พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1394 แกล้งตายเพื่อหนี

แทบจะในชั่วพริบตาเดียว เยียนเป่ยหงทำสีหน้าดุร้าย สีหน้าพลันแดงสดราวกับเลือด ดวงตาสองข้างก็แดงฉานเช่นกัน

ปั้งๆๆ…เสียงชนโจมตีดังขึ้นอย่างหนาแน่นแทบจะพร้อมกัน

“อั้ก…” เยียนเป่ยหงที่เงยหน้ากระอักเลือดสดสะเทือนจนกระเด็นออกไปแล้ว

ลูกธนูดาวตกสิบดอกไม่ได้แทงทะลุร่างของเขา ไม่มีทางฝ่าเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงบนตัวเขาไปได้ หลังจากโจมตีหนึ่งครั้งก็เลี้ยวกลับมาทันที ฝ่าเข้ามาในฝุ่นละอองผืนใหญ่

ส่วนเยียนเป่ยหงก็ขยับตัวไม่ได้แล้ว กางแขนขาทั้งสี่ลอยอยู่ในดาราจักเงียบๆ ดวงตาสองข้างปิดสนิท ตรงมุมปากยังมีหยดเลือดลอยขึ้นมา ใบหน้าซีดขาว เมื่อครู่นี้ยังเป็นสีแดงเลือดอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับขาวซีดเหมือนกระดาษ

ดาบใหญ่ก็หลุดมือไปแล้วเช่นกัน แต่กำลังลอยอยู่ข้างกาย คนหนึ่งคนกับดาบหนึ่งเล่มกำลังลอยตามแรงเฉื่ออย่างเงียบงัน

มีคนสิบคนถลันตัวออกมาท่ามกลางฝุ่นละออง สามคนที่อยู่ตรงกลางสวมเกราะม่วงของแม่ทัพ ส่วนคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาสวมเกราะทอง แต่ละคนถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อยู่ในมือ

เครื่องมือของกำลังพลท้องถิ่นสู้ของกองทัพองครักษ์ไม่ได้ ทุกคนของกองทัพองครักษ์ล้วนมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ แต่กำลังพลท้องถิ่นนั้นห่างไกลกันมาก จำเป็นต้องแจกให้ตามการเฝ้าประจำการ

“ช่างเป็นวิชาดาบที่ร้ายกาจ ขนาดเชือกมัดเซียนเยอะขนาดนั้นยังสกัดเขาไม่ได้ ตายรึยัง?” แม่ทัพเกราะม่วงที่อยู่ทางซ้ายเดาะลิ้น

แม่ทัพเกราะม่วงที่อยู่ทางขวายิ้มเจื่อน “ถึงแม้จะจับตัวประกันมาเป็นโล่ขวางไว้ ลดพลังไปแล้วไม่น้อย แต่ลูกธนูสิบดอกยิงรวมไปที่จุดเดียว ต่อให้ยิงไม่ทะลุแต่ก็สะเทือนจนตายอยู่ดี ท่านแม่ทัพภาค เบื้องบนต้องการให้พวกเราจับเป็น แต่พวกเราฆ่าตายไปแล้ว แบบนี้จะรายงานผลการปฏิบัติงานไม่สะดวกนะขอรับ!”

แม่ทัพเกราะม่วงที่อยู่ตรงกลางแสยะยิ้ม “คนคนนี้มุทะลุดุดันโหดร้ายขนาดนี้ จะให้ดันทุรังสู้กับเขารึไงล่ะ? เบื้องบนก็มีวิธีการพูดของเบื้องบน คนเบื้องล่างอย่างพวกเราต้องคำนึกถึงชีวิตพี่น้องทหาร ตราบใดที่จับตัวได้ก็จะรายงานผลการปฏิบัติงานได้ แต่ถ้าตายแล้วพวกเราก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน…” สายตาเขาไปหยุดอยู่ที่เกราะรบบนตัวเยียนเป่ยหง ทำให้เกิดความคิดบางอย่างทันที

ในตอนนี้ เผยโม่ที่ตามมาทีหลังเห็นสถานการณ์ทางนี้แล้วขมวดคิ้ว เขาพึมพำกับตัวเองว่า “ตายแล้วเหรอ?”

ดูจากสายตาของเขาแล้ว เหมือนไม่อยากให้เยียนเป่ยหงตาย แต่พอเหลือบไปเห็นคนสิบคนโผล่ออกจากฝุ่นละอองล้อมเข้าไป เขาก็ทำสีหน้าร้อนใจอีกครั้ง จะให้ของบนตัวเยียนเป่ยหงตกไปอยู่ในมือคนอื่นไม่ได้ เขารู้จักสันดานของกำลังพลท้องถิ่นพวกนี้ดีเกินไป จึงเผยป้ายคำสั่งของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาทันที แล้วจะโกนว่า “ห้ามใครแตะต้องของบนตัวผู้ตาย!”

แม่ทัพเกราะม่วงที่นำหน้ามา และเป็นแม่ทัพภาคของกำลังพลกลุ่มนี้เช่นกัน พอกวาดสายตามอง ต่อให้จะไม่เห็นป้ายคำสั่ง ก็พอจะเดาได้ว่าผู้ที่มาคือคนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาที่ไล่ตามผู้ร้ายมาตลอดตามที่เบื้องบนบอก แต่เนื้อติดมันมาถึงมือแล้ว มีหรือที่เขาจะปล่อยให้ของมีค่าบนตัวผู้ตายถูกคนอื่นชุบมือเปิบไป จึงรีบตะโกนทันทีว่า “ขวางเขาไว้!”

กำลังพลหลายหมื่นรีบรวมตัวกันอีกครั้ง มาขวางเผยโม่เอาไว้แล้ว

เผยโม่หยุดลอยอยู่บนท้องฟ้า เผยป้ายคำสั่งให้ทุกคนดูพร้อมบอกว่า “หน่วยตรวจการฝ่ายขวาได้รับคำสั่งให้มาสืบคดี หลีกไปให้หมด”

การที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวาจะสืบคดี ก็ต้องได้รับความร่วมมือจากกำลังพลเบื้องล่างด้วย ถ้าอีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือ เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา การเผชิญหน้ากับกำลังพลหลายหมื่นก็ทำให้เขาขยับไปไหนไม่ได้เลย อีกฝ่ายขวางไม่ให้เขาเข้าไป เขาก็ไม่มีทางเข้าไปได้เช่นกัน

ส่วนแม่ทัพภาคท่านนั้นก็พุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว เตรียมจะรีดไถของที่อยู่บนตัวเยียนเป่ยหง

เจ้านายกินเนื้อ ลูกน้องกินน้ำ คนที่เหลือเข้าใจแล้วว่าท่านแม่ทัพภาคมีเจตนาอะไร จึงพุ่งตัวตามเข้ามาทันที เตรียมจะขอส่วนแบ่งด้วย

ทว่าในตอนนี้เอง เยียนเป่ยหงก็กางนิ้วทั้งห้า ดาบใหญ่ที่ลอยอยู่ไม่ไกลพลันพุ่งยิงเข้ามา ถูกดูดมาไว้ในมือเขาแล้ว ดวงตาที่ปิดสนิทพลันเปิดออก พลิกตัวสังหารไปยังสิบคนที่พุ่งเข้ามา

เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหันหันแบบนี้ ทำให้สิบคนที่พุ่งมาตรงหน้าเยียนเป่ยหงลนลานจนทำอะไรไม่ถูก เงาดาบเปลี่ยนจากหนึ่งกลายเป็นสิบอย่างรวดเร็วดุดัน ฟันไปที่ทั้งสิบคนอย่างบ้าคลั่ง

แม่ทัพภาคที่พุ่งนำมาคนแรกชูธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาต้านทานด้วยความตื่นตระหนก แกร๊ง! ตัวธนูสีแดงที่ทนทานสามารถต้านทานการโจมตีได้หนึ่งครั้ง

แม่ทัพเกราะม่วงอีกสองคนก็ต้านทานได้เช่นกัน ส่วนอีกเจ็ดคนกลับไม่ได้ตอบสนองเร็วขนาดนั้น โดนท่าหนึ่งดาบสิบฟันของเยียนเป่ยหงโจมตีจนกลายเป็นเหมือนกลีบดอกไม้สิบสี่กลีบ

ห้าวหาญดุร้ายขนาดนี้ โดนลูกธนูดาวตกยิงโดนไปสิบดอกแต่ยังมีอานุภาพการโจมตีแข็งแกร่งขนาดนี้ ทำให้แม่ทัพเกราะม่วงทั้งสามตกใจมาก เรียกได้ว่าหลบหลีกอย่างลุกลี้ลุกลน

เยียนเป่ยหงกวาดดาบพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ดาบไถลผ่านส่วนท้องของแม่ทัพภาคท่านนั้นไปพร้อมดอกเลือดที่สาดกระจาย เขาฟันจนเอวขาดทั้งคนทั้งเกราะรบ สังหารจนเกิดเสียงร้องโอดครวญ ส่วนแม่ทัพเกราะม่วงอีกสองคนที่ถลันหลบไปทางซ้ายและขวาก็รีบง้างสายธนู เยียนเป่ยหงจึงรีบพุ่งเข้าไปในฝุ่นละอองผืนใหญ่ข้างหน้า พลาดโอกาสที่จะสังหารอีกสองคนแล้ว ทำได้เพียงรีบหนีเอาชีวิตรอด!

บึ้มๆ! เสียงระเบิดดังขึ้นสองครั้ง ลำแสงสองสายยิงออกมาพร้อมกัน ไล่ตามเยียนเป่ยหงไป

เยียนเป่ยหงสะบัดมือปล่อยทหารสวรรค์เกราะทองสองคนออกมา ให้ซ้อนกันกำบังไว้ข้างหลังสองคน ตอนนี้ใบหน้าเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดแล้ว ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดเช่นกัน ทั้งตัวเปลี่ยนไปราวกับมารคลั่ง

“อา…อา…” มีเสียงร้องโอดครวญสองครั้ง ลำแสงสองสายยิงรวมไปที่จุดเดียว ฝ่าทำลายเกราะทองแล้ว ทะลุร่างสองร่างต่อเนื่องกัน ยิงโดนแผ่นหลังของเยียนเป่ยหงพร้อมเสียงดังตูมตามสองครั้ง

“อั้ก…” เยียนเป่ยหงที่กำลังกระอักเลือดสดถูกยิงจนกระเด็นออกไปอีกครั้ง แต่กลับเป็นการผลักเขาเข้าไปกลางฝุ่นละอองผืนใหญ่ ทว่าครั้งนี้เขาไม่ได้สลบ แต่พุ่งเข้าไปในทะเลดาวสับสนอย่างไม่คิดชีวิต ถลันตัวเข้าไปแล้ว

พอเหลือบมองเยียนเป่ยหงที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยแวบหนึ่ง เผยโม่ก็ชี้ไปยังแม่ทัพเกราะม่วงสองคนที่ที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ พร้อมตะโกนอย่างเดือดดาลว่า “ทั้งให้ทุกคนไปค้นหาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

แม่ทัพเกราะม่วงทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง คนที่อยู่ทางซ้ายถอนหายใจแล้วบอกว่า “น้องชายคนนี้ เจ้ากำลังล้อเล่นรึเปล่า? คนหนีเข้าไปในนั้นแล้ว จะไปค้นหาได้ยังไง? ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ว่าที่นี่เป็นยังไง ถ้าคนมากมายขนาดนี้บุ่มบ่ามเข้าไป จะมีสักกี่คนที่จะหาทางออกมาได้?”

“พวกเจ้า…” เผยโม่โมโหแทบแย่ เขาสะบัดแขนเสื้อที่ใหญ่โคร่ง แล้วถือกระบี่พุ่งเข้าไปใน ‘หมอกหนา’ เพียงลำพัง

“เฮอะ ช่างกล้าหาญจริงๆ” แม่ทัพเกราะม่วงที่อยู่ทางขวาพูดเหยียด

กำลังพลหลายหมื่นมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ขณะมองดูแม่ทัพภาคที่โดนฟันขาดสองท่อน ทุกคนก็เงียบงันพูดไม่ออก

ผ่านไปไม่นาน ทุกคนก็พากันเงยหน้า เห็นเพียงเผยโม่พุ่งออกมาจาก ‘หมอกหนา’ อย่างหน้าดำคร่ำเครียด

แม่ทัพเกราะม่วงคนขวาหัวเราะหึหึ แล้วบอกว่า “ยังนึกว่ากล้าหาญบุกเข้าไปจริงๆ เสียอีก สงสัยจะอ้อมรอบนอกนิดหน่อยแล้วก็ถ่อกลับมา เจ้าก็รู้จักกลัวเหมือนกันนี่!”

เผยโม่เข้ามาใกล้ แล้วตะคอกว่า “ข้าบอกพวกเจ้าไม่ให้บุ่มบ่าม ทำไมไม่เชื่อฟัง? ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ เขาจะหนีไปได้เหรอ!”

“เจ้าเป็นใครกัน?” แม่ทัพเกราะม่วงคนขวาแสยะยิ้มถาม

“ตาบอดรึไง? ได้รับคำสั่งจากหน่วยตรวจการฝ่ายขวาให้มาสืบคดี!” เผยโม่เผยป้ายคำสั่งอีกครั้ง

แม่ทัพเกราะม่วงคนซ้ายเถียงว่า “พวกเราไม่ได้รับคำสั่งจากเบื้องบน หน่วยตรวจการฝ่ายขวาก็ไม่มีสิทธิ์มาบงการพวกเราเหมือนกัน! แล้วอีกอย่าง พวกเราก็ไม่รู้จักป้ายคำสั่งของตรวจการฝ่ายขวา พี่น้องเอ๊ย พวกเจ้ามีใครรู้จักหรือเปล่า? ถ้ารู้จักก็บอกกันสักคำ”

“ไม่รู้จัก!” ทุกคนตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน

แม่ทัพเกราะม่วงคนซ้ายโบกมือชี้เผยโม่ทันที “ข้าว่าเจ้าน่ะทำตัวน่าสงสัยมาก ล้อมเขาเอาไว้ รอให้ยืนยันตัวตนเขาให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

คำพูดประโยคเดียวก็สามารถผลักความรับผิดชอบของฝ่ายตัวเองไปจนหมดแล้ว

ดังนั้นเผยโม่จึงถูกล้อมอยู่ตรงกลางกำลังพลกลุ่มใหญ่กลุ่มนี้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นกล้าลงมือทำอะไรเผยโม่โดยพลการ เรื่องบางเรื่องถ้ามีเหตุผลรองรับก็ยังพอไหว แต่ถ้ากล้าไปยั่วโมโหหน่วยตรวจการฝ่ายขวาจริงๆ ผู้พิพากษาหน้านิ่งท่านนั้นก็ไม่ใช่คนที่จะไปมีเรื่องด้วยได้ง่ายๆ ก้นตัวเองก็ไม่ได้สะอาดสักเท่าไร ถ้าโดนตรวจสอบขึ้นมาจริงๆ ก็จะรับไม่ไหว ดังนั้นไม่ว่าเรื่องไหนก็ต้องทำตามกฎ ตราบใดที่มีเหตุผล เบื้องบนก็จะช่วยปกป้องเจ้าได้

เผยโม่รีบหยิบระฆังดาราออกมาด้วยสีหน้าคร่ำเครียด

ผ่านไปไม่นาน เบื้องบนของกำลังพลกลุ่มนี้ก็ถ่ายทอดคำสั่งลงมา ว่าให้ปล่อยตัวคนที่ล้อมไว้ เผยโม่สะบัดแขนเสื้อจากไปด้วยสีหน้าเย็นเยียบ ขณะที่ตัวอยู่กลางทาง เขากลับหาดาวเคราะห์ดวงหนึ่งเพื่อหยุดพัก หยิบกระเป๋าวิเศษของเซี่ยโห้วหลงเฉิงโยนลงบนพื้น แล้วหยิบกระบี่วิเศษผลึกแดงออกมา จากนั้นแทงเข้าไปหนึ่งครั้ง…

ท่ามกลางหมอกหนาผืนใหญ่ สายตาสามารถมองเห็นได้เพียงสิบกว่าจั้ง เยียนเป่ยหงที่ยัดสมุนไพรเซียนซิงหัวลงท้องหลบหนีได้เกือบครึ่งวันแล้ว เขาไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองอยู่ที่ไหน สุดท้ายก็บังเอิญเจอดาวดวงหนึ่ง จึงไปเหยียบลงบนนั้นเพื่อหอบหายใจ ตอนนี้ใบหน้าขาวซีดแล้ว เขาปักดาบใหญ่ในมือลงบนพื้น โดยชี้ด้ามดาบไปยังทิศทางที่ตัวเองจากมา เขาเดินทางเข้ามาในแนวตรง รู้สึกว่าในภายหลังตัวเองจะสามารถออกจากที่นี่ได้โดยผ่านตรงนี้

แต่ไม่นานก็สีหน้าเปลี่ยน เขาพบว่าดาวดวงนี้กำลังหมุนรอบตัวเองอย่างช้าๆ ทิศทางที่มาหายไปแล้ว

“เหอะๆ…” เขาหัวเราะอย่างน่าเวทนา แล้วหยิบระฆังดาราออกมารายงานข่าวดีให้เหมียวอี้ฟัง

เหมียวอี้กำลังนั่งรอฟังข่าวอยู่ในค่ายใหญ่ พอทราบว่าเยียนเป่ยหงหนีรอดได้แล้วเขาก็โล่งอก ถามว่า : พี่ใหญ่เยียน ท่านไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?

เยียนเป่ยหง : ไม่เป็นอะไร

โดนธนูดาวตกยิงติดต่อกันสองครั้ง ถึงแม้จะใช้คนมาเป็นโล่เพื่อลดพลังโจมตีแล้วไม่น้อย บนตัวมีเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงป้องกัน แต่นี่เป็นการโดนธนูสิบสองดอกยิง จะไม่เป็นอะไรได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะมีเคล็ดวิชาฝึกตนพิเศษที่เขาฝึกปกป้องร่างกาย เกรงว่าคงจะสิ้นชีพไปนานแล้ว ถึงแม้จะพ้นเคราะห์มาได้หนึ่งครั้ง แต่วรยุทธ์บนตัว…วรยุทธ์ของเขาเดิมทีคือบงกชรุ้งขั้นเจ็ด ครั้งแรกที่โดนลูกธนูก็ลดจากขั้นเจ็ดเป็นขั้นหก ครั้งที่สองที่โดนลูกธนูถึงแม้จะโดนแค่สองดอก แต่วรยุทธ์กลับลดลงอย่างรุนแรงยิ่งกว่า ลดจากบงกชรุ้งขั้นหกกลายเป็นบงกชรุ้งขั้นหนึ่ง

ผลลัพธ์จากการฝึกตนหลายพันปี เรียกได้ว่าถูกทำลายภายในครั้งเดียว เพียงแต่สำหรับคนอย่างเขา ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาเรื่องแบบนี้ไปขอความดีความชอบต่อหน้าเหมียวอี้ นอกเสียจากเขาจะไม่ตอบตกลง ถ้าตอบตกลงแล้วก็ไม่มีอะไรน่าพูดน่าบ่น การสังหารลูกหลานสายตรงของตระกูลเซี่ยโห้วไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติเขาไม่มีทางช่วยคนอื่นทำเรื่องแบบนี้ แต่เหมียวอี้เป็นข้อยกเว้น เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการรักษาความลับ เขาไปไหนมาไหนคนเดียวมาตลอด ไม่มีสหายที่ไหน เหมียวอี้เรียกได้ว่าเป็นสหายเพียงคนเดียวของเขา

แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี นั่นก็คือเขายังมีชีวิตอยู่ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปคงเอาชีวิตไม่รอดแล้ว นี่ก็คือจุดที่ก้าวร้าวของ ”มหาอิทธิฤทธิ์มารดูดกลืน’ มันสามารถระเบิดวรยุทธ์ให้พลังของตัวเองเพิ่มขึ้นหลายเท่าได้ในชั่วพริบตาเดียว เพราะแบบนี้ถึงได้ต้านทานลูกธนูสิบสองดอกนั่นได้ เพียงแต่ถึงแม้ ”มหาอิทธิฤทธิ์มารดูดกลืน’ จะสามารถเพิ่มวรยุทธ์ให้สูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แต่ผลที่ตามมาหลังจากระเบิดวรยุทธ์ก็ร้ายแรงมากเช่นกัน หลักการก็ไม่ซับซ้อนเลย ยกตัวอย่างเช่นเวลาบรรลุระดับใหญ่ๆ เดิมทีจะต้องทนรับการย้อนทำร้ายของ ‘เจ็ดอารมณ์หกปรารถนา’ แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้ดูดกลืนไว้ในปริมาณที่มากเกินไป กลับกลายเป็นว่าต้องทนรับการย้อนทำร้ายของ ‘เจ็ดอารมณ์หกปรารถนา’ เยอะมาก เมื่อเกินขีดจำกัดที่จะรับไหว เมื่อถึงเวลาที่ควบคุมไม่ไหวก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่ง

เหมียวอี้ : ไม่ได้หลงทางใช่มั้ย?

เยียนเป่ยหง : เกรงว่าจะหลงทางแล้ว

เหมียวอี้ : ไม่ต้องกังวล ข้าจะคิดหาทางช่วยท่านออกมา

หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จ ขณะที่เหมียวอี้กำลังโล่งอก เขาก็เริ่มขมวดคิ้วและเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในค่าย เขาได้ฟังสถานการณ์ที่ทะเลดาวสับสนจากเยียนเป่ยหงแล้ว ถ้าตอนนี้อยากจะเข้าไปใกล้ก็เกรงว่าจะลำบาก ต่อให้จะเดินทางอ้อมไปก็จะถูกพบได้ง่ายเช่นกัน ตำหนักสวรรค์จะต้องส่งกำลังพลมาเฝ้าไว้แน่นอน ถ้าอยากจะหลบหูหลบตาตำหนักสวรรค์ให้พ้นก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ หนทางเดียวในตอนนี้ก็คงจะมีแต่รออีกสักระยะ รอให้ทหารยามของตำหนักสวรรค์ผ่อนความเข็มงวดลงก่อน แล้วค่อยฉวยโอกาสเข้าไปใกล้ ถึงอย่างไรก็เป็นอาณาเขตที่กว้างใหญ่ขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ตำหนักสวรรค์จะใช้กำลังพลจำนวนมากเพื่อเฝ้าเยียนเป่ยหงคนเดียวอยู่ตลอดเวลา

ทว่าเขากลับประเมินผลกระทบของเรื่องนี้ต่ำไป ภายใต้การส่งเสริมจากคนที่มีเจตนาบางอย่าง การตายของเซี่ยโห้วหลงเฉิงกลายเป็นเรื่องรองแล้ว มือสังหารอย่างเยียนเป่ยหงต่างหากที่สำคัญที่สุด

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset