พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1350 ทัพกลางถอนกำลัง

เห็นได้ชัดเจนมาก ขนาดคนฝั่งนี้ยังรู้ว่าเหมียวอี้กำลังเผชิญสถานการณ์แบบไหน คาดว่าเรื่องที่พวกเขาเข้าประตูไม่ได้คงจะกระจายอยู่ในนี้แล้ว คนเบื้องล่างของธงพยัคฆ์ดำจะต้องไม่ปกป้องชื่อเสียงของผู้บัญชาการใหญ่คนใหม่แน่นอน

“บังอาจ!” สวีถังหรานตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด “กล้ากำเริบเสิบสานต่อหน้าผู้บัญชาการใหญ่!”

“ข้าน้อยพูดความจริง มีตรงไหนที่พูดผิดงั้นเหรอ?” อ้าวโม่ชิงถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“รนหาที่ตายรึไง!”

สวีถังหรานกำลังจะก้าวขึ้นมาข้างหน้า แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้กลับโบกมือ หยุดยั้งพฤติกรรมที่รุนแรงเกินขอบเขตของเขา แล้วเอียงหน้าจ้องอ้าวโม่ชิง พร้อมกล่าวอย่างเย็นเยียบ “ทั้งชั่วร้ายทั้งดื้อด้าน ไม่แปลกใจที่โดนขังอยู่ที่นี่จนอนาคตเลือนราง!”

“ผู้บัญชาการใหญ่ก็พูดถูก ไม่สู้ปล่อยพวกเราไปเหมือนปล่อยตดก็สิ้นเรื่องแล้ว ทำไมต้องกลั่นแกล้งตัวละครเล็กๆ อย่างพวกเรา?” อ้าวโม่ชิงกุมหมัดคารวะ

“ปล่อยเหรอ?” เหมียวอี้ทำเสียงฮึดฮัด แล้วกล่าวตรงๆ ว่า “พวกเจ้าไม่มีค่าพอให้ข้ากลั่นแกล้งหรอก ในสายตาของข้า พวกเจ้าก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่บังเอิญใช้งานได้ก็เท่านั้นเอง!” เขาหันไปมองพวกไป๋หลันต่อ “ข้ายังไม่กลัวที่จะบอกพวกเจ้าด้วยนะ ว่าในเมื่อข้ามาหาพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าก็ไม่มีทางเลือกหรอก! ถ้าข้าปกป้องตัวเองลำบากแล้วผ่านด่านนี้ไปไม่ได้ พวกเจ้าเชื่อมั้ยว่าต่อให้ธงพยัคฆ์ดำจะไม่ฆ่าล้างสำนักหกนิ้ว แต่ก็จะมีคนมากวาดล้างสำนักหกนิ้วจนราบอยู่ดี! แต่ถ้าเชื่อฟังข้า ให้ข้าผ่านด่านนี้ไปและควบคุมธงพยัคฆ์ดำได้ ข้าก็ย่อมบังคับธงพยัคฆ์ดำไม่ให้แต่ต้องพวกเจ้าได้อยู่แล้ว หลังจากจบเรื่องข้าจะมอบร้านค้าดีๆ สักร้านในตลาดสวรรค์ให้สำนักหกนิ้วเพื่อเป็นรางวัล ข้าจะต้องชนะ! นี่ก็คือทางรอดเดียวของพวกเจ้า ไม่ทราบว่าสำนักหกนิ้วมีความเห็นอย่างไร?”

เมื่อกล่าวมาแบบนี้ เจ้าสำนักไป๋หลันรวมทั้งผู้อาวุโสทั้งสี่ท่านก็ทำสีหน้าเศร้าโศก ใบหน้าซีดเทาราวกับคนตาย  พวกเราไปหาเรื่องใครงั้นเหรอ พอพวกเจ้ามาพวกเราก็หลบให้แต่โดยดี ขนาดอาณาเขตของสำนักก็ยังให้พวกเจ้าแล้ว เป็นเพราะมีค่าให้ใช้ประโยชน์แค่นั้น ก็โดนลากเข้ามาพัวพันกับการแก่งแย่งอำนาจภายในของธงพยัคฆ์ดำแล้ว ช่างเป็นภัยร้ายที่ไม่มีเค้าลางจริงๆ!

ซาจินเปียวเทพแห่งภูผาเหอตง จืออู๋หลี่เทพแห่งภูผาเหอซี อ้าวโม่ชิงเทพคงคาซ่างจิ่ววาน ปู้เหลียนหรงเทพคงคาเซี่ยลิ่ววาน ทั้งสี่สบตากันอย่างเศร้าสลด เมื่ออยู่ต่อหน้าเหมียวอี้ ศักยภาพและภูมิหลังของพวกเขาก็ไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึงเลยจริงๆ ต่อให้ตอนนี้เหมียวอี้จะยังไม่ได้กุมอำนาจมหาศาลของธงพยัคฆ์ดำ แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะมีเรื่องด้วยไหว

สานสัมพันธ์กับสำนักหกนิ้วมานานขนาดนี้ การที่พวกเขาแบกรับความเสี่ยงเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้สำนักหกนิ้ว ก็นับว่าเป็นขีดจำกัดสูงสุดที่พวกเขาสามารถทำได้แล้ว แต่เมื่อเหมียวอี้ลั่นวาจาออกมาแบบนี้ ทั้งสี่ก็รู้ว่าครั้งนี้สำนักหกนิ้วต้องเข้ามาอยู่ในวังวนขนาดใหญ่ อยากจะหนีแต่ก็ไม่มีทางหนี ก็เหมือนกับที่อีกฝ่ายบอกไว้ โดนคนที่มีอำนาจระดับนี้มาหาเรื่องถึงที่ สำนักหกนิ้วไม่มีทางเลือกเลย ปู่ของเจ้าสำนักไป๋หลันที่อยู่ตำหนักสวรรค์ก็รับตำแหน่งที่ไม่สำคัญอะไร ไม่มีทางงัดข้อกับคนที่สามารถคว่ำเมฆพลิกฝนในตลาดสวรรค์อย่างเหมียวอี้ไหว

ในสายตาของพวกหยางเจาชิง ผู้บัญชาการใหญ่ยังคงหยิ่งผยองอวดดีเหมือนเดิม

หยางชิ่งกลับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก พบว่าเป็นลักษณะการทำงานของเหมียวอี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร รวบรัดรัวดาบฟันเชือก พอมีเป้าหมายก็พุ่งเข้าใส่ เมื่อเจอภูเขาก็สร้างทาง เมื่อเจอแม่น้ำก็สร้างสะพาน ไม่สนใจเลยว่าจะเดินผ่านทางข้างหน้าไปได้หรือไม่ เดินไปก่อนแลวค่อยว่ากัน

เพียงแต่เขาไม่ค่อยเข้าใจ จึงถ่ายทอดเสียงถามว่า “นายท่าน ดึงสำนักหกนิ้วเข้ามาข้ายังพอเข้าใจได้ แต่จะดึงเทพคงคากับเทพแห่งภูผาออกมาทำไม?”

เหมียวอี้ตอบว่า “พวกเรามีไม่กี่คน กำลังคนน้อยเกินไป ช่วงชิงมาได้เพิ่มสักคนก็ยังดี ไม่สนใจหรอกว่าพวกเขาจะมีประโยชน์มั้ย ตราบใดที่ไม่ใช่คนของธงพยัคฆ์ดำก็ดึงเข้ามาก่อน ผูกมัดไว้กับพวกเราก่อนแล้วค่อยว่ากัน ต่อให้เอามาเป็นคนเฝ้าบ้านเฝ้าสวนลาดตระเวนก็ยังดี เจ้าสี่คนนี้ทั้งชั่วร้ายทั้งดื้อด้าน ถ้าไม่อยากทำให้สำนักหกนิ้วลำลากไปด้วย ก็มีแต่จะต้องเชื่อฟังอย่างว่านอนสอนง่ายเท่านั้น”

ก็ยังนึกว่าเป็นแผนที่สูงส่งล้ำเลิศอะไร ที่แท้ก็เป็นเพราะสาเหตุนี้ หยางชิ่งพูดไม่ออก…

หลังจากแอบปรึกษากับผู้อาวุโสทั้งสี่คนแล้ว ไป๋หลันที่สีหน้าขื่นขมก็จ้องเหมียวอี้พักหนึ่ง ก่อนจะกุมหมัดคารวะอย่างลำบากยากเย็น “สำนักหกนิ้วยินดีเชื่อฟังคำสั่งผู้บัญชาการใหญ่”

พวกเขาก็รู้ดีเช่นกัน ว่าถ้าไม่ตอบตกลง ก็อย่าได้คิดจะรอดชีวิตหนีออกจากท่านที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ไปได้เลย

“ผู้รู้สถานการณ์ คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ!” เหมียวอี้กล่าวชม แล้วเอียงหน้าบอกว่า “หยางชิ่ง ไปเชิญคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูมาหน่อย”

“ขอรับ!” เมื่อเจอเหมียวอี้ใช้ไม้แข็ง หยางชิ่งก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ทำได้เพียงจัดการตามคำสั่ง

หลังจากหยางชิ่งไปแล้ว เหมียวอี้ก็ปรึกษาเรื่องแผนรับมือกับพวกไป๋หลันทันที

รอเพียงประเดี๋ยวเดียว คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูก็มาแล้ว หยางชิ่งเดินตามอยู่ข้างหลัง

พอเดินเข้ามาในตำหนักใหญ่ เห็นพวกไป๋หลันอยู่ด้วย คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูก็สบตากับแวบหนึ่งอย่างรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ทั้งสองเดินเข้ามากุมหมัดคารวะในตำหนักพร้อมกัน ก่อนที่คังจือลวี่จะถามว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ไม่ทราบว่าเรียกพวกเราสองคนมากำชับเรื่องอะไรขอรับ?”

“เฮ้อ!” เหมียวอี้ถอนหายใจ แล้วบุ้ยปากไปทางพวกไป๋หลัน “ไม่ใช่ว่าข้ามีอะไรจะกำชับหรอก แต่สำนักหกนิ้ววิ่งมาฟ้องข้าน่ะสิ”

“หืม?” คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูหันตัวมามองอย่างฉงน เหยาหย่วนชูขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าสำนักไป๋ มีเรื่องอะไรมารวบกวนผู้บัญชาการใหญ่?”

คาดว่าในใจไป๋หลันคงจะพึมพำด่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเหมียวอี้ แต่จะไม่เชื่อฟังก็ไม่ได้ จึงกัดฟันไม่สนใจสองคนนั้น แล้วกุมหมัดคารวะต่อเหมียวอี้อีกครั้ง เหมือนจะกล่าวสิ่งที่พูดก่อนหน้านี้ต่อ “ผู้บัญชาการใหญ่ ตั้งแต่สำนักหกนิ้วก่อตั้งมาจนถึงทุกวันนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ประสบกับเรื่องโดนไล่ออกจากสำนัก ลูกศิษย์ในสำนักมาถามแล้วถามอีกว่าจะได้กลับเมื่อไร พวกเราไม่มีหน้าจะไปเผชิญหน้าแล้ว หวังว่าผู้บัญชาการใหญ่จะเมตตา ให้พวกเรากลับมาด้วยเถิด”

เหมียวอี้ไม่พูดอะไร เพียงพยักหน้าบอกใบ้คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูเล็กน้อย ให้ทั้งสองตอบคำถาม

ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก แค่ได้ฟังแบบนั้น คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูก็เข้าใจแล้ว ยังนึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง

คังจือลวี่กล่าวเสียงเรียบว่า “เจ้าสำนักไป๋ เจ้าเลอะเลือนไปแล้วรึเปล่า ไล่ออกไปเหรอ? พวกเราไปไล่พวกเจ้าออกจากสำนักตั้งแต่เมื่อไรกัน? พวกเราก็แค่มาพักอยู่ที่นี่ชั่วคราว ของที่เอาไปไม่ได้แบบนี้ หลังจากทำงานเสร็จจากที่นี่ไปแล้วก็ย่อมคืนให้ ตอนแรกพวกเจ้าก็ตอบตกลงเรื่องนี้เอง”

ไป๋หลันกุมหมัดคารวะต่อเหมียวอี้อีกครั้ง “ผู้บัญชาการใหญ่ได้โปรดช่วยให้สมปรารถนา”

ท่าทีที่ไม่สนใจใบดีแบบนี้ทำให้เหยาหย่วนชูมีสีหน้าโกรธเคือง ตะคอกว่า “ทุกแห่งในใต้หล้านี้ มิมีที่ใดไม่ใช่ผืนดินของราชัน คนที่มาคุมพื้นที่นี้ มิมิผู้ใดไม่ใช่ขุนนางของราชัน ตอนนี้ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์ก็แค่ขอยืมสำนักหกนิ้วของพวกเจ้าเป็นที่พักชั่วคราว พวกเราสุภาพเกรงใจ ทำไมพวกเจ้าต้องเกาะแกะไม่เลิก เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วใช่มั้ย!”

“นี่!” เหมียวอี้ยกมือขึ้น แล้วใช่คำพูดดีๆ เกลี้ยกล่อม “รองผู้บัญชาการใหญ่เหยา มีเรื่องอะไรก็คุยกัน ทำไมต้องขู่อีกฝ่ายด้วยล่ะ เอาอย่างนี้แล้วกัน ถึงยังไงก็เป็นอาณาเขตของพวกเขา พวกเขามีอำนาจตัดสินใจ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่เต็มใจให้พวกเราอยู่อาศัยอีก งั้นพวกเราถอนกำลังไปก็สิ้นเรื่องแล้ว ริมแม่น้ำด้านนอกใช่ว่าจะไม่มีที่พักเสียหน่อย ก็แค่ย้ายไปนิดเดียวเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”

เมื่อเขาเอ่ยปากพูดแบบนี้ คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูก็สังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทันที คังจือลวี่กล่าวเสียงเข้มว่า “ที่ผู้บัญชาการใหญ่พูดนั้นไม่ถูกต้อง ทัพใหญ่ของพวกเราประจำการที่นี่แล้ว จะยอมให้สำนักหกนิ้วเล็กๆ มากลับคำพูดจนต้องย้ายที่ง่ายๆ ได้ยังไง สำนักหกนิ้วไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว สมควรโดนโดนลงโทษอย่างหนัก!”

เจ้าสำนักไป๋หลันและคนอื่นๆ วิตกกังวลทันที จ้องปฏิกิริยาของเหมียวอี้อย่างไม่ละสายตา

เหมียวอี้ไม่ตกหลุมพรางนี้เลย ออกคำสั่งต่อไปว่า “สำนักหกนิ้วได้รับการสรรเสริญยกย่องจากตำหนักสวรรค์ ดาวเคราะห์ดวงนี้ก็เป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ตำหนักสวรรค์มอบให้สำนักหกนิ้ว ที่นี่คืออาณาเขตของพวกเขา แค่พวกเรามาบังคับยึดสำนักของพวกเขาก็ฟังดูเหลวไหลแล้ว ถ้าจะโดนลงโทษอย่างหนักเพราะเรื่องนี้ก็ไม่สมควร ข้าเป็นคนจิตใจดีมีมเมตตามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว มาที่นี่ครั้งแรกก็ไม่อยากทำเรื่องขาดคุณธรรมเหมือนกัน ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป ให้กำลังพลธงพยัคฆ์ดำถอนกำลังออกจากสำนักหกนิ้วเดี๋ยวนี้”

คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูสีหน้าเครียดเล็กน้อย ก้มหน้าก้มตา ไม่แสดงปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ

ในดวงตาเหมียวอี้ฉายแววเย็นเยียบ หรี่ตาเล็กน้อยพร้อมถามว่า “ทำไม? หรืออยากจะต่อต้านคำสั่งทหาร?”

ไม่มีใครแบกรับข้อหานี้ได้ง่ายขนาดนั้น เหยาหย่วนชูถอนหายใจแล้วบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ไม่ใช่ว่าพวกเราอยากต่อต้านคำสั่งทหารหรอกนะ กำลังพลธงอินทรีสิบกลุ่มล้วนเฝ้าประจำการอยู่ข้างนอก คนที่อยู่ฐานนี้ล้วนเป็นทัพกลาง เป็นกำลังพลองครักษ์ที่ขึ้นตรงกับนายท่าน แต่ไหนแต่ไรมาพวกเราก็ไม่เคยแทรกแซงเลย บัญชาการไม่ได้ ผู้บัญชาการใหญ่ได้โปรดถ่ายทอดคำสั่งเองเถอะขอรับ”

เหมียวอี้ไม่ถ่ายทอดคำสั่งประเภทนี้หรอก รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าคนพวกนี้รวมตัวกันต่อต้าน ‘คนนอก’ อย่างเขา ถ้าถ่อไปออกคำสั่ง แล้วบัญชาการไม่ได้ผลขึ้นมา เจ้าก็ลงโทษใครไม่ได้ ถ้ากล้าแตะต้องก็จะเป็นการปลุกระดมฝูงชนให้ต่อต้าน จะให้ลงโทษกำลังพลทุกคนของทัพกลางเหรอ? ถ้าจะทำแบบนั้น เหมียวอี้ก็ต้องมีศักยภาพนั้นก่อน ถ้าโดนกดดันจนต้องเรียกคำสั่งของตัวเองกลับมา แบบนั้นก็เป็นการสร้างความอัปยศอับอายให้ตัวเองแท้ๆ ในใจเขารู้อย่างชัดเจน ว่าสองคนที่อยู่ตรงหน้านี้คือผู้นำ ตราบใดที่ทั้งสองคนกดดันแบบนี้ต่อไป ธงพยัคฆ์ดำก็จะไม่มีใครฟังคำสั่งเขา

เหมียวอี้บอกว่า “ทั้งสองบัญชาการไม่ได้ก็ไม่เป็นไร สนใจแค่ถือคำสั่งข้าไปก็พอ ใช้คำพูดดีๆ เกลี้ยกล่อม ถ้าไม่ยินดีทำตามคำสั่งก็ได้ มีหนึ่งคนก็นับมาหนึ่งคน เขียนหนังสือลงนามยอมรับ ข้าจะดูว่าจะมีใครบ้างที่ขัดคำสั่ง ถ้าทุกคนล้วนคิดจะอยู่ที่นี่ไม่ยอมไป งั้นข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว เรื่องนี้ไม่ลำบากสำหรับทั้งสองใช่มั้ย?”

คำพูดนี้เหมือนการซ่อนเข็มไว้ในปุยนุ่น พูดอย่างสุภาพเกรงใจมาก หยางชิ่งแอบชมในใจว่าดีมาก จำเป็นต้องยอมรับว่าเหมียวอี้แก้ไขปัญญาเรื่องนี้ได้สมกับเป็นเขาจริงๆ เพียงแต่วิธีการที่ไม่รอบคอบแบบนี้เป็นการสร้างความอัปยศอดสูให้ตัวเองจริงๆ

คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูสบตากันอย่างพูดไม่ออก ถ้าจะต่อต้านก็ต้องมีเหตุผลเหมือนกัน ถ้าแม้แต่คำสั่งนี้ยังไม่เชื่อฟัง แบบนั้นก็อาจจะฟังดูเหลวไหลเกินไป อีกฝ่ายมีเหตุผลที่จะรายงานขึ้นไปให้เจ้าโดนลงโทษได้เลย

“ขอรับ!” ทั้งสองทำได้เพียงเอ่ยรับคำสั่งแล้วเดินออกไป

พวกหยางชิ่งสังเกตปฏิกิริยาของเหมียวอี้ เห็นเพียงเหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลัง มองคล้อยหลังสองคนนั้นไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“นายท่าน พอทัพกลางถอนกำลังแล้ว เกรงว่าจะยิ่งทำให้ชื่อเสียงบารมีของนายท่านเสียหายมากขึ้น ไม่เป็นผลดีต่อการควบคุมธงพยัคฆ์ดำในภายหลัง!” หยางชิ่งถ่ายทอดเสียงเตือน

“ตอนนี้ยังไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้นหรอก เดินก้าวหนึ่งดูก้าวหนึ่ง ดีกว่าให้พวกเรากินนอนลำบากเพราะมีกลุ่มคนที่ต่อต้านล้อมไว้” เหมียวอี้ตอบ

ด้านนอกตำหนัก ทั้งสองคนเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กัน คังจือลวี่แสยะยิ้มแล้วบอกว่า “เข้าประตูไม่ได้ แต่ยังกลัวว่าจะเสียหน้าไม่พอสินะ? ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าถ้าตั้งแต่ข้างบนยันข้างล่างต่อต้านคำสั่งของเขาหมด ทุกคนไม่ลงนามยอมรับ ดูวิว่าเขาจะหาทางลงยังไง!”

เหยาหย่วนชูบอกว่า “นี่เจ้ากำลังพูดไปเพราะอารมณ์โกรธรึเปล่า ใช่ว่าเจ้าจะมองไม่ออกถึงเจตนาของเขา เขารู้สึกว่าทัพกลางควบคุมได้ยาก ล้อมเฝ้าอยู่ข้างกายแล้วรู้สึกไม่ปลอดภัย อยากจะกันทุกคนออกไปก็เท่านั้นเอง แม้แต่ทัพกลางของตัวเองก็ไล่ออกไปรักษาระยะห่าง เจ้าไม่รู้สึกหรอกเหรอว่ามันตลกมาก? ตอนหลังก็ยิ่งเลิกคิดไปได้เลยว่าจะควบคุมทัพกลาง ในสายตาของพี่น้องทุกคนในธงพยัคฆ์ดำ บารมีความน่าเชื่อถือของหนิวโหย่วเต๋ออยู่ที่ไหน ขนาดทัพกลางของตัวเองยังเข้าใกล้ไม่ได้ ต่อไปจะออกคำสั่งบัญชาการกับคนอื่นๆ ทั้งธงพยัคฆ์ดำได้ยังไง? เขาทำแบบนี้เป็นการหาเรื่องใส่ตัว อยู่ที่ธงพยัคฆ์ดำได้ไม่นานหรอก!”

คังจือลวี่อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็หัวเราะลั่น “คำพูดนี้ก็มีเหตุผล แทบจะเลอะเลือนแล้ว ดีเลย ทำตามเจตนาเขาไปเถอะ!” จากนั้นสายตาก็เปลี่ยนเป็นเข้มขรึม “สำนักหกนิ้วไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว เดี๋ยวค่อยจัดการพวกเขาทีหลัง!”

ทั้งสองที่มาถึงทัพกลางเดินวนรอบหนึ่ง และกลับเข้ามาในตำหนักอย่างรวดเร็ว พอเจอเหมียวอี้เพื่อรายงานอีกครั้ง ก็บอกว่าทุกคนในทัพกลางล้วนเชื่อฟังคำสั่งของผู้บัญชาการใหญ่ ขอเพียงผู้บัญชาการใหญ่ถ่ายทอดคำสั่งลงมา สามารถถอนกำลังออกจากสำนักหกนิ้วได้ทุกเมื่อ

เหมียวอี้ยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “ช่างเป็นคนที่ยอดเยี่ยมกันทั้งนั้น ข้ารู้อยู่แล้วว่าทัพกลางจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง งั้นก็ถ่ายทอดคำสั่งให้ถอนกำลังเถอะ”

คังจือลวี่กุมหมัดคารวะ แล้วถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้อว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ก็จะถอนกำลังตามทัพกลางออกไปด้วยใช่มั้ยขอรับ?”

“มิบังอาจ!” เจ้าสำนักไป๋หลันแห่งสำนักหกนิ้วรีบพูดต่อว่า “สำนักของเราแต่อยากจะขอสำนักคืนเท่านั้น มีหรือที่จะกล้าให้ผู้บัญชาการใหญ่ออกไปพักแรมในที่โล่งแจ้ง ขอเพียงผู้บัญชาการใหญ่กับรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองไม่รังเกียจ ที่พักที่ดีที่สุดของสำนักเรายังคงเตรียมไว้ให้ท่านทั้งสามใช้ได้ตามใจชอบ”

พอได้ยินแบบนี้ หยางชิ่งก็ไม่รู้ว่าตระหนักอะไรได้ หางคิ้วพลันกระตุกเล็กน้อย หันขวับไปมองเหมียวอี้ทันที

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset