พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 927

ริมแม่น้ำจัวสุ่ย ฉิน!

“ไม่ต้องร้องไห้แล้ว!”

ใต้ศาลา รอบข้างเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ หยางชิ่งใช้มือช่วยเช็ดหยดน้ำตาที่เหมือนเม็ดไข่มุกให้ฉินเวยเวย พร้อมกล่าวอย่างสงสารว่า “ลูกสาวเติบโตแล้ว สุดท้ายก็ไม่อาจอยู่ข้างกายพ่อไปทั้งชีวิตได้ ความรู้สึกของพ่อซับซ้อนมากจริงๆ! เวยเวย ไม่ว่าจะแต่งงานหรือไม่แต่งงาน แต่การเป็นมนุษย์นั้นไม่ง่าย การทำเรื่องต่างๆ ก็ไม่ง่ายเช่นกัน ในเมื่อเจ้าตัดสินใจเลือกแล้ว เจ้าก็ควรจะทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าตัวเองต้องการอะไร ถ้าเจ้าอยากจะอยู่ใช้ชีวิตร่วมกับเขา ก็ใช่ว่าแต่งงานกับเขาแล้วทุกอย่างจะง่ายดายขนาดนั้น บนโลกใบนี้ ไม่ว่าเราจะอยากได้อะไร ก็ล้วนมีราคาที่ต้องจ่ายทั้งนั้น สิ่งที่ต้องจ่ายไปอาจจะเป็นความเหน็ดเหนื่อย ความเจ็บปวดรวดร้าวใจ ถ้าอยากได้มาโดยไม่เปลืองแรง จุดจบจะต้องอนาถมากแน่นอน! ดังนั้นถ้าอยากอยู่กับเขาไปนานๆ ก็ต้องคว้าหัวใจเขาให้ได้ ถ้าใจเขาไม่ได้อยู่ที่เจ้า ต่อให้เจ้าได้แต่งงานกับเขาแล้วยังไงล่ะ? ถ้าเป็นเพียงความสมัครใจของเจ้าฝ่ายเดียว ก็จะไม่เกิดผลลัพธ์อย่างที่เจ้าเฝ้าหวังเด็ดขาด การเป็นลูกสาวกับการเป็นผู้หญิงนั้นต่างกัน เข้าใจมั้ย?”

“อื้ม… ค่ะ… อื้ม…” ไม่ว่าจะฟังเข้าใจหรือไม่ ฉินเวยเวยก็เอาแต่พยักหน้าทั้งน้ำตา แค่คนเป็นพ่อพูดอะไรแบบนี้กับนางได้ นางก็ซาบซึ้งมากแล้ว

หยางชิ่งช่วยเช็ดน้ำตาให้นางอีก “บางสิ่งบางอย่าง ผู้ชายอย่างข้าไม่สะดวกจะพูดกับเจ้า เดี๋ยวข้าจะให้ชิงเหมย ชิงจวี๋มาคุยกับเจ้าเยอะๆ หน่อย ถึงอย่างไรพวกนางก็อาบน้ำร้อนมาก่อน ถ้ามีจุดไหนที่ไม่เข้าใจ เจ้าก็ถามพวกนางเยอะๆ พวกนางก็หวังดีกับเจ้าเหมือนกัน ไม่ปิดบังหรอก”

“ค่ะ…” ฉินเวยเวยยังคงพยักหน้าเหมือนเดิม

หยางชิ่งใช้สองมือประคองไหล่นาง แล้วกล่าวอย่างใจหายว่า “จะแต่งงานแล้ว! เป็นเรื่องน่ายินดี อย่าร้องไห้งอแงสิ ถ้าจัดการอารมณ์ตัวเองเสร็จแล้ว ก็กลับไปที่ตำหนักเจิ้นติง ตอนนี้เจ้าไม่เหมาะที่จะเป็นประมุขตำหนักเจิ้นติงอีกต่อไปแล้ว ต้องไปเตรียมการเดี๋ยวนี้ ถ้าเจ้าเตรียมส่งมอบงานเสร็จแล้ว เรื่องอื่นก็ไม่ต้องสนใจ พ่อจะช่วยเตรียมการให้เจ้าเอง”

“ค่ะ!” ฉินเวยเวยสะอึกสะอื้น

พอตบบ่านางสองสามที หยางชิ่งก็ไม่เน้นพูดเรื่องความรักอีก หันตัวเดินออกไปทันที

ตอนกระทั่งตอนนี้ ฉินเวยเวยถึงได้พบว่าฝ่ามือที่หนาใหญ่ของคนเป็นพ่อนั้นอบอุ่นมาก ไม่เหมือนเป็นพ่อบุญธรรม แต่เหมือนเป็นพ่อแท้ๆ ผู้ให้กำเนิด สิ่งนี้ทำให้นางยิ่งร้องไห้อย่างปวดใจกว่าเดิม

ดังนั้น ฉินเวยเวยจึงกลับไปที่ตำหนักเจิ้นติง

เรื่องมหามงคลขนาดนี้ปิดบังได้ไม่นานเท่าไร ทางตำหนักเจิ้นติงรู้เรื่องเร็วมาก คำสั่งจากปราสาทดำเนินสุริยันก็มาแล้วเช่นกัน ถอดฉินเวยเวยออกจากตำแหน่งประมุขตำหนักเจิ้นติง บอกว่าจะให้ไปดำรงตำแหน่งอื่น คนที่จะรับตำแหน่งต่อมาถึงเร็วมาก ต้องรอให้ฉินเวยเวยส่งมอบงานเสร็จก่อน แล้วค่อยกลับไปรับคำสั่งที่ปราสาทดำเนินสุริยัน ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือไปรอเข้าพิธีแต่งงาน

ในห้องนอน ฉินเวยเวยกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง นางสวมชุดกระโปรงสีขาวและปล่อยผมยาวคลุมบ่า ทั้งใฝ่ฝันจินตนาการทั้งตื่นเต้นกับวันนั้นที่กำลังจะมาถึง ช่วงนี้มักจะคิดมากเสมอ

จังหวะการเดินไปเดินมาของหงเหมียน ลู่หลิ่วเหมือนจะเปลี่ยนเป็นเริงร่าขึ้นหลายเท่า ในที่สุดเจ้านายก็จะได้แต่งงานแล้ว แม้จะวนอ้อมไปรอบหนึ่ง แต่คนที่จะได้แต่งงานด้วยก็ยังเป็นคนคนนั้น

ถึงแม้จะอารมณ์ดี แต่ก็ไม่อาจปิดบังความไม่พอใจเล็กๆ ที่อยู่ในใจทั้งสองได้ หงเหมียนที่กำลังหวีผมให้ฉินเวยเวยบ่นว่า “เดิมทีควรจะเป็นคุณหนูที่ได้เป็นภรรยาเอก ถ้าไม่ใช่เพราะปีนั้นผู้การใหญ่หยางใช้กระบองตีนกเป็ดน้ำให้แยกคู่[1] เรื่องนี้คงไม่เกี่ยวกับคนแซ่อวิ๋นอะไรนั่นแล้ว”

ฉินเวยเวยจ้องมองกระจกพร้อมบอกว่า “ต่อไปห้ามพูดอะไรแบบนี้อีก ไม่เป็นผลดีกับใครทั้งนั้น”

“ทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าแค่รู้สึกไม่ยุติธรรมแทนคุณหนู พูดแค่ตอนอยู่ต่อหน้าคุณหนูก็เท่านั้นเอง” หงเหมียนพึมพำ

หงเหมียน ลู่หลิ่วที่กำลังยุ่งวุ่นอยู่หน้ากระจก บนใบหน้ามีริ้วรอยแห่งวัยนิดหน่อย ฉินเวยเวยรู้สึกปลงในใจ ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “พวกเจ้าสองคนติดตามข้ามานานขนาดนี้ ไม่ยุติธรรมกับพวกเจ้าเลย พวกเจ้าไม่ต้องห่วงนะ หลังจากแต่งงานข้าจะโน้มน้าวให้นายท่านรีบไปเข้าห้องหอกับพวกเจ้า จะเป็นผู้หญิงที่ไม่รู้รสชาติของการเป็นผู้หญิงไปทั้งชีวิตไม่ได้”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา หญิงรับใช้ทั้งสองก็หน้าแดงทันที

ทั้งสองต้องแต่งงานไปพร้อมกับเจ้านาย นี่คือเรื่องที่ต้องมาถึงในสักวันหนึ่ง ดังนั้นเมื่อได้ยินข่าวเรื่องแต่งงาน จังหวะการก้าวเท้าของทั้งสองถึงได้ฟังดูเริงร่าขนาดนั้น ในใจรู้สึกตื่นเต้นหรรษา เพียงแต่โดนพูดเปิดโปงความคิดในใจแบบนั้น จะให้พวกนางทนความรู้สึกได้อย่างไร

แต่ในเมื่อเจ้านายพูดแบบนี้แล้ว ก็ทำให้คนรู้สึกทั้งเขินอายทั้งโชคดี ใช่ว่าหญิงรับใช้ของเจ้านายที่เป็นผู้หญิงทุกคนจะโชคดีแบบนี้ หญิงรับใช้บางคนไปเจอกับเจ้านายที่อยู่เป็นโสดไปทั้งชีวิต พวกนางก็ทำได้เพียงเป็นม่ายทั้งชีวิตเช่นกัน ยังมีที่แย่กว่านั้น ก็คือโดนเจ้านายผู้หญิงหวงแหน ไม่ยอมให้ผู้ชายแตะต้อง หญิงรับใช้ประจำตัวแบบนี้ ใช่ว่าพวกนางจะไม่เคยเจอมาก่อน เมื่อวันเวลานานไปใบหน้าก็จะเหมือนเด็กสาวอ่อนต่อโลก จืดชืด ทำหน้าเหมือนมีใครติดหนี้นางอย่างนั้นแหละ บนใบหน้าราวกับเขียนคำว่า ‘ไร้หัวใจ’ เอาไว้ ดูแล้วน่ากลัว ผู้หญิงประเภทนั้นเหมือนกับที่เจ้านายบอกจริงๆ เป็นผู้หญิงที่ไม่รู้รสชาติของการเป็นผู้หญิงไปทั้งชีวิต…

ทางปราสาทดำเนินสุริยันไม่ต้องส่งมอบงาน หลังจากอวิ๋นจือชิวได้คุมยอดเขาหยกนครหลวงแล้วค่อยจัดการ แค่ต้องเตรียมการทางด้านนี้นิดหน่อยก็พอ

หลังจากเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว อวิ๋นจือชิวก็นำกำลังคนไปที่เมืองหลวง ไปรับงานกับจงเจิ้นแบบต่อหน้า เท่านี้ก็นับว่าได้กลายเป็นท่านทูตสายมะโรงอย่างเป็นทางการแล้ว

ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงราวกับภาพฝันมายาที่อยู่ในภาพวาด อวิ๋นจือชิวที่เพิ่งรับช่วงต่อปราสาททองงานยุ่งมาก ไม่ใช่แค่ในด้านพิธีการ ทั้งยังมีประมุขปราสาทสายต่างๆ คอยเข้าพบ มีแขกจากที่ต่างๆ มาร่วมแสดงความยินดี รวมทั้งงานเล็กงานใหญ่ต่างๆ อีก

ถึงแม้เหมียวอี้จะถูกอวิ๋นจือชิวแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของสายมะโรงทันที แต่เขาก็ไม่ได้เข้าไปแทรกแซงงานอะไร และส่วนใหญ่ก็ไม่ได้โผล่หน้าออกมาด้วย ตอนนี้ข้างบนมีอวิ๋นจือชิวคุม ส่วนข้างล่างก็มีหยางชิ่งทำงานให้ แล้วก็ไม่มีใครสะดวกใจจะใช้ให้เขาทำอะไรทั้งนั้น อุตส่าห์เข่นฆ่าฝ่าฟันขึ้นมาตลอดทาง ตอนนี้เขากลับกลายเป็นคนว่างงานจริงๆ แล้ว

เพราะเหตุนี้ ถ้าเขาไม่เก็บตัวฝึกฝน ก็ไปล่องเรือบนทะเลสาบหยกโดยมีหลินผิงผิงไปเป็นเพื่อน ถ้าได้ว่างแบบนี้ไปทั้งชีวิตเขาก็ไม่เป็นไร แต่นั่นเป็นเรื่องเพ้อฝัน

กลับเป็นหลินผิงผิงที่รู้สึกทอดถอนใจยิ่งกว่าเขา นางนึกไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ ไม่น่าเชื่อว่าฮูหยินของเหมียวอี้จะกลายเป็นนายท่านของเมืองหลวงอันเจริญรุ่งเรือง กลายเป็นนายท่านของสายมะโรงที่มีภูเขาแม่น้ำนับหมื่นลี้และมีสาวกนับไม่ถ้วน

บนระลอกคลื่นสีเขียวมรกต ลมยามเย็นพัดเบาๆ แสงอาทิตย์ยามเย็นย้อมจนเป็นสีแดง ผิวน้ำเป็นระลอกคลื่น บนเรือดอกไม้ลำเล็ก เหมียวอี้ที่เอนกายอยู่บนเก้าอี้ราวกับง่วงนอนเอ่ยว่า “หลินผิงผิง ตอนนี้ตำแหน่งหาข่าวในเมืองหลวงที่เจ้าทำไม่จำเป็นต้องมีอยู่แล้ว วรยุทธ์อย่างเจ้าเป็นประมุขจวนก็พอได้ ในสายมะโรงเจ้าเลือกได้ตามใจชอบเลย ชอบจวนไหนก็บอกมา ข้าจะช่วยจัดการให้เจ้า”

หลินผิงผิงที่อยู่ข้างๆ พูดอย่างลำบากใจ “ข้าน้อยเอ้อระเหยลอยชายจนชินแล้ว ทำอะไรเป็นการเป็นงานไม่ได้ เรื่องห้ำหั่นกันด้วยกลอุบาย เกรงว่าข้าน้อยจะทำหน้าที่ได้ไม่ดี”

เหมียวอี้หลับตาขานรับ “เจ้าเองก็รู้ ข้าจะยังมีฐานะสำคัญอีกอย่าง เป็นประมุขถิ่นกลางของทะเลดาวนักษัตร ข้ามีตำหนักอยู่หลังหนึ่งที่ทะเลดาวนักษัตร ยังไม่มีคนของตัวเองไปเฝ้าพอดี เจ้าเต็มใจจะไปมั้ย?”

หลินผิงผิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “หากนายท่านรู้สึกว่ามีความจำเป็น ข้าน้อยก็ย่อมปฏิบัติตามคำสั่ง!”

“ฟังดูเหมือนไม่ค่อยเต็มใจนะ” เหมียวอี้กล่าวอย่างเนิบนาบเกียจคร้าน “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ”

หลินผิงผิงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าน้อยก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป เกิดอาลัยอาวรณ์ความเจริญรุ่งเรืองของโลกมนุษย์ที่นี่ ชอบดูมนุษย์ในโลกนี้ค่อยๆ แก่ตัวไป แล้วมีชีวิตใหม่เริ่มต้นอีก วนไปวนมาซ้ำๆ มองเท่าไรก็ไม่เบื่อ!”

แสงแดดสีแดงยามเย็นสาดใส่เก้าอี้โยก จู่ๆ เหมียวอี้ก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมา ชี้นางพร้อมบอกว่า “ข้าอนุญาตให้เจ้าเป็นอิสระอยู่ในโลกนี้! แน่นอน มันอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ข้ายังมีความสามารถนี้อยู่นะ ตำแหน่งว่างงานแบบนี้ ข้าจะเก็บไว้ให้เจ้าต่อไปก็แล้วกัน!”

หลินผิงผิงอึ้งทันที จู่ๆ ก็รู้สึกว่านายท่านสูญเสียความกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาที่เคยมีในอดีตไปแล้ว ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังเบื่อหน่ายสุดๆ…

ส่วนอันหรูอวี้คุณชายรองของแดนโพ้นสวรรค์ ตอนนี้มาถึงยอดเขาหยกนครหลวงแล้ว เหตุผลที่มาก็คือแสดงความยินดีที่อวิ๋นจือชิวได้เลื่อนขั้น แต่เจตนาที่แท้จริงก็คือ มาติดต่อพูดคุยเรื่องฤกษ์แต่งงานกับอวิ๋นจือชิว

การมาหาอวิ๋นจือชิวเพื่อคุยเรื่องแบบนี้ ทำให้อันหรูอวี้รู้สึกจนใจมาก แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะในอนาคตท่านนี้จะได้เป็นภรรยาเอก เรื่องอนุภรรยาก็ต้องให้นางจัดการเช่นกัน กอปรกับที่อวิ๋นจือชิวเป็นท่านทูตสายมะโรง เห็นได้ชัดว่าเป็นเจ้าบ้าน ถ้าไปทำให้อวิ๋นจือชิวไม่พอใจ เกรงว่าในอนาคตลูกสาวของตนจะใช้ชีวิตลำบาก ถ้าไม่มาหาอวิ๋นจือชิวแล้วจะให้ไปหาใครล่ะ

ตอนที่คุยกัน อวิ๋นจือชิวดึงตัวหยางชิ่งมาด้วย เพื่อให้มาปรึกษาหารือร่วมกัน ถึงอย่างไรลูกสาวของหยางชิ่งก็จะแต่งงานเหมือนกัน จะฟังความคิดเห็นคนอื่นไม่ได้

เลือกฤกษ์มงคลสำหรับวันแต่งงานได้แล้ว เป็นครึ่งเดือนหลังจากนี้

เดิมทีอวิ๋นจือชิวอยากจะจัดงานให้ใหญ่โต ไม่อยากให้เจ้าสาวใหม่ทั้งสามคนน้อยเนื้อต่ำใจ ปรากฏว่าอันหรูอวี้กับหยางชิ่งคัดค้าน ต้องการให้จัดแบบเรียบง่าย เหตุผลก็คือการแต่งงานเป็นอนุภรรยาไม่จำเป็นต้องจัดใหญ่โต

เมื่อเดินในเส้นทางนี้แล้ว อันหรูอวี้ก็ไม่อยากจัดงานให้โดนเด่นเกินหน้าเกินตาอวิ๋นจือชิวในตอนแรก กลัวว่าอวิ๋นจือชิวจะไม่พอใจแล้วมาหาเรื่องลูกสาวตัวเอง หยางชิ่งก็กังวลเช่นเดียวกัน ในเมื่อจะแต่งเป็นอนุภรรยาก็ต้องมีจิตสำนึกของอนุภรรยา

อวิ๋นจือชิวเห็นว่าโน้มน้าวไม่ได้ผล จึงทำตามเจตนาของทั้งสอง ที่จริงในใจก็ภูมิใจอยู่นิดๆ นับว่าพวกเจ้าอยู่เป็น ไม่ลืมว่าใครกันแน่ที่เป็นภรรยาเอก!

หลังจากตกลงเรื่องนี้กันได้ อันหรูอวี้ถึงได้กลับไปอย่างหายกังวล นางอยากจะจัดการเรื่องหนักใจให้เสร็จเร็วๆ ก่อนที่นางกับสามีจะได้รับโทษ ไม่อยากให้มีเงามืดมาบดบังตอนลูกสาวตัวเองแต่งงาน

เรื่องแต่งงานส่งต่อให้หยางชิ่งกับเหยียนซิวช่วยกันจัดการ ผู้การใหญ่ฝ่ายนอกและฝ่ายในรับผิดชอบร่วมกัน เหมียวอี้ขี้คร้านจะกังวลเรื่องนี้ ก็เหมือนที่เขาบอกกับอวิ๋นจือชิว งั้นข้ารอเข้าห้องหอก็พอ!

ปรากฏว่ายั่วให้อวิ๋นจือชิวโมโหจนเตะต้นขาเขาอย่างแรงหนึ่งที!

เหมียวอี้รับอนุภรรยาพร้อมกันสามคน แถมมู่ฝานจวินยังประทานงานสมรสให้ด้วย ย่อมเป็นข่าวไปทั่วทั้งแดนฝึกตนอยู่แล้ว คนมากมายที่ไม่รู้สถานการณ์รู้สึกแปลกใจมาก ปราชญ์เซียนมู่ฝานจวินจะยัดผู้หญิงให้เหมียวอี้ในรวดเดียวไปทำไม? ทำไมวาสนาแบบนี้ไม่ตกมาถึงข้าบ้าง?

ด้วยเหตุนี้ จึงเพิ่มความพิลึกพิลั่นให้กับชื่อเสียงของไอ้เหมียวจัญไรหลายส่วน คนที่ไม่เคยเจอก็อยากจะเห็นลักษณะท่าทางของเขาจริงๆ

หญิงรับใช้คนหนึ่งของโอวหยางกวงมาถึงแล้ว ทั้งยังพาหญิงรับใช้ของโอวหยางหลางกับโอวหยางหวนมาด้วยสองคน มาเข้าร่วมการเตรียมงานแต่งงาน เมื่อถึงเวลานั้น อย่าให้คนที่มาใหม่ไม่รู้แม้กระทั่งห้องหอต้องเดินเข้าออกทางไหน

หยางชิ่งกำลังจัดการกิจธุระของสายมะโรงไปพร้อมๆ กับจัดการเรื่องงานแต่งงาน เขายุ่งคนไม่มีเวลาไปฝึกตน ตอนนี้กำลังอยู่ในจวนผู้การใหญ่และเร่งทำความเข้าใจสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ของสายโรง ชิงจวี๋กลับวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าที่ไม่ปกติ นางกล่าวเสียงสั่นว่า “นายท่าน! มีคนมาขอพบเจ้าค่ะ!”

“ใคร?” หยางชิ่งเงยหน้าถาม สังเกตได้เช่นกันว่าชิงจวี๋มีปฏิกิริยาไม่ปกติ

ชิงจวี๋วางแผ่นหยกไว้บนโต๊ะยาว เม้มริมฝีปากแน่น ไม่ยอมตอบอะไรทั้งนั้น

หยางชิ่งสงสัย พอหยิบแผ่นหยกมาอ่าน ก็ลุกพรวดขึ้นทันที เบิกตาโพลงและหายใจถี่กระชั้น ในแผ่นหยกมีอักษรเพียงไม่กี่ตัว : ริมแม่น้ำจัวสุ่ย ฉิน!

เมื่อเห็นเขาทำท่าเหมือนโดนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ชิงเหมยก็รีบมองไปที่ชิงจวี๋ด้วยแววตาสอบถาม เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเหม่อลอย จึงไม่เข้าใจที่นางสื่อ

หยางชิ่งที่ได้สติกลับมาหลังจากผ่านไปนาน ตอนนี้กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก แล้วถามว่า “นางไม่รู้เลยว่าข้าเป็นใคร ทำไมถึงมาหาข้าที่นี่ได้ เป็นนางเหรอ?”

“เบื้องล่างส่งรายงานขึ้นมาเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ออกไปพบ!” ชิงจวี๋ส่ายหน้า

“เรื่องแต่งงานอาจจะสะเทือนไปถึงนาง ไปเชิญมาเถอะ!” หยางชิ่งถอนหายใจเบาๆ

หลังจากชิงจวี๋ออกไปแล้ว ชิงเหมยก็รีบถาม “นายท่าน เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ?”

หยางชิ่งยื่นแผ่นหยกในมือให้ “เจ้าอ่านเองสิ”

หลังจากชิงเหมยรับมาอ่าน ก็ตะลึงงันในทันที เบิกตาโพลงขึ้นหลายส่วน ในแววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

…………………………

[1] ใช้กระบองตีนกเป็ดน้ำให้แยกคู่ 棒打鸳鸯 หมายถึง ขัดขวางไม่ให้รักกัน

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset