบนตัวเผยออกมารางๆ โมโหจนโวยวายว่า “เจ้ากล้าเหรอ! อาศัยทหารกระจอกๆ ของเจ้าก็กล้ามาแตะต้องยายแก่อย่างข้าแล้วเหรอ!”

เหมียวอี้ทำเสียงฮึดฮัด “ขอเพียงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล มีอะไรที่ข้าไม่กล้าบ้างล่ะ ข้าล่วงเกินผู้มีอำนาจมาทั้งราชสำนักแล้ว ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องตายอยู่ดี มีชีวิตรอดไปได้หนึ่งวันก็ถือว่ากำไรแล้ว ยังต้องมารองรับอารมณ์ยายปีศาจเฒ่าอย่างท่านด้วยเหรอ ปิดประตูเมืองทั้งสี่ เรียกรวมกำลังพลมาทั้งเมือง ข้าก็อยากจะเห็นนักว่านางจะฆ่าได้สักเท่าได้” แล้วก็ใช้นิ้วชี้แรงๆ อีกครั้ง” ทหารทุกคนฟังคำสั่ง ไล่ยายปีศาจเฒ่าชุดเขียวนี่ออกไปให้ข้า ใครกล้าขัดคำสั่ง ฆ่าไม่ละเว้น!”

“รับทราบ!” ทหารทุกคนเอ่ยรับพร้อมกัน แล้วถืออาวุธประชิดเข้ามา

หยางเจาชิงหยิบของที่คล้ายแตรเขาวัวออกมาจ่อตรงปากแล้ว

อวี่จ้งเจินที่ทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกินรีบคว้ามือขยุ้ม พลังอิทธิฤทธิ์แข็งแกร่ง ดูดแตรของหยางเจาชิงมาไว้ในมือตัวเองแล้ว จากนั้นรีบโบกมือไปรอบๆ “ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้ เป็นคนกันเองทั้งนั้น” จากนั้นพลิกฝ่ามือเผยบัตรขุนนางสีรุ้งให้ทุกคนดู

ตามหลักการแล้ว ที่จริงระดับของเขาไม่มีบัตรขุนนางสีรุ้งประเภทนี้ คนที่อยู่ในระดับเข้าประชุมราชสำนักได้เท่านั้นที่มีได้ แต่โครงสร้างขององครักษ์ซ้ายขวาไม่เหมือนอำนาจท้องถิ่น กอปรกับฐานะพิเศษของกองทัพองครักษ์ราชันสวรรค์ เขาถึงได้รับเกียรตินี้เป็นกรณีพิเศษ

ไม่ใช่ว่าเขากลัวคนของตำหนักคุ้มเมือง ต่อให้คนทั้งตลาดสวรรค์รวมกันก็ทำอะไรเขาไม่ได้อยู่ดี เพียงแต่ถ้าลงมือที่ตำหนักคุ้มเมืองจริงๆ ขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักก็จะเล่นงานเจ้าตาย พวกตาแก่ในราชสำนักอยากจะมัดมือมัดเท้าองครักษ์ซ้ายขวาจะแย่อยู่แล้ว จะยอมให้กองทัพองครักษ์ทำเรื่องที่นอกเหนือหน้าที่ได้อย่างไร แตะต้องตลาดสวรรค์ก็ไม่ได้เช่นกัน ไม่อาจปล่อยให้กฎนี้โดนแหก ดีไม่ดีหัวอาจจะหลุดออกจากบ่าได้

“หยุดเดี๋ยวนี้!”  หยางชิ่งยกมือตะโกนห้าม ทางนั้นมีคนไกล่เกลี่ยสถานการณ์แล้ว เขาก็เลยกลายเป็นคนไกล่เกลี่ยสถานการณ์ด้วยเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นถ้าลงมือสู้กันขึ้นมา ต่อให้จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามซวยได้ แต่ฝ่ายตัวเองก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยสักนิด ใช้วิธีหยกศิลาล้วนแหลกลาญ[1]กับเรื่องนี้ถือว่าไม่คุ้ม หลังจากตะโกนห้ามกำลังพลแล้ว ก็รีบก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะบอกเหมียวอี้ “นายท่าน เป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น เหตุใดต้องใช้อารมณ์กับเรื่องนี้ มีอะไรก็เจรจากันดีๆ ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทหารมากมาย!”

“ใช่ๆๆๆ คนคนนั้นพูดถูก!” อวี่จ้งเจินที่อยู่ตรงข้ามใช้บัตรขุนนางในมือชี้หยางชิ่งอย่างชื่นชม แล้วกันไปดึงแขนแม่เฒ่าลวี่ โมโหจนสีหน้าเปลี่ยน แล้วกล่าวเหมือนเกลี้ยกล่อมด้วยเจตนาดี “แม่เฒ่าลวี่ ยังไงลูกสาวท่านก็กลายเป็นคนของเขาไปแล้ว ถ้าท่านฆ่าเขาทิ้ง ลูกสาวท่านจะไม่กลายเป็นม่ายหรอกหรือ พวกเราระงับโทสะสักหน่อย มีอะไรก็พูดกันดี ครอบครัวกันมีอะไรที่คุยกันไม่ได้บ้างล่ะ”

“นายท่าน!” เฟยหงโผเข้ามากอดแขนเหมียวอี้เอาไว้ นางทำสีหน้าวิงวอนขอร้อง น้ำตาเอ่อล้นออกมาแล้ว

เหมียวอี้เหลือบมองแวบหนึ่ง พบว่านางช่างแสดงละครเก่งจริงๆ สมแล้วที่มีพื้นเพมาจากคณะการแสดง “ฮึ” เขาทำเสียงฮึดฮัดแล้วสะบัดนางออกไป แล้วหันตัวเดินก้าวยาวกลับเข้ามาในตำหนัก โดยมีเหยียนซิวติดตามอยู่ข้างหลัง

ทั้งสองฝ่ายล้วนแสดงได้เก่ง จุดที่แตกต่างกันก็คือเหมียวอี้รู้ว่าทั้งสองฝ่ายล้วนกำลังแสดงละคร แต่ฝ่ายแม่เฒ่าลวี่นึกว่าตัวเองแสดงละครอยู่ฝ่ายเดียว แต่ครั้งนี้ก็ทำให้แม่เฒ่าลวี่โมโหแล้วจริงๆ ประเดี๋ยวเดียวก็โดนผู้บัญชาการใหญ่ต่ำต้อยคนหนึ่งด่าว่ายายปีศาจเฒ่าต่อหน้าฝูงชนแล้ว

หยางชิ่งส่งสายตาให้หยางเจาชิง ทำให้หยางเจาชิงโบกมือไล่ทหารที่มาล้อมตรงนั้นไว้ทันที “ทุกคนกลับไปทำงาของตัวเองเถอะ”

หยางชิ่งย่อมอยู่เป็นทูตสันติภาพที่นี่ต่ออยู่แล้ว ก้าวขึ้นมาเจรจากับอวี่จ้งเจิน พยายามใช้คำพูดดีๆ ถึงได้ทำให้พวกแม่เฒ่าลวี่ไปพักที่เรือนด้านข้างได้

ส่วนหยางเจาชิงก็เป็นตัวละครที่คอยวิ่งเต้นให้ระหว่างแม่เฒ่าลวี่กับเหมียวอี้ แม่เฒ่าลวี่ยืนกรานว่าจะให้เหมียวอี้แต่งตั้งเฟยหงเป็นฮูหยินเอก แต่เหมียวอี้ดึงดันต่อต้าน แค่นี้เขาก็รู้สึกผิดกับอวิ๋นจือชิวมากพอแล้ว ในจุดนี้ต่อให้เขาตายเขาก็ไม่ตอบตกลงอยู่ดี

ทั้งสองฝ่ายเจรจากันไม่ลงตัว ทว่าเรื่องนี้ต้องได้รับการแก้ไข เป็นไปไม่ได้ที่จะแบกไว้ตลอด

สุดท้ายแล้ว บางทีอาจจะเป็นเพราะไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว เฟยหงกลายเป็นผู้หญิงของเหมียวอี้ไปแล้ว แม่เฒ่าลวี่จำเป็นต้องผ่อนปรนให้ เหมียวอี้ถึงได้เสด็จมาเยือน เป็นฝ่ายมาพบนางที่เรือนด้านข้างก่อน

ทว่าหลังจากเจอกันอีกครั้ง กลิ่นดินปืนระหว่างทั้งสองก็เริ่มปะทุขึ้นอีกแล้ว แม่เฒ่าลวี่กระทุ้งไม้เท้าในมือกับพื้น “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าไม่อยากรับลูกสาวข้าเป็นฮูหยินเอกจริงเหรอ?”

เหมียวอี้ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ไม่ใช่ว่าไม่อยากนะ แต่ชีวิตการแต่งงานขอสามีภรรยาคือเรื่องใหญ่ จะทำอย่างลวกๆ ได้ยังไง ข้าบอกแล้วไงว่าอยู่ด้วยกันไปสักระยะก่อนเพื่อดูว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม!”

“ดี! ข้าก็อยากจะดูว่าคอของเจ้าจะแข็งขนาดไหน ถ้าไม่ให้บทเรียนกับเจ้าสักหน่อย เกรงว่าจะคิดว่าครอบครัวของนางหนูไม่มีใคร อาจจะรังแกนางหนูยังไงก็ได้” แม่เฒ่าลวี่แสยะยิ้ม แล้วกวาดมองการประดับตกแต่งของในบ้าน “ว่ากันว่าตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ร่ำรวยมาก ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากเป็นแล้วล่ะ อวี่จ้งเจิน เรื่องนี้แม่เฒ่าต้องไหว้วานเจ้าแล้ว”

อวี่จ้งเจินยิ้มเจื่อนพลางเอามือลูบจมูก เหมือนกำลังถามว่า ให้ข้าแทรกแซงเรื่องนี้จะเหมาะสมเหรอ?

“ตำแหน่งนี้ข้าจะอยากเป็นหรือไม่อยากเป็น ก็ไม่รบกวนให้ท่านมาเป็นห่วงหรอก” เหมียวอี้เหยียดหยาม จะสื่อความหมายว่า พวกเจ้าจะมายุ่งได้เหรอ? เขาไม่กลัวเลยจริงๆ ในราชสำนักมีเทพประจำดาวฟ้าเถาะคอยช่วยพูดให้เขา เบื้องบนก็มีปี้เยว่คุ้มครองอยู่ ตราบใดที่ปี้เยว่ไม่ปล่อยเข้าไป ตำแหน่งของเขาก็ไม่ใช่ว่าใครจะมาแตะต้องก็ได้

“ข้าไม่ปลื้มกับคำพูดนี้แล้วนะ” จู่ๆ อวี่จ้งเจินก็หัวเราะเบาๆ แล้วเดินมาตบบ่าเหมียวอี้ “องครักษ์ซ้ายขวาเป็นกองทัพที่มีความเกรียงไกรที่สุดของตำหนักสวรรค์ องครักษ์ซ้ายขวามีอำนาจในการคัดเลือกคนมาจากอาณาเขตต่างๆ ขอเพียงองครักษ์ซ้ายขวาถูกใจ คนที่สามารถปฏิเสธได้ก็มีไม่เยอะเลยจริงๆ เจ้ามีชื่อเสียงที่โจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านอยู่ มีคุณสมบัติที่จะเข้ามาอยู่กับองครักษ์ฝ่ายซ้ายได้เลย น้องชาย! เรื่องนี้ตกลงตามนี้แล้วกัน ข้าจะเตือนเจ้าไว้ก่อนเลยว่า เตรียมตัวย้ายรังเถอะ!”

…………………………

[1] ยกศิลาล้วนแหลกลาญ 玉石俱焚 อุปมาว่ายอมให้พังไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset