พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1372 กอบโกยแล้วหนี

ผู้จัดการร้านเยี่ยนก็ทำตัวสอดคล้องกับความเป็นจริงเช่นกัน ใช้สองมือยื่นกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งให้

เหมียวอี้ดูดเข้ามา หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบแล้ว ก็ถือแกว่งอยู่ในมือพร้อมถามว่า “หมายความว่ายังไง?”

ผู้จัดการร้านเยี่ยนโค้งตัวเล็กน้อย “ตอนแรกที่นายท่านคุมตลาดสวรรค์ ร้านค้าเจ็ดอารมณ์ไร้มารยาทล่วงเกินไปหลายจุด น้ำใจเล็กน้อยนี้เพื่อแสดงการขออภัย หวังว่านายท่านจะไม่ถือสาผู้น้อย” พูดจบแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก ได้แต่อยู่อย่างนั้น

ฝูชิงเหล่ตามองกำไลเก็บสมบัติในมือเหมียวอี้แวบหนึ่ง ตอนนี้เข้าใจแล้ว สงสัยจะมาเพื่อมอบของขวัญให้

ในดวงตาเหมียวอี้ฉายแววเข้าใจในทันที เขาชำเลืองมองของในมือเล็กน้อย แล้วโยนให้สวีถังหราน จากนั้นเดินออกมาจากด้านหลังโต๊ะยาว “น้ำใจนี้ข้ารับไว้แล้ว เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป ในเมื่อรู้ตัวว่าผิด นภายหลังอย่าทำผิดอีกก็พอแล้ว” ท่าทางเหมือนใจกว้างมีเมตตามาก

“รับทราบๆๆ!” ผู้จัดการร้านเยี่ยนกุมหมัดคารวะ “ผู้น้อยจะจดจำคำสอนของนายท่าน”

“ถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้วก็ไปทำการค้าขายของเจ้าให้ดีเถอะ ในค่ายทหารไม่สะดวกจะให้แขกอยู่” เหมียวอี้โบกมือ

“ผู้น้อยขอตัว” ทั้งตอนแรกและตอนหลังพูดเพียงไม่กี่ประโยค ผู้จัดการร้านเยี่ยนจากไปอย่างโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก

ฝูชิงลุกขึ้นยืนตามแล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อน เหมียวอี้ให้เขาอยู่รับรับประทานอาหารในค่ายต่อ แต่เขาไม่มีอารมณ์นั้น จึงกล่าวขอตัวแล้วเดินออกไป อนุภรรยาของเหมียวอี้ทยอยกันออกจากที่นี่ไปแล้ว ทำให้ความรูสึกของเขาค่อนข้างซับซ้อนและใจคอแห้งเหี่ยว จะเอาอารมณ์จากไหนมาสนทนาในวงสุรา

หลังจากฝูชิงไปแล้ว เหมียวอี้ก็สั่งสวีถังหรานกับหยางชิ่ง ว่าให้สวีถังหรานตรวจนับทำสมุดรายชื่อของในร้านค้าเจ็ดอารมณ์ จากนั้นก็ส่งต่อให้หยางชิ่งเก็บรักษาไว้ ให้ความรู้สึกเหมือนควบคุมดูแลกันและกัน

ทั้งสองย่อมเอ่ยรับแล้วถอยออกไป

หลังจากออกจากค่ายทัพกลาง สวีถังหรานก็มองดูกำไลเก็บสมบัติในมือ พร้อมพึมพำว่า “หมายความว่ายังไง?”

หยางชิ่งหันกลับมามองค่ายทัพกลางแวบหนึ่ง แล้วยกมือตบบ่าสวีถังหราน “รอดูไปเถอะ อีกประเดี๋ยวจะมีของมาส่งให้มากกว่านี้อีก”

“เอ่อ…” สวีถังหรานแปลกใจ “ของในกำไลนี้ก็ไม่น้อยแล้วล่ะ ร้านค้าเจ็ดอารมณ์ยังจะเอามาให้อีกเหรอ?”

หยางชิ่งยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร และไม่นานสวีถังหรานก็พบว่าตัวเองเข้าใจความหมายผิดไป…

ธงพยัคฆ์น้ำเงิน จวนที่พักชั่วคราวของผู้บัญชาการใหญ่ จ้านหรูอี้ที่นั่งสง่าอยู่ในโถงหลักรับรายงานจากลูกน้องที่นำกลับมาจากกองมังกรดำ หลังจากอ่านด้วยสีหน้าเย็นเยียบ นางก็กำฝ่ามือเสียงดังแกร๊ก แผ่นหยกแหลกกลายเป็นผุยผง

ทางตระกูลจ้านส่งข่าวเรื่องที่เหมียวอี้ ‘ล้อมเมือง’ ที่ตลาดสวรรค์มาแล้ว ให้นางนำคนของธงพยัคฆ์น้ำเงินไปก่อกวน นางย่อมต้องปฏิบัติตาม เพราะถึงอย่างไรนางก็มาที่นี่เพราะมีจุดประสงค์จะงัดข้อกับเหมียวอี้อยู่แล้ว ยื่นหนังสือว่าต้องการนำผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองออกไปปรับตัวให้เข้ากัน

ทว่าโป๋เยวไม่อนุมัติ ยื่นหนังสือไปต่อเนื่องกันหลายครั้ง แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมาทุกครั้ง เรื่องที่เหมียวอี้จะนำธงพยัคฆ์ดำไปล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์แล้วก็ทำให้โป๋เยวตกใจแทบแย่แล้ว อยากจะเรียกเหมียวอี้กลับมาใจจะขาด ถ้าไม่ใช่เพราะเนี่ยอู๋เซี่ยวห้ามไว้ เขาก็คงทำแบบนี้ไปแล้ว มีหรือที่จะยอมอนุญาตให้จ้านหรูอี้ไปประสมโรงด้วย

“ทำไมเขาไปได้แล้วข้าไปไม่ได้!” จ้านหรูอี้ตบโต๊ะลุกขึ้นยืน ตวาดด้วยเสียงเดือดดาล “ข้าจะไปขอคำอธิบายกับท่านแม่ทัพภาคด้วยตัวเอง!”

ท่ามกลางร้านค้ามากมายที่ปิดตัวลงในตลาดสวรรค์ ผู้จัดการร้านเยี่ยนเป็นคนแรกที่นำคนงานกลับมาเปิดดำเนินกิจการ

ร้านค้าเจ็ดอารมณ์ดำเนินกิจการอีกครั้ง พวกร้านค้าข้างเคียงแปลกใจมาก ความแค้นระหว่างร้านค้าเจ็ดอารมณ์กับหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่ความลับอะไร ไม่น่าเชื่อว่าผู้จัดการร้านเยี่ยนจะยังกล้าต้านกระแสลมกลับมา ไม่กลัวตายจริงเหรอ?

ถึงแม้ผู้จัดการร้านค้าคนอื่นๆ ที่ปิดกิจการจะไม่อยู่ แต่ก็สังเกตทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดสวรรค์อยู่ตลอด มีหรือที่จะไม่ได้ยินเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้พวกเขานึกว่าหลบหลีกอันตรายแล้วจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ แต่ใครจะคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะนำกำลังพลธงพยัคฆ์ดำผลัดกันเฝ้าอยู่นอกประตูตลาดสวรรค์ แล้วทุกวันก็มีคนไปที่หน้าร้านพวกเขาเพื่อดูว่าพวกเขากลับมาหรือไม่ ไม่มีท่าทีว่าจะจากไปเลย เจตจำนง ‘ถ้าไม่ทำให้พวกเขาตายก็จะไม่ไป’ ของหนิวโหย่วเต๋อชัดเจนมาก แบบนี้น่าสะพรึงเกินไปแล้ว ใครจะยังกล้ากลับมาอีกล่ะ

พวกเขาขอคำชี้แนะจากเจ้าของร้านไม่หยุด หวังว่าเจ้าของร้านจะคิดหาทางทำให้กำลังพลของธงพยัคฆ์ดำกลับไปได้ ทว่าต่อให้เจ้าของร้านของพวกเขาจะมีอำนาจมาก แต่ก็ยังทำอะไรหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายยังไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ผิดกฎสวรรค์ เบื้องหลังของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายไม่ใช่สิ่งที่ใครจะยัดข้อหาใส่ซี้ซั้วได้ เพราะเบื้องหลังของอีกฝ่ายพูดจามีน้ำหนักเมื่ออยู่ต่อหน้าเบื้องบน

เมื่อรอไปสักระยะแล้วยังไม่เห็นหนิวโหย่วเต๋อทำอะไรซี้ซั้ว และไม่เห็นหนิวโหย่วเต๋อจากไปด้วย เจ้าของร้านที่อยู่เบื้องหลังพวกเขากลับยิ่งเล่นบทโหด ออกคำสั่งกดดันให้พวกเขากลับไปเปิดร้าน บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่กล้าทำอะไรพวกเขาหรอก

คนที่สามารถถูกส่งมาเป็นผู้จัดการร้านของสาขาได้ก็ไม่ใช่คนโง่เช่นกัน แต่ละคนแอบร้องว่าแย่แล้ว รู้ว่าเบื้องบนกำลังเริ่มงัดข้อกันอีกแล้ว ยังไม่ทันรอให้หนิวโหย่วเต๋อลงมือ ก็หวังจะให้พวกเขากลับมาเปิดร้านยั่วยุให้หนิวโหย่วเต๋อลงมือ ถ้าเป็นแค่หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวก็ยังไม่อยู่ในสายตาของเบื้องบน สิ่งที่เบื้องบนต้องการก็ไม่มีอะไรนอกจากจุดอ่อนของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย หน่วยองครักษ์ซ้ายขวายังเป็นกองทัพเสือดุในมือของราชันสวรรค์ ทำให้พวกลูกพี่ใหญ่คนอื่นๆ หวาดกลัวมาตลอด คิดมาตลอดว่ายิ่งมัดมือมัดเท้าหน่วยองครักษ์ซ้ายขวาให้แน่นเท่าไรก็ยิ่งดี

ส่วนพวกเขา ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นตัวหมาดที่ตายเท่าไรก็ไม่พอ

“หัวหน้าสมาคมเซียวทำไมแต่งตัวแบบนี้?”

ในร้านค้าเจ็ดอารมณ์มีลูกค้าคนหนึ่งมาลงชื่อขอพบผู้จัดการร้านเยี่ยน พอผู้จัดการร้านเยี่ยนออกมาพบ ก็พบว่าเป็นเซียวฉีเจินที่ปลอมตัวแล้ว จึงถามอย่างประหลาดใจ

เซียวฉีเจินเหลียวซ้ายแลขวา แล้วดึงเขาไปที่ลานบ้านด้านหลังอย่างลับๆ ล่อๆ พอมาถึงที่ลับตาคน ก็ถามว่า “พี่เยี่ยนไม่กลัวตายรึไง?”

“ดูพูดเข้าสิ มีใครไม่กลัวตายบ้าง?” ผู้จัดการร้านเยี่ยนกล่าวกลั้วหัวเราะ เข้าใจวัตถุประสงค์ที่เขามาแล้ว

พอเปิดร้านค้าเจ็ดอารมณ์ ผู้จัดการร้านค้าพวกนั้นก็ทยอยกันติดต่อผู้จัดการร้านเยี่ยนอย่างเลี่ยงไม่ได้ คนที่ปลอมตัวมาเหมือนเซียวฉีเจินเป็นแค่ส่วนน้อย ส่วนใหญ่ใช้ระฆังดาราติดต่อโดยตรง ถามเขาว่าไม่กลัวหนิวโหย่วเต๋อจะทำซี้ซั้วเหรอ

ผู้จัดการร้านเยี่ยนบอกว่าจะไม่กลับมาก็ไม่ได้ เบื้องบนกดดันมากเกินไป แอบบอกใบ้ให้ไป ‘ส่งของขวัญ’ ขอโทษหนิวโหย่วเต๋อ พอได้รับการให้อภัยจากหนิวโหย่วเต๋อถึงได้กลับมาเปิดร้านได้

ยังได้ผลเหรอ? ไม่น่าเชื่อว่าใช้เงินซื้อได้! กลุ่มผู้จัดการร้านทั้งงงงันทั้งประหลาดใจ ทำไมตัวเองถึงคิดไม่ได้ว่าควรลองทำแบบนี้ ภายใต้การขนาบโจมตีทั้งซ้ายทั้งขวา พวกเขาเห็นหนทางรอดชีวิตแล้ว

ขอเพียงสามารถมีชีวิตต่อไปได้ ใครจะอยากไปเดินบนเส้นทางแห่งความตายล่ะ?

เจ้าของร้านแค่กดดันให้พวกเขากลับมาเปิดร้านก็เท่านั้น แค่ให้พวกเขาตั้งใจทำการค้าขาย ในเมื่อเจ้าของร้านแกล้งโง่ไม่พูดให้ชัดเจนว่าส่งพวกเขาไปตาย เช่นนั้นพวกเขาก็ทำได้เพียงแกล้งโง่เหมือนกัน โจวหรานกับอูหันซานที่โดนเจ้าของร้านกดดันให้ไปฆ่าตัวตายนอกตำหนักคุ้มเมือง นั่นต่างหากหนทางแห่งความตายของจริง

ผ่านไปไม่นาน ปากของสวีถังหรานก็ยกยิ้มแล้ว ในที่สุดก็เข้าใจความหมายในคำพูดของหยางชิ่งแล้ว

“ที่แท้ก็เป็นผู้จัดการร้านเซียว ไม่สิ ตอนนี้ควรจะเรียกว่าหัวหน้าสมาคมเซียวสิถึงจะถูก”

สวีถังหรานที่รับแขกอยู่ในค่ายทหารหัวราะเสียงดัง ท่าทางดุร้ายเหมือนคนต่ำช้าที่บรรลุถึงซึ่งลาภยศ ทำให้เซียวฉีเจินที่มาเยี่ยมคารวะอกสั่นขวัญแขวน

“มิบังอาจ มิบังอาจ เหตุใดผู้บัญชาการสวีต้องหัวเราะเยาะคนต่ำต้อย ก่อนหน้านี้ถ้ามีจุดไหนที่ล่วงเกิน ก็ได้โปรดให้อภัยด้วย” เซียวฉีเจินมีท่าทางหวาดหวั่น จากนั้นก็เปิดเผยจุดประสงค์ในการมาทันที

“ฮ่าๆๆ…” สวีถังหรานเงยหน้าหัวเราะลั่น

เซียวฉีเจินเป็นคนแรก และไม่นานก็มีผู้จัดการร้านค้าใหญ่ๆ มาเยือนไม่ขาดสาย มามอบของขวัญขอโทษผู้บัญชาการใหญ่หนิว เหมียวอี้ขี้คร้านจะออกหน้าด้วยตัวเองอีก จึงส่งต่อให้สวีถังหรานกับหยางชิ่งไปรับมือให้

เพื่อที่จะปกป้องชีวิต ความจริงใจในการ ‘มอบของขวัญขอโทษ’ จึงค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ สวีถังหรานที่เป็นตัวแทนรับน้ำใจนี้มือไม้อ่อนนิดหน่อย

“ผู้บัญชาการใหญ่ช่างมีพลังอำนาจ จะไม่ให้คนนับถือคงไม่ได้แล้ว พอวางกำลังพลที่นี่ ก็มีเงินทองไหลมาเทมาทันที”

หลังจากนั้นหลายวัน แขกที่ควรจะมาก็มากันครบแล้ว สวีถังหรานที่รับรายงาน ‘น้ำใจ’ มาจากหยางชิ่งเดาะลิ้นหลายครั้ง ตอนนี้ค่อนข้างเห็นด้วยกับคำพูดของหวงเสี้ยวเทียน ใครบอกว่าออกจากตลาดสวรรค์แล้วจะไม่มีทรัพยากร เมื่อมีอำนาจแล้วยังจะกลัวไม่รวยอีกเหรอ

ตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วเช่นกัน สงสัยการที่ผู้บัญชาการใหญ่นำกำลังพลมาล้อมไว้ที่นี่ ทั้งยังสั่งให้เขานำคนไปตรวจสอบ ก็เพื่อจะอาศัยอำนาจขู่คุกคามคนบางกลุ่ม

หยางชิ่งเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “รีบตรวจเทียบหน่อย ดูว่ามีปัญหาอะไรมั้ย ถ้าไม่มีปัญหาก็ไปส่งต่อให้ผู้บัญชาการใหญ่”

“ข้าจะไม่วางใจการทำงานของพี่หยางเชียวเหรอ” สวีถังหรานพูดเยินยอตามมารยาท แต่สายตาก็กวาดมองรายการตรวจสอบคร่าวๆ แล้วถามอย่างแปลกใจนิดหน่อยว่า “ของพวกนี้ ผู้จัดการร้านค้าพวกนั้นมอบให้ผู้บัญชาการใหญ่คนเดียว ผู้บัญชาการใหญ่จะให้พวกเราบันทึกลงสมุดทะเบียนอย่างเป็นทางการทำไม?”

หยางชิ่งก็ส่ายหน้าเช่นกัน ไม่รู้ว่าเหมียวอี้มีเจตนาอะไร

จากนั้นทั้งสองก็กลับไปที่ค่ายทัพกลางด้วยกัน หลังจากเจอเหมียวอี้แล้ว ก็นำรายการตรวจสอบที่บันทึกลงสมุดทะเบียนรวมทั้ง ‘น้ำใจ’ ของพ่อค้าพวกนั้นส่งให้เหมียวอี้

เหมียวอี้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวหยิบรายการตรวจสอบขึ้นมาดูจำนวนรวมของสิ่งของ จากนั้นก็โยนกลับคืนให้สวีถังหราน “ตามธรรมเนียมเก่าของธงพยัคฆ์ดำ นำของพวกนี้ทำเป็นรางวัลในการรบแจกจ่ายไปให้หมด บอกผู้บัญชาการธงอินทรีสิบกองทัพด้วยว่า นี่คือน้ำใจที่ข้ามอบให้เหล่าพี่น้อง ห้ามหักไว้ส่วนตัว ทุกคนจะต้องได้รับครบจำนวน”

สวีถังหรานกับหยางชิ่งมองหน้ากันเลิกลั่ก นี่คือเงินค่าไถ่ชีวิตผู้จัดการร้านค้าพวกนั้น บวกรวมกันแล้วไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เป็นทรัพย์สินที่ไม่ควรมองข้ามนะ!

“ผู้บัญชาการใหญ่ นี่ไม่ใช่รางวัลในการรบ นี่คือของที่พวกเขามอบให้ท่านคนเดียว ไม่ต้องแบ่งกับเหล่าพี่น้องก็ได้” สวีถังหรานกล่าว

เหมียวอี้จึงบอกว่า “ข้าเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่มีผลงานอะไรจะแสดงให้เห็น คิดเสียว่าของพวกนี้เป็นของขวัญแรกพบก็แล้วกัน! แล้วก็บอกพี่น้องกำลังพลเบื้องล่างด้วย ขอเพียงติดตามข้าและตั้งใจทำงาน หนิวคนนี้ก็จะไม่ปฏิบัติด้วยอย่างขาดความยุติธรรมแน่นอน ในภายหลังยังมีโอกาสร่ำรวยอีก” ขณะที่มองดูปฏิกิริยาของทั้งสอง ก็พูดเสริมเสียงต่ำอีกว่า “เงินเล็กน้อยนี่ไม่สำคัญอะไรหรอก ในภายหลังถ้าทุกคนอยากจะรวย ก็ยังต้องอาศัยพวกเขา เมื่อออกจากตลาดสวรรค์มาแล้ว อาศัยมือพวกเราแค่ไม่กี่มือก็ทำอะไรไม่ได้หรอก กำลังพลหนึ่งแสนนี่ต่างหากที่เป็นต้นทุนของความร่ำรวยที่อยู่ในมือเราอย่างแท้จริง”

หยางชิ่งได้ยินแล้วหวาดระแวง เจ้าเวรนี่คิดจะทำอะไร?

สำหรับเหมียวอี้แล้ว เขารู้แล้วว่าราชันสวรรค์ถูกใจเขา เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ รู้ว่าราชันสวรรค์ถูกใจเขาแค่เพราะเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักเท่านั้น ถ้าจะบอกว่าถูกใจในความสามารถของเขาก็เป็นเรื่องรอง ไม่อย่างนั้นต่อให้เขาจะเก่งกว่านี้ แต่ก็ไม่มีค่าพอให้ราชันสวรรค์ผู้สูงส่งมาสนใจอยู่ดี เพราะระดับของทั้งสองต่างกันเกินไป สิ่งที่เหมียวอี้เข้าใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ต่อให้ในภายหลังราชันสวรรค์จะใช้ให้เขาปฏิบัติงานสำคัญ แต่จะไม่ว่าจะสำคัญอย่างไรก็ล้วนเป็นสิ่งจอมปลอม ความสัมพันธ์ที่เหลวไหลไร้ระเบียบของเขา ในสักวันหนึ่งก็จะต้องยั่วให้ราชันสวรรค์เดือดดาล ถึงตอนนั้นราชันสวรรค์จะไม่ฆ่าเขาก็แปลกแล้ว ในเมื่อมีโอกาสก็ต้องฉวยโอกาสตักตวงสักหน่อย ถ้าในภายหลังต้องหนีจะได้มีต้นทุนเพียงพอ

หยางชิ่งตกใจ แต่สวีถังหรานกลับได้ยินแล้วตาเป็นประกาย

เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว ตักตวงของมาไว้ในมือได้อย่างราบรื่นแล้ว ผีที่ไหนจะอยากเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อรอให้เกิดปัญหา เหมียวอี้ออกคำสั่งทันที ให้กำลังพลธงพยัคฆ์ดำที่ประจำอยู่นอกประตูของสี่เขตเมืองถอนทัพ กำลังพลรวมตัวกันเหาะขึ้นฟ้าหนีไปแล้ว ไปอย่างรวดเร็วฉับไว

รอจนกระทั่งพวกพ่อค้าในเมืองวิ่งออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ด้านนอกก็เหลือเพียงรั้วกั้นที่ว่างเปล่าเท่านั้น สำหรับคนส่วนใหญ่ การจากไปแบบนี้อาจจะกะทันหันเกินไปหน่อย ก่อนหน้านี้ไม่มีเค้าลางเลยสักนิด

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset