พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1345 ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำ

ผลไม้ที่กัดเคี้ยวไม่กี่คำก็หมดแล้ว แต่ท่านที่อยู่ข้างบนกลับกินอย่างอ้อยอิ่งราวกับกุลสตรีคนหนึ่ง

เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้เหลือบมองด้านบนอยู่เป็นระยะ ในใจรู้สึกเซ็ง แต่กลับไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจงใจกลั่นแกล้ง หรือว่ามีแผนการสำรองอะไรจะใช้ ทำได้เพียงกัดฟันอดทนรอ

หลังจากทำซ้ำไปซ้ำมาได้ซักพัก ในมือของเนี่ยอู๋เซี่ยวก็เหลือเพียงเมล็ดผลไม่ที่สมบูรณ์หนึ่งเมล็ด เขาใช้คมดาบแทงทะลุ แล้วโยนขึ้นไปข้างบนอย่างไม่ใส่ใจ สายตาของเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้แอบมองตามเมล็ดผลไม้ที่ตกลงบนโต๊ะยาว คมดาบที่แทงทะลุเมล็ดเสียบปักตรงลงบนโต๊ะยาวแล้ว

ไม่รู้ว่าเนี่ยอู๋เซี่ยวคว้าผ้ามาจากไหน เอามาเช็ดปากแล้ว จากนั้นก็ถูไม้ถูมืออย่างฉาบฉวย ก่อนโยนลงบนโต๊ะอย่างลวกๆ ตอนนี้สายตาของเขาถึงได้มาหยุดอยู่บนตัวทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างล่าง ราวกับเพิ่งสังเกตเห็นว่าสองคนนี้มาถึง จึงถามอย่างแปลกใจว่า “คนที่ยืนอยู่ข้างล่างเป็นใครกัน?”

เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้หันกลับมาสบตากันอย่างรู้ใจ ทั้งสองด่าแม่ในใจพร้อมกัน แต่กลับต้องตะโกนอีกครั้งว่า “หนิวโหย่วเต๋อ จ้านหรูอี้ คารวะท่านแม่ทัพภาค!”

เนี่ยอู๋เซี่ยวดีดนิ้ว นายทหารยศแม่ทัพยศสี่แถบลงไปหยิบคำสั่งโยกย้ายของทั้งสองทันที เมื่อตรวจสอบตัวตนของทั้งสองคนแล้ว ก็ถือคำสั่งโยกย้ายขึ้นไปให้เนี่ยอู๋เซี่ยวตรวจอ่าน

เหมียวอี้เอียงหน้ามองจ้านหรูอี้อย่างงุนงงเล็กน้อย จนกระทั่งตอนนี้เขาถึงได้พบว่า ผู้หญิงอย่างจ้านหรูอี้ก็มารับตำแหน่งที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายเหมือนกัน

จ้านหรูอี้เอียงหน้าเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วแสยะยิ้มมุมปาก เหมือนกำลังบอกว่า เจ้ามารู้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว

ตอนนี้ต่อให้เป็นคนโง่ก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้มาทำไม เหมียวอี้ด่าแม่นางในใจ ผู้หญิงคนนี้เป็นบ้าไปแล้วกระมัง ไปเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ดีๆ ไม่ชอบ ไปอยู่ในแหล่งที่ทรัพยากรสมบูรณ์แต่ไม่ตักตวง จะถ่อมาเป็นศัตรูกับเขาที่นี่ให้ได้ คนอื่นยังคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่านางตัวแสบคนนี้ บทจะทิ้งตำแหน่งงานที่รายได้ดีก็ทิ้งได้เลย เขาพบว่าเด็กที่เกิดในตระกูลมีเงินมีอำนาจช่างแตะต้องไม่ได้จริงๆ ดื้อด้านมากทีเดียว

หารู้ไม่ว่าเป็นอย่างที่หยางชิ่งบอกเลย นางเกิดมาเป็นผู้หญิงยโสโอหังโดยธรรมชาติ จิตใจหยิ่งผยอง เสียเปรียบให้เหมียวอี้ครั้งแล้วครั้งเล่า จ้านหรูอี้ต้องการจะกู้หน้ากลับมา นางไม่ต้องการทำอย่างหลบซ่อน เพราะนางมีจิตใจที่หยิ่งผยอง นางต้องการคว้าชัยชนะกลับมาอย่างสง่าผ่าเผยต่อหน้าทุกคน นี่ก็คือเหตุผลที่นางยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อมาที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย

สิ่งที่คือปัญหาจริงๆ สำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับนางแล้ว เหตุผลก็เรียบง่ายเช่นนี้

การจะมาที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น สถานที่นี้ไม่ใช่ว่าใครอยากจะเข้าก็เข้ามาได้ ตอนแรกคนในตระกูลนางก็ไม่เห็นด้วย ต้องทราบไว้ว่าหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายคือกองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์ อย่าว่าแต่ตระกูลจ้านเลย แม้แต่อ๋องสวรรค์อิ๋งก็ไม่มีอิทธิพลอะไรต่อหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายเช่นกัน ถ้ามาอยู่ที่นี่ก็ไม่มีคนสามารถดูแลจ้านหรูอี้ได้

แต่ก็ทนความดื้อด้านของเด็กคนนี้ไม่ได้! ตระกูลจ้านรู้ดี ว่าถ้าไม่ให้จ้านหรูอี้ชนะกลับมา ทั้งชีวิตนี้นางก็จะไม่เลิกรา ทำได้เพียงหาเส้นสายช่วยไกล่เกลี่ยให้ กะว่าจะให้นางสมใจอยากแล้วค่อยย้ายนางกลับมา ถึงอย่างไรหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายก็ไม่ใช่ที่ที่คนมีภูมิหลังอย่างจ้านหรูอี้จะอยู่ได้นาน

แต่ที่แปลกก็คือ ตระกูลจ้านที่เดิมทีนึกว่าจะต้องมีอุปสรรค แต่กลับพบว่าราบรื่นอย่างประหลาด ผู้บัญชาการองครักษ์โพ่จวินของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายอนุมัติให้ด้วยตัวเอง

เมื่อรับเอกสารจากแม่ทัพยศสี่แถบมาตรวจสอบแล้ว เนี่ยอู๋เซี่ยวก็หย่อนเท้าสองข้างที่วางพาดอยู่บนโต๊ะยาวลงมา จากนั้นลุกขึ้นยืน แล้วโยนแผ่นหยกในมือลงบนโต๊ะ โยนไว้บนผ้าที่เพิ่งใช้เช็ดมือไว้ จากนั้นเดินอ้อมโต๊ะยาวออกมา เดินลงบันไดมาแล้ว ในตอนนี้ทั้งสองถึงได้พบว่าดวงตาทั้งคู่ของเขาเป็นสามเหลี่ยมดุร้าย

เนี่ยอู๋เซี่ยวเดินมาตรงหน้าจ้านหรูอี้ แล้วจ้องมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย “จ้านหรูอี้…อ๋องสวรรค์อิ๋งคือท่านตาของเจ้าเหรอ?”

จ้านหรูอี้เม้มปาก นางรู้สึกขุ่นเคืองมากที่อีกฝ่ายเอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้านาง ทำให้นางดูเหมือนคนไร้ประโยชน์ที่ต้องพึ่งพาตาของตัวเอง และนางก็ยิ่งไม่ชอบที่เขาเอ่ยต่อหน้าหนิวโหย่วเต๋อ แต่นางจะไม่ตอบก็ไม่ได้ จึงพยักหน้าเบาๆ “ใช่ค่ะ!”

ฉากต่อมาก็ทำให้คนตกใจมาก หลังจากเนี่ยอู๋เซี่ยวจ้องประเมินนางศีรษะจดเท้า ก็ยื่นมือออกมาช้อนคางที่ขาวละเอียดอ่อนของนาง

จ้านหรูอี้รีบเอียงหน้าแล้วถอยหลังหลบ พร้อมกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “ท่านแม่ทัพภาคได้โปรดสำรวมตัวเอง!”

ไม่ได้สำรวมตัวเองเลย ตรงหว่างคิ้วเนี่ยอู๋เซี่ยวพลันเผยวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นเจ็ด มือก็เคลื่อนไหวรวดเร็วเช่นกัน บีบคางนางเอาไว้วรยุทธ์ที่แข็งแกร่งทำให้จ้านหรูอี้ยากจะต้านทานไหว จึงถูกดึงเข้ามาโดยตรง ดึงใบหน้าจ้านหรูอี้มาไว้ตรงหน้า แล้วแสยะยิ้มกล่าวว่า “ข้าไม่สนใจว่าตาเจ้าจะเป็นใคร เมื่ออยู่ที่นี่ อ๋องสวรรค์อิ๋งไม่มีอำนาจตัดสินใจ แต่ข้ามีอำนาจตัดสินใจ ถ้าเจ้าไม่เต็มใจ ก็ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!” พูดจบก็ผลักมือ

จ้านหรูอี้ถอยโซเซไปข้างหลังหลายก้าวกว่าจะยืนได้อย่างมั่นคง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงถี่กระชั้น กัดริมฝีปากแน่น กล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูดออกมา

เหมียวอี้เห็นแล้วรู้สึกบันเทิง

เนี่ยอู๋เซี่ยวเอามือไขว้หลังพร้อมกล่าวว่า “ว่ามาซิ ทำไมถึงมาที่นี่? ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ใครอยากจะมาเล่นก็มาเล่นได้ ไม่ใช่สนามเด็กเล่นของตระกูลอิ๋ง!”

จ้านหรูอี้พลันตอบเสียงดังว่า “ข้าน้อยอยากจะมาสัมผัสสักหน่อยว่าหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายมีอะไรยอดเยี่ยมกันแน่ ฮึกเหิมเกรียงไรที่สุดจริงหรือเปล่า!”

“อ๋อเหรอ!” เนี่ยอู๋เซี่ยวจึงบอกว่า “กล้าหาญน่าชื่นชม แต่ที่นี่ไม่เหมาะกับลูกหลานผู้มีอำนาจอย่างพวกเจ้าจริงๆ ถ้าตอนนี้เสียใจแล้วถอยไปก็ยังทัน ไม่อย่างนั้นถ้าได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้ว เจ้าก็จะถอนตัวตามใจชอบไม่ได้อีก!”

ในใจเขาก็เก็บกลั้นไฟโกรธเอาไว้เหมือนกัน จู่ๆ ก็มีสุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมียคู่หนึ่งตกลงมาจากฟ้า เบียดให้ลูกน้องคนสนิทสองคนของเขาต้องออกไปจากที่นี่ ทั้งยังบอกให้เขาเข้าใจด้วย และเป็นไปได้สูงว่าจ้านหรูอี้คนนี้จะถ่อมาที่นี่เพื่อตามมาล้างแค้นส่วนตัวกับหนิวโหย่วเต๋อ เห็นกองมังกรดำของเขาเป็นอะไรไปแล้ว? จะไปไหนก็ไม่ไป ดันจะถ่อมาที่นี่!

“ไม่ถอนตัว!” จ้านหรูอี้กล่าวอย่างมั่นใจ

นางไม่กลัวหรอก ในเมื่อนางมาที่นี่ได้ ถึงตอนนั้นถ้าอยากจะไปก็ไปได้เหมือนกัน แม่ทัพภาคต่ำต้อยคนหนึ่งจะมาขวางไว้ได้อย่างไร นอกเสียจากต่อไปนี้กำลังพลของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายจะไม่อยากไปมาบนอาณาเขตของตระกูลอิ๋งอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นตระกูลอิ๋งก็มีวิธีการหาเรื่องอยู่แล้ว

เนี่ยอู๋เซี่ยวจ้องนางครู่หนึ่ง แล้วก็กระดกนิ้วไปที่เหมียวอี้ เรียกให้เหมียวอี้มาอยู่ตรงหน้า แล้วถามว่า “เจ้าล่ะ? ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่?”

มารดาเจ้าเถอะ ข้าชื่อเสียงโด่งดังขนาดนี้ ไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะไม่รู้! เหมียวอี้พึมพำในใจ แต่ภายนอกยังตอบอย่างใจเย็นว่า “ข้าต่างกับจ้านหรูอี้ ข้าไม่อยากมาที่นี่ ถ้าท่านแม่ทัพภาครู้สึกว่าข้าไม่เหมาะสม และยินดีจะเตะข้าออกไป ข้าก็จะไปทันที ไม่สร้างปัญหาให้กองมังกรดำแน่นอน”

ในเรื่องนี้มีเงื่อนงำ เขากลัวเสียที่ไหน อยากจะขู่ให้เขากลัวเหมือนที่ขู่จ้านหรูอี้งั้นเหรอ ไม่มีทางเสียหรอก!

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา สีหน้าของเนี่ยอู๋เซี่ยวก็ราวกับโดนตะคริวกิน กระตุกมุมปากเล็กน้อย เขาไม่อยากรับจ้านหรูอี้ไว้จริงๆ และไม่อยากรับเหมียวอี้ด้วยเช่นกัน แต่สถานการณ์ของเหมียวอี้นั้นต่างออกไป นายท่านหัวหน้าภาคมาบอกด้วยตัวเอง ถ้าเตะคนออกไปจริงๆ ตอนหลังเขาก็จะแก้ตัวไม่ได้

เดิมทีเนี่ยอู๋เซี่ยวอยากจะกลั่นแกล้งอีกสักหน่อย อยากจะแสดงอำนาจบารมีอีก แต่ใครจะคิดวว่าจะกลายเป็นหมัดที่ชกลงบนปุยฝ้าย อีกฝ่ายไม่ได้รับแรงกระแทกเลย

แม่ทัพยศสี่แถบที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะยาวทำสีหน้าเหมือนพูดไม่ออกเช่นกัน

จ้านหรูอี้หันขวับ เบิกตากว้างมองเหมียวอี้ รู้สึกเหมือนโดนเหมียวอี้เยาะเย้ย

ถ้าเหมียวอี้ปัดก้นหนีไปจริงๆ แล้วการที่นางถ่อมาที่นี่จะมีความหมายอะไรล่ะ? ถ้าเพิ่งมาถึงแล้วขอย้ายออกไป หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายจะปล่อยนางไปได้ก็แปลกแล้ว เห็นหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายเป็นบ้านของนางรึยังไง? คิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไปเหรอ? เพื่อเป็นการแสดงบารมีความน่าเกรงขามของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยนางไป  ดีไม่ดีอาจจจะคุมตัวนางไว้ทั้งชีวิต ถึงตอนนั้นต่อให้เป็นท่านตาของนางก็อาจจะช่วยนางออกมาไม่ได้ง่ายๆ  ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือกองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์ นี่ไม่ใช่สถานที่สำหรับให้เด็กเล่น ถ้าอธิบายเหตุผลไป ท่านตาของนางก็พูดอะไรไม่ได้เหมือนกัน!

ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้ ถ้าเหมียวอี้หนีไปอย่างนี้จริงๆ เช่นนั้นการที่จ้านหรูอี้มาที่นี่ก็จะกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะ

ในตำหนักเรียกได้ว่าตกอยู่ในความเงียบสงบอย่างประหลาด

จู่ๆ เหมียวอี้ก็พลันกุมหมัดคารวะทำลายความเงียบนี้ กล่าววิงวอนจากใจว่า “ข้าน้อยมีความสามารถจำกัด เกรงว่าจะทำลายบารมีชื่อเสียงของกองมังกรดำ ยังอยากจะกลับไปที่ตลาดสวรรค์ แม่ทัพภาคเนี่ยได้โปรดช่วยให้สมปรารถนา ไม่รับข้าน้อยไว้ ส่งข้าน้อยกลับไปที่จวนแม่ทัพภาคตงหัว!”

เนี่ยอู๋เซี่ยวยังไม่ไร้ความสามารถจนถึงขั้นรั้งคนที่เบื้องบนฝากฝังไว้ไม่ได้ ถ้าไม่มีแม้แต่ความสามารถนี้ เช่นนั้นตำแหน่งแม่ทัพภาคของเขาก็คงต้องเปลี่ยนคนทำแล้ว เขาจึงกล่าวเสียงเรียบว่า “ชื่อเสียงที่โจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน แม่ทัพภาคคนนี้ก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน มีผลงานการรบนี้ก็มาอยู่ที่กองมังกรดำของข้าได้”

เขาพลิกมือหยิบบัตรขุนนางออกมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เขียนคำสั่งแต่งตั้งลงไป พอลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองแล้ว ก็โยนให้เหมียวอี้ “ไปรับตำแหน่งที่ธงพยัคฆ์ดำเดี๋ยวนี้”

จ้านหรูอี้ที่กำลังกัดริมฝีปากรู้สึกเหมือนมีเลือดไหลในใจ การปฏิบัติเช่นนี้ ความแตกต่างนี้เห็นได้ชัดเจนเกินไปแล้ว อีกทั้งชื่อเสียงที่เจ้าเวรนั่นโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านก็ยังเป็นการเหยียบบ่านางขึ้นไปด้วย น่าแค้นมาก!

เหมียวอี้รับบัตรขุนนางมาตรวจอ่านเนื้อหา ตำแหน่งของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายมีผู้บัญชาการองครักษ์ หน่วยองครักษ์เจิ้นอี่ ทัพเป่ยโต้ว กองมังกรดำ ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำ ระดับไม่แย่ ไม่มีการลดตำแหน่งอะไรทั้งนั้น แต่เขายังกุมหมัดคารวะถามว่า “ท่านแม่ทัพภาค ผ่อนผันอีกหน่อยได้หรือไม่ นอกจากทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม ข้าน้อยก็ไม่มีความสามารถอื่น ทำงานเล็กน้อยอยู่ที่ตลาดสวรรค์ยังพอไหว ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ได้มีกำลังพลมากมายขนาดนี้ รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้จริงๆ ขอรับ”

เนี่ยอู๋เซี่ยวทำหน้าเข้มทันที “เจ้ามองเห็นที่นี่เป็นอะไร? แม่ทัพภาคคนนี้เขียนคำสั่งแต่งตั้งทำแหน่งแล้ว เจ้าคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปได้อย่างนั้นเหรอ อยากจะรู้ถึงกฎระเบียบกองทัพของกองมังกรดำสักหน่อยมั้ย?”

เหมียวอี้จ้องเขานานมาก สุดท้ายก็กุมหมัดคารวะด้วยสีหน้าจนใจ “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!”

พูดจบก็หันตัวมา ถือโอกาสตอนที่ไม่มีใครเห็น ถือบัตรขุนนางไว้ตรงหน้าอกพลางแกว่งให้จ้านหรูอี้ที่กำลังจ้องตัวเองอยู่ ทั้งยังเลิกคิ้วเล่นหูเล่นตาด้วย เหมือนกำลังเตือนจ้านหรูอี้อีกครั้งว่า เห็นมั้ยว่าอะไรเรียกว่าความแตกต่าง ขนาดของที่ข้าไม่ต้องการ อีกฝ่ายก็ยังยัดมาใส่มือข้า เจ้าใฝ่หาแต่ยังไม่ได้เลย!

เขาทำท่าทางนี้ให้จ้านหรูอี้ดูคนเดียวเท่านั้น พอเดินกลับถึงตำแหน่งเดิมก็หันตัวยืนดีๆ หยุดเลิกคิ้วและเหลือบตาลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แบบนี้มันท้าทายกันซึ้งๆ หน้า! จ้านหรูอี้โมโหจนแทบกระอักเลือดออกมา

และคำสั่งแต่งตั้งตำแหน่งอีกฉบับ เนี่ยอู๋เซี่ยวก็เขียนเสร็จแล้วเช่นกัน โยนให้จ้านหรูอี้แล้ว “ไปรับตำแหน่งที่ธงพยัคฆ์น้ำเงิน!”

เมื่อรับมาตรวจอ่านดูแล้วพบว่าไม่ผิดพลาด จ้านหรูอี้ก็กุมหมัดกล่าวว่า “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!”

เนี่ยอู๋เซี่ยวไม่พูดอะไรมาก หันตัวเดินตรงไปที่ตำหนักหลัง ก่อนจะหายตัวไปก็โบกมือเรียกลูกน้อง แม่ทัพยศสี่แถบที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะยาวเดินเข้ามา รายงานสถานะของตัวเอง ที่แท้ก็เป็นรองแม่ทัพภาคของกองมังกรดำ ชื่อว่าโป๋เยว

ใต้สังกัดกองมังกรดำแบ่งเป็นธงพยัคฆ์ฟ้า ธงพยัคฆ์ม่วง ธงพยัคฆ์ขาว ธงพยัคฆ์ทอง ธงพยัคฆ์เขียวเงิน ธงพยัคฆ์ดิน ธงพยัคฆ์ดำ ธงพยัคฆ์แดง ธงพยัคฆ์เขียว ธงพยัคฆ์น้ำเงิน ยามปกติห้าชื่อแรกถูกควบคุมโดยรองแม่ทัพภาคอีกคนที่ชื่อว่าเซี่ยงไป่กง ห้าชื่อหลังถูกควบคุมโดยโป๋เยว หรือพูดได้อีกอย่างว่า โป๋เยวก็คือผู้บังคับบัญชาของพวกเขาสองคน นี่ก็คือเหตุผลที่เขามาปรากฏตัวที่นี่ในเวลานี้

จู่ๆ ลูกน้องในตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่สองคนก็โดดเบียดทิ้ง เว้นว่างไว้ให้สองคนนี้ โป๋เยวกับเนี่ยอู๋เซี่ยวอยู่ในอารมณ์เดียวกัน และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขาไม่สุภาพกับจ้านหรูอี้ตอนที่อยู่ตรงตีนเขาก่อนหน้านี้ หวังว่าจะขู่ให้จ้านหรูอี้ตกใจหนีไป

เมื่อเห็นว่าเป็นผู้บังคับบัญชาสายตรง เหมียวอี้ก็รีบทำความเคารพอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง

ในเมื่อรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้ว กลายเป็นลูกน้องของเขาอย่างเป็นทางการแล้ว รองแม่ทัพภาคโป๋เยวก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน นำทั้งสองคนเดินออกมาจากตำหนักใหญ่ มายืนอยู่ใต้ธงมังกรดำ หันหน้าเข้าหาฟ้าดินที่กว้างใหญ่ แล้วอธิบายกฏระเบียบรวมทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกองมังกรดำ

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset