พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1369 ปิดร้านหนีไปแล้ว

พอได้ยินแบบนี้ สวีถังหรานก็แทบจะหัวเราะออกมา ผู้บัญชาการใหญ่ไม่เกรงใจเลยจริงๆ เมื่อคืนนี้เพิ่งจะเปิดโปงสัมพันธ์สวาทไป แต่วันนี้ก็เริ่มเรียกใช้ทำงานแล้ว ธงพยัคฆ์ดำในตอนนี้มีหน้าที่เฉพาะของตัวเอง ก็คือเฝ้ารักษาการณ์ในอาณาเขตดาวผืนนี้ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามละทิ้งหน้าที่โดยพลการ ภายใต้สถานการณ์ทั่วไปต่อให้ขออนุญาตแล้ว แต่คาดว่าเบื้องบนอาจจะไม่อนุญาต แต่ชวีหย่าหงกับมู่อวี่เหลียนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับรองแม่ทัพภาคโป๋ แล้วรองแม่ทัพภาคโป๋ก็เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของธงพยัคฆ์ดำ ให้สองคนนี้ไปเอ่ยปากขออนุญาตนั้นดีที่สุดแล้ว

“รับทราบ!” ชวีหย่าหงและมู่อวี่เหลียนเอ่ยรับพร้อมกัน

หยางชิ่งชำเลืองมองอย่างแปลกใจอยู่บ้าง พบว่ารองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองตอบตกลงได้อย่างสบายใจเกินไปหรือเปล่า ในเรื่องแบบนี้อาจจะไม่ตอบตกลงก็ได้ ไม่ควรปรึกษาหารือกันสักหน่อยเหรอ?

ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับชวีหย่าหงและมู่อวี่เหลียน แต่จากพฤติกรรมที่ผิดปกติของทั้งสองก็ทำให้สังเกตเห็นแล้วว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล

หลังจากประชุมเสร็จแล้ว หยางชิ่งก็มาหาเหมียวอี้ แล้วเอ่ยถามสิ่งที่สงสัย เหมียวอี้ไม่ได้ปิดบังเขาเรื่องนี้เช่นกัน เล่าเรื่องที่สวีถังหรานทำให้เขาฟังคร่าวๆ ทำให้หยางชิ่งพูดไม่ออก…

ดึงกำลังพลออกไปปรับตัวให้เข้ากันเหรอ? ไปปรับตัวที่ไหน? ตอนนี้เป็นเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่แบบตายตัว จะเพ่นพ่านออกไปทำไม?

พอโป๋เยวได้รับรายงานของธงพยัคฆ์ดำ ก็ปฏิเสธทันที บอกให้ชวีหย่าหงและมู่อวี่เหลียนอย่ามายุ่งกับเรื่องนี้ ทว่าทั้งสองเกาะติดเขาแล้ว บอกประมาณว่าไม่ทำงานหลักล่าช้าเสียหาย แค่แบ่งกำลังพลส่วนหนึ่งออกไปข้างนอกเท่านั้น ทั้งยังบอกอีกว่าทั้งสองเพิ่งจะรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการและรับภารกิจต่อหน้าทุกคน รับประกันไว้แล้วว่าจะทำให้ได้ ถ้าทำไม่สำเร็จแล้วจะทนรับความรู้สึกได้อย่างไร

ทั้งสองเหาะแกะตามตื๊อจนทนไม่ไหว โป๋เยวทำได้เพียงไปแจ้งเนี่ยอู๋เซี่ยว ถึงแม้เขาจะควบคุมธงพยัคฆ์ดำ แต่เรื่องโยกย้ายกำลังพลก็ยังต้องแจ้งให้เนี่ยอู๋เซี่ยวทราบก่อน โดยทั่วไปถ้าไม่รู้สถานการณ์ชัดเจน ถ้าไม่มีเรื่องใหญ่เนี่ยอู๋เซี่ยวก็จะไม่เข้าไปแทรกแซง ถ้าเนี่ยอู๋เซี่ยวไม่อนุญาต โป๋เยวเองก็ไม่มีทางทำได้แล้ว

ทั้งสองเดินช้าๆ ลงจากบันไดหินบนยอดเขา เนี่ยอู๋เซี่ยวขมวดคิ้วถาม “ตอนนี้กำลังปฏิบัติหน้าที่ตายตัว ไม่ยอมเฝ้ารักษาการณ์ให้ดี จะเพ่นพ่านไปทั่วทำไม?”

โป๋เยวยิ้มพร้อมตอบว่า “ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือหนิวโหย่วเต๋อเพิ่งจะรับงานต่อจากธงพยัคฆ์ดำ ผลลัพธ์หลังจากดันทุรังจัดเบียบกำลังพลใหม่เป้นอย่างไร หนิวโหย่วเต๋อเองก็ไม่มีความมั่นใจ ดังนั้นจึงอยากดึงกำลังพลออกไปสักหน่อย”

เนี่ยอู๋เซี่ยวลังเลเล็กน้อย แล้วถามว่า “เจ้าเป็นคนคุมธงพยัคฆ์ดำ เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?”

โป๋เยวตอบว่า “ข้าน้อยคิดว่าตราบใดที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อภารกิจที่ปฏิบัติอยู่ตอนนี้ การปรับตัวให้เข้ากันสักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ถึงอย่างไรหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่เคยอยู่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายมาก่อน นำกำลังพลเดินทางไปกลับสักสองรอบก็จะได้มีข้อมูลในใจ ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องไม่คาดคิดอะไรขึ้น อาศัยพวกที่มีฝีมือแค่เฝ้าประตูตลาดสวรรค์พวกนั้น จะรับมือไหวได้ยังไง”

เนี่ยอู๋เซี่ยวได้ยินแล้วพยักหน้าเบาๆ รู้สึกว่าคำพูดนั้นมีเหตุผล “อันดับแรกคืออย่าให้ทำให้งานในมือล่าช้าเสียหาย แล้วก็ห้ามไปไกลเกินไป”

“ขอรับ!” โป๋เยวเอ่ยรับ ในใจรู้สึกโล่งแล้ง ในที่สุดก็ให้คำตอบกับสาวงามทั้งสองได้แล้ว

เมื่อจัดการเรื่องนี้ได้แล้ว เหมียวอี้ก็กล่าวชมรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองอย่างดี บอกว่าหลังจากจบเรื่องจะตบรางวัลอย่างงาม พร้อมทั้งสั่งด้วยว่า ให้ดึงกำลังพลสองหมื่นจากธงอินทรีสิบกองทัพมารวมตัวกันด้วย

จะตบรางวัลอย่างงามหรือไม่ ชวีหย่าหงและมู่อวี่เหลียนไม่ได้คาดหวังแล้ว มีอยู่จุดหนึ่งที่ทั้งสองเข้าใจแล้ว ว่าผู้บัญชาการใหญ่จะต้องรู้ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับโป๋เยวแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้ตนไปจัดการโป๋เยว

ทำไมพวกนางถึงรู้น่ะเหรอ? ชวีหย่าหงและมู่อวี่เหลียนสบตากันแวบหนึ่ง ในดวงตาฉายแววเคียดแค้นเป็นศัตรู เหมือนเกลียดจนอยากจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย

“รับทราบ!” ทั้งเอ่ยรับคำสั่งแล้วไปปฏิบัติตาม

รอจนทั้งสองไปแล้ว เหมียวอี้ก็เรียกสวีถังหรานมาอีก แล้วสั่งว่า “ติดต่อคนรู้จักที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน ปล่อยข่าวลือบางอย่างไป บอกว่าข้าจะนำทัพใหญ่ของธงพยัคฆ์ดำไปล้างเลือกที่ตลาดสวรรค์!”

เมื่อกล่าวคำนี้ออก หลายคนที่อยู่ข้างๆ ก็ตกตะลึง หยางชิ่งรีบกุมหมัดคารวะห้าม “นายท่าน ไม่ได้เด็ดขาด…”

เหมียวอี้ยกมือ แล้วห้ามไม่ให้เขาพูดต่อไป “บอกแล้วว่าเป็นข่าวลือ ข้ามีแผนอยู่แล้ว ไปทำตามก็พอ”

สวีถังหรานมองซ้ายมองขวา ทำได้เพียงเอ่ยรับคำสั่งแล้วไปปฏิบัติตาม

หยางชิ่งขมวดคิ้ว แล้วเหลือบมองเฟยหงที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ ไม่รู้ว่าทำไมเหมียวอี้จึงตัดสินใจแบบนี้และพูดแบบนี้ต่อหน้าเฟยหง

ผ่านไปไม่นาน ในตอนบ่ายของวันนั้น กำลังพลสองกลุ่มที่ถูกดึงตัวมาก็ไปที่ดาวเทียนหยวนแล้ว เมื่อบวกกับกำลังพลของทัพกลาง รวบรวมกำลังพลได้สามหมื่นกว่าคน ออกจากดาวหกกนิ้วที่กกว้างใหญ่ไพศาลไป

สิ่งที่รวดเร็วเช่นเดียวกันก็คือ เริ่มมีข่าวลือเรื่องล้างเลือดตลาดสวรรค์ที่ตลาดสวรรค์ ราวกับโยนหินก้อนเดียวแล้วทำให้เกิดระลอกคลื่นนับพัน ข่าวลือกระจายไปทั่วทั้งตลาดสวรรค์อย่างรวดเร็ว

ถ้าคนอื่นบอกว่าจะทำเรื่องนี้ พวกพ่อค้าที่ตลาดสวรรค์ก็คงไม่เชื่อว่าจะมีคนกล้าทำ แต่ถ้าเป็นผู้บัญชาการใหญ่หนิวก็ไม่ต้องพูดถึงแล้วว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ เพราะเจ้าตัวล้างเลือกไปสองรอบแล้ว ถ้าจะมีครั้งที่สามก็ไม่มีอะไรแปลก

สิ่งสำคัญที่ต้องสนใจตอนนี้ก็คือ ข่าวลือเป็นความจริงหรือโกหก หนิวโหย่วเต๋อระดมกำลังพลมาที่นี่แล้วจริงหรือเปล่า

“จะมีอีกครั้งแล้วเหรอ?”

หอกลิ่นสวรรค์ คนงานรีบร้อนวิ่งมาบอกข่าวที่ได้ยินมาจากข้างนอก ท่านแม่สวีได้ยินข่าวแล้วอุทานถาม

ร้านค้าสมาคมวีรชน หวงฝู่จวินโหรวได้ยินข่าวแล้วขมวดคิ้ว นางเดินไปเดินมาอยู่ในห้องนอน พลางพึมพำว่า “ไม่มีมูลฝอยหมาไม่ขี้ เจ้าบ้านั่นคงไม่ทำจริงหรอกใช่มั้ย?”

ถึงแม้นางกับเหมียวอี้จะจะทะเลาะกันจนขัดแย้งกัน แต่ตอนที่ยังอยู่ใกล้กัน ตอนที่เหมียวอี้ยังอยู่ที่ตลาดสวรรค์ นางก็ยังพาหักห้ามใจได้ แต่พอแยกจากกัน ความคนึงหาก็ทรมานคนนิดหน่อย ในหัวนึกถึงแต่เรื่องที่เหมียวอี้ยอมโดนแม่เฒ่าลวี่เตะออกจากตลาดสวรรค์แทนที่จะยอมรับเฟยหงเป็นฮูหยินเอก ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ ก็สะเทือนไปถึงจุดที่อ่อนที่สุดของหัวใจนาง แม้แต่แววตาก็เปลี่นยนเป็นอ่อนโยนขึ้น เมื่อคิดไปคิดมา ในที่สุดนางก็หยิบระฆังดาราออกมา เตรียมจะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการติดต่อติดต่อเหมียวอี้

ทว่า ในขณะที่ติดต่อซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่น่าเชื่อว่าเหมียวอี้จะไม่สนใจข้อความของนางเลย จึงทำให้นางเจ็บปวดใจอย่างรุนแรงอีกครั้ง

“ใครก็ได้!” หวงฝู่จวินโหรวผลักหน้าต่างตะโกนเรียก สั่งให้คนไปสังเกตทิศทางการเคลื่อนไหวทางธงพยัคฆ์ดำทันที ดูว่าเหมียวอี้กำลังนำทัพใหญ่มาทางนี้จริงหรือไม่

ตอนที่ข่าวลือแพร่มานั้นบังเอิญมาก มู่หรงซิงหัวกำลังอยู่ที่ตำหนักคุ้มเมือง ครั้งก่อนฝูชิงนำเรื่องหาร้านค้ามาหยั่งเชิงนาง กระตุ้นให้นางรีบตัดสินใจเร็วๆ เป็นฝ่ายขอออกไปจากตลาดสวรรค์ ขอให้ฝูชิงช่วยเตรียมการให้

ข่าวลือมาถึงอย่างกะทันหัน ฝูชิงกับมู่หรงซิงหัวก็ตกใจมาก จำเป็นต้องหยุดคุยกันชั่วคราว

ฝูชิงหยิบระฆังดารามาติดต่อเหมียวอี้แล้ว : เจ้าห้า ได้ยินว่าเจ้าจะนำทัพใหญ่มาล้างเลือดที่นี่เหรอ

เหมียวอี้ : พี่รอง ข้ารู้จักบันยะบันยังอยู่แล้ว ท่านไม่ต้องคิดว่า ไม่ทำให้ท่านลำบากใจหรอก

ฝูชิง : งั้นเจ้าจะทำแบบนี้จริงๆ เหรอ?

เหมียวอี้ : ตอนนี้ยังไม่ได้พิจารณาให้แน่ชัด ไปที่นั่นก่อนแล้วค่อยว่ากัน

หลงัจากทั้งสองฝ่ายติดต่อกันเสร็จแล้ว มู่หรงซิงหัวก็ถามหยั่งเชิงว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ทางผู้บัญชาการใหญ่หนิวว่ายังไงบ้าง?”

ฝูชิงยิ้มเจื่อน “เขาบอกว่าเขายังไม่ได้พิจารณาชัดเจน”

มู่หรงซิงหัวพูดไม่ออกแล้ว

ฝ่าอินกับอวี้หนูเจียวออกจากตลาดสวรรค์ไปก่อนแล้ว อวิ๋นจือชิวกับจีเหม่ยลี่รีบแบ่งกันติดต่อเหมียวอี้ ถามเขาว่ามีเรื่องนี้จริงหรือเปล่า เหมียวอี้บอกทั้งสองว่าอย่าเชื่อข่าวลือนั้น ให้ทำการค้าของตัวเองอย่างสงบใจ

คนที่ติดต่อเหมียวอี้มีไม่น้อย ขนาดอวี่ซวีเจินเหรินที่ร้านขายของชำซื่อตรง เมื่อได้ยินข่าวก็ติดต่อเหมียวอี้เช่นกัน แต่ไม่สามารถหาข่าวที่แน่นอนจากปากเหมียวอี้ได้

ถ้าเป็นแค่ข่าวลือก็ว่าไปอย่าง แต่ไม่นานก็มีคนพบว่าทัพใหญ่ของธงพยัคฆ์ดำกำลังเคลื่อนพลไปทางดาวเทียนหยวนอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร พอข่าวนี้มารวมกับข่าวลือที่ตลาดสวรรค์ ก็ทำให้ฝั่งตลาดสวรรค์วุ่นวายเหมือนโดนระเบิดรัง

ร้านค้าทั่วไปไม่เป็นอะไร พวกเขาไม่มีอะไรน่ากังวล เพราะไม่มีความแค้นอะไรกับเหมียวอี้ พวกที่กังวลก็คือพ่อค้าร้านของตระกูลผู้มีอำนาจที่มาสร้างความอับอายให้เหมียวอี้ตอนส่งเหมียวอี้ออกจากจากตลาดสวรรค์ครั้งก่อน ตอนนั้นเหมียวอี้พูดทิ้งท้ายเอาว่าจะกลับมาจัดการพวกเขา พอได้ยินข่าวว่าเหมียวอี้นำทัพใหญ่มาทางนี้แล้วจริงๆ ก็เรียกได้ว่าตกใจจนขวัญกระเจิง

เรื่องสำคัญอันดับหนึ่งที่พ่อค้าจำนวนไม่น้อยทำก็คือติดต่อกับเจ้าของร้านของตัวเอง ขอคำแนะนำว่าควรจะทำอย่างไร เจ้าของร้านตำหนิว่า คนยังไม่ทันมาก็ตกใจถึงขนาดนี้แล้ว มีอะไรน่ากลัวนักหนา บอกให้พวกเขาไม่ต้องกลัว คนของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายไม่กล้าทำเรื่องประเภทนี้

สำหรับผู้จัดการร้านค้าพวกนี้ นี่เป็นการพูดจาจากมุมมองของคนที่ไม่ได้อยู่สถานการณ์เดียวกัน เจ้าไม่ต้องโดนดาบอยู่ที่นี่ก็ย่อมไม่ต้องกลัวอยู่แล้ว แต่ข้าเป็นคนที่จะหัวหลุดอยู่ที่นี่ไง!

คนกลุ่มหนึ่งไปหาฝูชิง ขอร้องให้ฝูชิงต้านทานไว้ ในฐานะที่ฝูชิงเป็นตลาดสวรรค์ผู้บัญชาการใหญ่ มีหน้าที่คุ้มครองเมือง ย่อมต้องรับประกันความปลอดภัยอย่างเต็มที่

ทว่ารับประกันไปก็ไม่มีประโยชน์ ข่าวที่ทางนี้ได้รับมาก็คือ เหมียวอี้ยังคงนำทัพใหญ่ของธงพยัคฆ์ดำมาที่นี่ ไม่มีท่าทีว่าจะเปลี่ยนทิศทางหรือว่าเลี้ยวกลับ

ดังนั้นจึงมีบางคนที่ไม่สนใจแล้ว ตัดสินใจว่าจะหลบคมอาวุธชั่วคราว ให้เหตุผลว่าจะหลีกเลี่ยงความเสียหาย เก็บสินค้าในร้าน ปิดร้าน ทุกคนหนีไปแล้ว รอให้แก้ไขเรื่องนี้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ในฐานะที่เป็นผู้จัดการร้าน ย่อมมีอำนาจในการตัดสินใจเลิกกิจการและปิดกิจการในระยะสั้นอยู่แล้ว

เมื่อมีร้านนี้เป็นแกนนำ ร้านค้าของผู้มีอำนาจทั้งตลาดสวรรค์ก็เอาเยี่ยงอย่าง ทำให้เกิดกระแสการปิดร้านเป็นวงกว้าง พากันปิดร้านหนีไปหมดแล้ว สิ่งที่ร้านค้าของผู้มีอำนาจผูกขาดก็คือรายการสินค้าที่นักพรตเน้นซื้อขายแลกเปลี่ยนในชีวิตประจำวัน แค่คิดก็รู้ถึงผลกระทบที่มีต่อตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนแล้ว

ร้านค้าเล็กๆ พวกนั้นจึงร่าเริง ของที่ยามปกติไม่อนุญาตให้พวกเขาขาย ตอนนี้ถือโอกาสนำมาออกขายแล้ว

บนแท่นสังเกตการณ์ของตำหนักคุ้มเมือง เป็นจุดที่สูงที่สุดของทั้งเมือง ฝูชิงยืนพิงรั้วพลางทอดสายตามองตลาดสวรรค์ที่เกิดปรากฏการณ์วุ่นวายแล้ว เขากล่าวกับชิงเฟิงที่อยู่ข้างกายอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ขนาดข้ารับประกันแล้วนะว่าพวกเขาจะไม่เป็นอะไร  แต่พวกเขากลับหนีไปแล้ว”

“คุณชายห้าสะสมบารมีไว้ที่นี่เยอะมาก” ชิงเฟิงกล่าว

ข่าวที่ทัพใหญ่ของธงพยัคฆ์ดำไปที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนไม่ได้ครึกโครมแค่ที่ตลาดสวรรค์เท่านั้น แต่สั่นสะเทือนขุนนางทั้งราชสำนัก กำลังพลของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายกำลังจะล้างเลือดตลาดสวรรค์เหรอ ล้อเล่นอะไรกัน?

เพราะเหมียวอี้ใช้วิธีการที่รวดเร็วดุดันควบคุมธงพยัคฆ์ดำได้ ทำให้ก่อนหน้านี้มีผู้มีอำนาจมากมายมองเหมียวอี้สูงขึ้นอีกระดับ ตอนนี้เห็นเหมียวอี้ใช้วิธีการนี้อีกแล้ว เพิ่งจะชื่นชมเขาไปเอง ตอนนี้เขาจะมาตบหน้าเจ้าอีกแล้ว เหมือนจะกระโจนเข้าใส่ผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์อย่างสุดแรงแล้ว

จวนเทพประจำดาวฟ้าเถาะ ในห้องเล็กๆ ที่จัดแต่งอย่างงดงาม ผังก้วนเอามือไขว้หลังมองไปนอกหน้าต่างพลางถอนหายใจ “เจ้าเรนี่โง่หรือฉลาดกันแน่ ก่อเรื่องแล้วก่อเรื่องอีก ไม่รู้จักจบจักสิ้นหรือไง?”

เฉินหวยจิ่ว บ่าวชรากล่าวว่า “เกรงว่าผู้มีอำนาจทั้งราชสำนักคงอยากจะเห็นข่าวทำเรื่องแบบนี้ใจจะขาดแล้ว ต่างก็อยากดูอะไรสนุกๆ เกรงว่าคงจะมีคนเริ่มครุ่นคิดแล้วว่าควรจะเขียนกล่าวโทษหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายยังไง”

เป็นอย่างที่ทั้งสองคุยกัน หลังจากผู้มีอำนาจทั้งราชสำนักตกตะลึงแล้วก็ตกอยู่ในความเงียบสงบเหมือนเดิม ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครรายงานเรื่องนี้ขึ้นไปเลย สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสงบมักจะเป็นการมาเยือนของพายุฝน

ทว่าราชันสวรรค์ก็ไม่ได้หูหนวกตาบอด เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ขึ้นแล้ว มีหรือที่จะไม่รู้ ไม่น่าเชื่อว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้จะดึงกองทัพองครักษ์ของเขามาเกี่ยวข้องกับปัญหาใหญ่ แบบนี้ก็แย่น่ะสิ จึงสั่งให้ทูตตรวจการฝ่ายซ้ายซือหม่าเวิ่นเทียนกับผู้บัญชาการองครักษ์โพ่จวินของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายมาที่ตำหนักดาราจักรทันที

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset