พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1357 ข่าวลือ

“ปราบกบฎ?” เหมียวอี้หรี่ตาเล็กน้อย แล้วแสยะยิ้มถามว่า “จะปราบกบฎฝั่งไหนล่ะ?”

ที่เรียกรวมผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพมาตั้งแต่แรก ก็เพราะเตรียมจะกำจัดทิ้ง จัดการทัพกลางให้ได้ก่อน แล้ววค่อยอาศัยทัพกลางกำจัดผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพทิ้ง นึกไม่ถึงว่ายังมีข่าวหลุดไป แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่อยู่การคาดคะเนของเขา เขาเตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้ว คนเยอะหลายปากในขณะที่กำลังฉุกละหุก ไม่มีปัจจัยให้เขาเตรียมพร้อมป้องกันเช่นกัน การที่ข่าวหลุดไปก็พอเข้าใจได้ แต่ก่อนหน้านี้เขาไม่มีเวลามากังวลมากขนาดนั้น และไม่ได้กังวลเยอะเหมือนหยางชิ่งด้วย ตอนที่ควรจะเสี่ยงอันตรายเขาก็ไม่เคยลังเล เขาเพียงต้องลงมืออย่างรวดเร็วปานฟ้าผ่าจนทุกคนรับมือไม่ทันในตอนที่ทุกคนล้วนกำลังคิดว่าเขาเพิ่งมาได้วันเดียวจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะลงมือ จัดการทัพกลางให้ได้ก่อนต่างหากที่สำคัญที่สุด

และเมื่อได้ยินข่าวนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพก็สังหรณ์ใจถึงอันตรายของตัวเองเช่นกัน เดาออกแล้วว่าใครบางคนต้องการจะกำจัดพวกเขา ดังนั้นจึงรีบเลี้ยวกลับไปเรียกกำลังพลเพื่อมาปกป้องตัวเอง

จะปราบกบฎฝั่งไหนล่ะ? เหนียนซู่ใช้วิธีการเงียบเพื่อแสดงท่าทีชัดเจนแล้ว พูดในใจว่า ก็ย่อมต้องมองเจ้าเป็นเป้าหมายในการปราบกบฎอยู่แล้ว

แต่ในใจเขากระสับกระส่ายร้อนรนมาก ก่อนหน้านี้เป็นเพียงผู้บังคับการกองร้อยคนหนึ่ง ตอนนี้ได้โอกาสข้าม ‘ธรรมเนียมปฏิบัติ’ กระโดดข้ามตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการไปเป็นรองผู้บัญชาการของทัพกลางแล้ว ชั่วพริบตาเดียวก็ข้ามสองขั้น โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ ถ้าปล่อยให้ธงอินทรีสิบกองทัพพลิกกระดาน เช่นนั้นทุกสิ่งที่เขาเพิ่งได้ไปเมื่อครู่นี้ก็จะต้องสูญสิ้นไปเหมือนไก่ก็บินหนี ไข่ก็แตก แต่ทัพกลางมีคนประมาณหนึ่งหมื่นกว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะสู้กับทัพใหญ่หนึ่งแสนของธงอินทรีสิบกองทัพ

เหมียวอี้ไม่ได้พูดอะไรมากอีก มองดูทุกคนกะรตือรือร้นดึงตัวกำลังพลอย่างไม่รีบร้อนหวาดกลัว

เลื่อนขั้นรองผู้บัญชาการสองคนกับผู้ช่วยผู้บัญชาการสิบเอ็ดคนจากข้างล่างขึ้นมาในรวดเดียว แบบนี้หมายความว่าเบื้องล่างมีการเลื่อนขั้นแบบต่อเนื่องกัน เติมตำแหน่งแบบขั้นบันได คนหลายสิบคนได้เลื่อนขั้นร่ำรวย บรรยากาศไม่เลวเลย

ผู้บัญชาการใหญ่คือสวีถังหราน รองผู้บัญชาการคือเหนียนซู่ เหมาอวี่จวิน(หญิง) ผู้ช่วยผู้บัญชาการธงหมาป่าสิบเอ็ดกองทัพได้แก่ ไช่หลินเซียน(หญิง) หยวนอันเล่อ หลิวอีป๋อ อินลี่จี(หญิง) จัวหาน ซ่างหยว่นถิง กงฮ่าวเทียน ซงเยียนอวี่ จ้งเซิน เหวยซิน(หญิง) จ้าวมู่กุย

ในจำนวนนั้น ไช่หลินเซียนที่มีวรยุทธ์ระดับบงกชรุ้งขั้นสองถูกสวีถังหรานเลือกให้เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการธงหมาป่าที่อยู่ใกล้ชิดข้างกายตน เป็นสาวงามที่หน้าตาไม่เลวเลย ถึงแม้จะสวยสู้เสวี่ยหลิงหลงไม่ได้ แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้คนสงสัยถึงเจตนาของสวีถังหราน แต่นางเป็นเพียงแม่หม้ายคนหนึ่ง เดิมทีสามีของนางก็เป็นคนของธงพยัคฆ์ดำเช่นกัน ตอนหลังตายในสนามรบ นางจึงได้ครองตัวเป็นหม้าย

หลังจากแบ่งกำลังพลเสร็จแล้ว โครงสร้างของทั้งทัพกลางก็เท่ากับถูกล้างใหม่แล้ว หลังจากแต่ละฝ่ายรายงานเสร็จ ผู้บัญชาการสวีถังหรานก็ทำความเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างของลูกน้อง แล้วใช้สองมือยื่นรายชื่อของทัพกลางที่เขียนขึ้นมาใหม่ให้เหมียวอี้ จากนั้นก็กุมหมัดรายงานว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ จัดระเบียบทัพกลางเรียบร้อยแล้ว ยังขาดคนอีกหลายสิบคน”

ตอนนี้เขาสงบใจลงไม่น้อย ล้างคนของทัพกลางใหม่อีกครั้ง มีพลังอำนาจของผู้บัญชาการใหญ่ข่มอยู่ ใช่ว่าเขาจะควบคุมคนไม่ได้ ในใจแอบรู้สึกดีใจอยู่บ้าง

หลังจากเหมียวอี้อ่านรายชื่อแล้ว ก็บอกว่า “ปรับอีกหน่อย หยางชิ่ง หยางเจาชิง เหยียนซิว ไห่ผิงซิน ใส่ชื่อพวกเขาให้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเจ้า ตอนนี้ยังไม่ต้องให้รับภาระหน้าที่อะไร ให้เป็นที่ปรึกษาฟังคำสั่งอยู่ข้างกายข้า ส่วยรายชื่อที่ขาดไป เดี๋ยวข้าค่อยขอจากเบื้องบนมาเติม”

ทางด้านหน่วยองครักษ์ซ้ายขวา กำลังพลเบื้องล่างไม่มีอำนาจเติมกำลังพล กองมังกรดำก็ไม่มีอำนาจในการดึงคนเข้ามาตามอำเภอใจเช่นกัน มีเพียงคนที่มียศเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เลือกกำลังพลเพื่อรายงานขึ้นไปให้เบื้องบนตรวจรอบแล้วใส่ชื่อเข้ากองทัพองครักษ์ ไม่อาจให้ใครเข้ามาซี้ซั้วได้ และการร่างรายชื่อสมาชิกก็ควบคุมอย่างเข้มงวดมาก ไม่เลี้ยงตำแหน่งที่ไม่สำคัญ เหมียวอี้ก็ทำได้เพียงจัดให้พวกหยางชิ่งไปอยู่ใต้บังคับบัญชาของสวีถังหรานชั่วคราว สาเหตุที่ตอนนี้ยังไม่มอบตำแหน่งให้ ก็เพราะต้องการจะทำให้จิตใจของทหารในทัพกลางสงบก่อน ไม่ใช่เรื่องดีที่จะยึดครองตำแหน่งอื่นอีก รอให้แก้ปัญหาเรื่องธงอินทรีสิบกองทัพได้ก่อน เดี๋ยวก็ย่อมมีตำแหน่งจำนวนมากให้ปรับเอง

“รับทราบ!” สวีถังหรานเอ่ยรับ

เหมียวอี้บอกอีกว่าว่า “สั่งให้ทัพกลางตั้งธงพยัคฆ์ดำก่อน หยางชิ่ง พวกเราทำลายตำหนักใหญ่ของคนอื่นไปแล้ว เจ้าไปเรียกเจ้าสำนักไป๋มาปรึกษาเพื่อสร้างใหม่ นี่คือพื้นที่ส่วนตัวที่ตำหนักสวรรค์มอบเป็นรางวัลให้พวกเขา ส่วนที่พวกเราควรจะชดเชยก็ต้องชดเชย แล้วก็ขอยืมที่สถานที่ที่เหมาะกับการพักอาศัยจากเจ้าสำนักไป๋ด้วย แล้วค่อยแบ่งที่ให้กำลังพลทัพกลางอยู่ คนระดับผู้ช่วยผู้บัญชาการทัพกลางขึ้นไปตามข้าไปที่ห้องประชุม”

ตำหนกใหญ่บนยอดเขาพังทลาย ไม่อาจฟื้นฟูได้ภายในเวลาอันสั้น กลุ่มคนสิบกว่าคนไปประชุมแยกที่ลานบ้านอีกแห่ง

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สวีถังหรานก็นำรองผู้บัญชาการรวมทั้งกลุ่มผู้ช่วยผู้บัญชาการเร่งเดินออกมา รีบเข้าไปรวมกับกำลังพลทัพกลางเพื่อมอบงาน

ผ่านไปไม่นาน กำลังพลทุกคนของทัพกลางก็ทยอยกันหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับภายนอก ต่างคนต่างติดต่อคนในธงอินทรีสิบกองทัพที่ตัวเองรู้จัก บอกสถานการณ์ภายในให้รับรู้ ไม่ได้บอกเพียงเรื่องที่คังจือลวี่ เหยาหย่วนชูกับพวกเผยไหลหมิงโดนประหารเท่านั้น ยังเน้นบอกเรื่องที่คนส่วนใหญ่ทัพกลางได้เลื่อนตำแหน่งด้วย บอกว่าผู้บัญชาการใหญ่ออกคำสั่งถอดผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพออกจากตำแหน่งแล้ว เกลี้ยกล่อมให้กำลังพลของธงอินทรีสิบกองทัพจับตัวผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพรวมทั้งลูกน้องคนสนิท แล้วผู้บัญชาการใหญ่ก็สัญญาว่าจะเลื่อนขั้นให้ผู้ที่สร้างผลงานเหมือนกับที่ให้รางวัลทัพกลาง…

ในดาราจักร ทัพใหญ่หนึ่งแสนกว่าของธงอินทรีสิบกองทัพกำลังเร่งเดินทาง

ผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพรวมกลุ่มกันอยู่ข้างหน้า แต่ละคนสีหน้าจริงจังหนักแน่น กำลังถ่ายทอดเสียงปรึกษากัน

“รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองตายไปแล้ว พวกเราต้องใช้กำลังทหารข่มขู่จริงๆ เหรอ?” ผู้บัญชาการหลี่จื้อหย่วนถาม

ผู้บัญชาการหวังลี่คุนกล่าวเสียงต่ำว่า “จุดประสงค์ของหนิวโหย่วเต๋อยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ? ที่เรียกพวกเราไปประชุมวันนี้ เห็นได้ชัดว่าจะอาศัยโอกาสกำจัดพวกเรา ไม่อย่างนั้นจะลงมือกับรองผู้บัญชาการใหญ่สองท่านนั้นได้ยังไง โชคดีที่พวกเราได้ข่าวก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าพุ่งชนเข้าไป ก็ยังไม่รู้เลยว่าเรื่องเป็นยังไง”

“พวกเราเป็นลูกน้องเก่าแก่ของรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสอง ทั้งยังกุมอำนาจทางทหารของธงอินทรีสิบกองทัพ ถ้าหนิวโหย่วเต๋ออยากจะควบคุมธงอินทรีสิบกองทัพให้ได้ มีหรือที่จะวางใจหากพวกเรากุมอำนาจทางทหารต่อไป ตอนนี้พวกเรามีเพียงสองทางให้เดินเท่านั้น ถ้าไม่เป็นฝ่ายยอมแพ้ทิ้งอำนาจทางทหาร บางทีอาจจะรักษาชีวิตไว้ได้ หรือไม่อย่างนั้นก็ใช้กำลังทหารข่มขู่ ถอดอำนาจของเขาให้หมดโดยสิ้นเชิง แล้วพวกเราก็ควบคุมธงพยัคฆ์ดำ” ผู้บัญชาการเมิ่งหวนกล่าว

พวกเขาเงียบไปครู่หนึ่ง ภายใต้สถานการณ์ที่ตัวเองได้เปรียบเพราะกุมอำนาจทางทหารไว้ ถ้าเป็นฝ่ายทิ้งอำนาจทางทหารเอง ก็จะทำได้แค่เอาชีวิตรอดไปวันๆ เกรงว่าจะไม่มีใครยอม หลี่จื้อหย่วนมองดูปฏิกิริยาของคนอื่นๆ แล้วถอนหายใจ “ดูท่าแล้ว ตอนนี้พวกเราคงจะทำได้เพียงใช้กำลังทหารข่มขู่”

พวกเขาพยักหน้าพร้อมกัน ผู้บัญชาการสวินชิวเย่บอกว่า “ตอนนี้ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าสถานการณ์ทางทัพกลางเป็นยังไง”

ผู้บัญชาการเซี่ยอวิ๋นเกาบอกว่า “ติดต่อเผย อู๋ เหิงไม่ได้ คงจะตายไปแล้ว ลูกน้องเยอะขนาดนั้นแต่ยังตายได้ ไม่รู้ว่าทำไปได้ยังไง พอติดต่อคนอื่นซ้ำๆ ก็ไม่มีใครตอบกลับ ถ้าข้าเดาไม่ผิด กำลังพลทัพกลางคงจะหันอาวุธโจมตีฝ่ายตัวเองไปแล้ว”

“ไอ้พวกที่ไม่มีความหยิ่งในศักดิ์ศรี ต่อให้หันอาวุธทำร้ายพวกเดียวกันแล้วยังไงล่ะ กำลังพลทัพกลางหมื่นกว่าคนจะต้านทานทัพใหญ่หนึ่งแสนของพวกเราได้เหรอ?” หวังลี่คุนแสยะยิ้ม

“ตอนหลังเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว?” เมิ่งหวนหันกลับมาถามเสียงต่ำ

ผู้บัญชาการที่เหลือหันไปมอง เห็นเพียงมีคนไม่น้อยท่ามกลางกำลังพลเบื้องหลังหยิบระฆังดาราออกมา ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อใคร

“นี่มันเรื่องอะไรกัน? กำลังอยู่ระหว่างทางเดินทัพ ใครใช้ให้พวกเจ้าติดต่อกับภายนอก?” หวังลี่คุนตะคอกถาม

ลูกน้องคนหนึ่งถลันตัวเหาะเข้ามาใกล้ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างย่ำแย่  “นายท่าน ทางทัพกลางส่งข่าวมา ทุกคนล้วนอยากรู้ว่าทางนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น จะได้รายงานขึ้นไปได้สะดวก แต่ใครจะคิดว่าทางทัพกลางกำลังชักจูงให้ยอมจำนน!”

“หยุด!” พวกผู้บัญชาการรีบหันตัวไปตะโกนหยุดทัพใหญ่ที่กำลังเดินทาง

“พวกเขาบอกอะไรมาบ้าง?” หวังลี่คุนถามเสียงเข้ม

“รองผู้บัญชาการใหญ่สองคนที่โดนประหารทิ้งไว้เพียงโทษฐานความผิด สารภาพว่าผู้ช่วยผู้บัญชาการทั้งสามของทัพกลางกับผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพวางแผนร้ายแย่งชิงตำแหน่ง เผย อู๋ เหิง ผู้ช่วยผู้บัญชาการทั้งสามที่คุมทัพกลางก็โดนกำลังพลทัพกลางยิงสังหาร ทัพกลางมีการปรับใหม่ มีคนไม่น้อยได้เลื่อนตำแหน่ง ตอนนี้ผู้บัญชาการใหญ่สั่งให้ทัพกลางส่งข่าวให้กำลังพลของธงอินทรีสิบกองทัพ ต้องการ…ต้องการ…”

“อึกอักทำไม ต้องการอะไร?”

“ต้องการให้กำลังพลของธงอินทรีสิบกองทัพจับตัวผู้บัญชาการสิบคนพร้อมลูกน้องคนสนิท แล้วผู้บัญชาการใหญ่สัญญาว่าจะเลื่อนขั้นให้ผู้ที่สร้างผลงานเหมือนกับที่ให้รางวัลทัพกลาง…”

ผู้บัญชาการสิบคนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย หวังลี่คุนถลันตัวไปอยู่ตรงกลางกองกำลังที่กำลังเดินทัพ คว้าแขนคนที่ถือระฆังดารา แล้วตะคอกถามว่า “บอกมา เรื่องอะไรกันแน่?”

คนคนนั้นบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียก พูดคล้ายๆ กับคนก่อนหน้านี้

ผู้บัญชาการสิบคนทยอยกันไปถามลูกน้อง ผลลัพธ์ที่ได้ล้วนเหมือนกัน แต่สิ่งนี้ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือในดวงตาของคนพวกนั้นฉายแววกระเหี้ยนกระหือรือเตรียมจะก่อเรื่อง

ผู้บัญชาการสิบคนหันกลับมาประชุมกัน หวังลี่คุนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “ลวงโลก! ตอนนี้พวกเรายังไม่ทันทำอะไรเลย ขนาดตรวจสอบยังไม่ตรวจสอบ เขามีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าพวกเราวางแผนร้ายชิงตำแหน่ง มีสิทธิ์อะไรมาถอดตำแหน่งพวกเรา ใครให้เขาใช้อำนาจทำซี้ซั้วโดยไม่อิงตามกฎระเบียบแบบนี้? ถ้าทุกคนทำซี้ซั้วเหมือนเขาหมด ทั้งหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายจะไม่วุ่นวายใหญ่โตหรอกเหรอ พวกเราควรรวบรวมรายชื่อฟ้องขึ้นไป!”

เย่สวินชิวหน้าดำคร่ำเครียด “ฟ้องร้องเหรอ? เจ้าจะฟ้องร้องอะไร? แม้แต่หน้าเขา พวกเราก็ไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ เจ้ารู้ได้ยังไงว่าเขาไม่อิงตามกฎระเบียบ? เขาสามารถยืนกรานปฏิเสธได้เลย เป็นกำลังพลเบื้องล่างที่ปล่อยข่าว เขาไม่ได้ออกคำสั่งจริงๆ เสียหน่อย มิหนำซ้ำ เจ้าจะนำสิ่งที่อีกฝ่ายพูดผ่านระฆังดารามาทำเป็นหลักฐานเหรอ? คนของทัพกลางสามารถปฏิเสธได้อย่างใสสะอาดเลย กุญแจสำคัญของปัญหาก็คือ ลูกน้องของพวกเราที่ได้ยินข่าวนี้ ถ้าแค่คนสองคนก็อาจจะไม่เชื่อ แต่ตอนนี้มีคนมากมายได้รับข่าวจากทัพกลาง พวกลูกน้องพากันคิดว่าพวกเราโดนถอดออกจากตำแหน่งแล้ว ถ้ารอให้พวกเรานำกำลังพลไปถึงจุดหมาย ก็ยังไม่รู้เลยว่าหัวใจของลูกน้องจะปั่นป่วนจนกลายเป็นยังไงบ้าง ชัดเจนว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังวางยาลดขวัญกำลังใจทหารของพวกเราล่วงหน้า ถ้าไปถึงที่เกิดเหตุแล้วเห็นคนมากมายของทัพกลางได้เลื่อนตำแหน่งจริงๆ แล้วหทารที่พวกเราพาไปใช้กำลังทหารข่มขู่จริง ถึงตอนนั้นหนิวโหย่วเต๋อก็จะออกคำสั่งปลดพวกเราต่อหน้าฝูงชน เผย อู๋ เหิง จุดจบของสามคนนั้นก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว เจ้าคิดว่าพวกลูกน้องจะไม่กล้าลงมือกับพวกเราเหรอ?”

สีหน้าของพวกผู้บัญชาการเปลี่ยนเป็นย่ำแย่มากทันที เซี่ยอวิ๋นเกากัดฟันบอกว่า “โจรสุนัข! ต่ำช้าไร้ยางอาย บังอาจมาปลุกปั่นหัวใจทหารของข้า สมควรตาย!”

หลี่จื้อหย่วนถอนหายใจ “ประเมินเขาต่ำไปแล้ว! หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ช่างสมกับคำร่ำลือ มิน่าล่ะถึงคว่ำเมฆพลิกฝนที่ตลาดสวรรค์ได้”

“เขาก็แค่ได้เปรียบเพราะมี ‘ฐานะ’ ผู้บัญชาการใหญ่!” เมิ่งหวนกล่าวอย่างเคียดแค้น

เพียงแต่ข่าวลือนี้ กดดันจนผู้บัญชาการทั้งสิบคนลำบากใจว่าจะรุกหรือจะถอยดี…

ท้องฟ้าใกล้จะเป็นสีแดงส้ม ในค่ายกลป้องกัน ในกำลังพลทัพกลางมีคนหยิบระฆังดาราออกมาเป็นระยะ คนฝั่งธงอินทรีสิบกองทัพแอบติดต่อกับคนฝั่งนี้ไม่หยุด คอยรายงานทิศทางความเคลื่อนไหวของธงอินทรีสิบกองทัพ เหมียวอี้ได้ยินข่าวแล้วยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์

“ผู้บัญชาการใหญ่ อีกสักพักกำลังพลของธงอินทรีสิบกองทัพก็จะมาถึงแล้ว!” เหนียนซู่ รองผู้บัญชาการทัพกลางรายงานอีกครั้ง

ตามที่ทัพใหญ่หนึ่งแสนของธงอินทรีสิบกองทัพกำลังประชิดเข้ามา บรรยากาศของที่นี่ก็ยิ่งตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ

“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป เปิดประตูค่ายกล กำลังพลทัพกลางทั้งหมดติดตามข้าออกไปจัดกระบวนทัพ เตรียมรับศึก!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ

“หา!” ทุกคนที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วตกใจมาก รีบเกลี้ยกล่อมอย่างหวั่นวิตก “ผู้บัญชาการใหญ่ ไม่ได้เด็ดขาด ฝ่ายศัตรูมีคนเยอะกว่า ควรจะขอความเมตตาจากกองมังกรดำเดี๋ยวนี้ เพื่อให้หยุดการกระทำบุ่มบ่ามของธงอินทรีสิบกองทัพได้ทันเวลา…”

พอพูดไปได้ครึ่งเดียว ก็โดนเหมียวอี้ตะคอกตัดบทด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดแล้วว่า “เปิดประตูค่ายกล กำลังพลทั้งหมดตามข้าไปรับศึก!”

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset